วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561



ภาค 2
อัศจรรย์...พลังแห่งความเมตตา

                       ความเดิมตอนที่ 1  เมื่อนายปุณณะ ได้เป็นเศรษฐีในเมืองของพระเจ้าพิมพิสารแล้ว  ก็ไม่ประมาทในชีวิต  หมั่นสร้างสมบุญอย่างต่อเนื่อง  ทำให้ปุณณเศรษฐี  พร้อมด้วยภรรยาและธิดา คือนางอุตตราอุบาสิกาก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันกันทั้งครอบครัว

                        ย้อนกลับไปถึงเศรษฐีอดีตนายจ้างของนายปุณณะ มีลูกชาย จึงมาสู่ขอนางอุตตรา ไปเป็นลูกสะใภ้  เนื่องจากตระกูลอดีตเศรษฐีนายจ้างของนายปุณณะท่านนี้ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ  ไม่เข้าใจเรื่องบุญ  ยังหวงทรัพย์สมบัติ ซึ่งปุณณเศรษฐีไม่อยากยกลูกสาวให้   แต่โดนทวงบุญคุณ  ด้วยการตัดพ้อว่า ตอนที่ยากจนมาอาศัยเขา พอรวยขึ้นมาทำเย่อหยิ่ง  นายปุณณะก็ระลึกถึงพระคุณ  จึงจำใจต้องยกลูกสาวให้

                    นางอุตตรา เป็นพระโสดาบันแล้ว เข้าใจเรื่องบุญบาปอย่างดี  พอแต่งงานออกเรือนไปอยู่กับสามีก็คิดอยากจะทำบุญ  ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้ออกพรรษาเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งเดือน ก็ส่งข่าวไปถึงปุณณเศรษฐีผู้เป็นพ่อว่า ให้พ่อตัดแขนขาเสียดีกว่าที่จะให้ลูกมาอยู่ในตระกูลแบบนี้ คิดถึงบุญเหลือเกิน  อยากจะทำบุญเหลือเกิน   

                  นางอุตตราก็ส่งข่าวไปถึงปุณณเศรษฐีผู้เป็นพ่อ ปรึกษาว่าจะทำอย่างไร  ปุณณเศรษฐีก็สงสารลูกสาว  ก็เลยหาทางออกให้โดยส่งเงินไปให้ประมาณ 15,000 กหาปณะ ให้นางอุตตราเอาเงินไปจ้างหญิงคณิกา หรือหญิงงามเมือง หรือหญิงโสเภณีเพื่อมาดูแลสามีแทน แล้วตนเองจะได้มีโอกาสไปทำบุญ 

                     เมื่อนางอุตตราได้เงินจากพ่อมาแล้ว ก็ไปจ้างหญิงงามเมืองชื่อนางสิริมาซึ่งเป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจจ์ เพื่อมาดูแลสามีแทนตน    ฝ่ายสามีพอเห็นนางสิริมาก็ชอบอกชอบใจ เลยยอมให้นางอุตตราไปทำบุญ นางได้นิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมพระสาวก มารับภัตตาหารที่บ้านตลอด   15 วัน นางดูแลภัตตาหาร รวมทั้งการประกอบอาหาร การปรุงอาหารในครัวด้วยตนเอง จนเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยเขม่า

                     ขณะเดียวกัน นางสิริมาเมื่อมารับจ้างอยู่ปรนนิบัติสามีของนางอุตตราที่บ้านนี้  หลายวัน ก็สำคัญผิดคิดว่า ตนเองเป็นภรรยาที่มีอำนาจใหญ่ในบ้านนี้    วันหนึ่ง  เห็นสามีมองลงข้างล่าง   แล้วยิ้มเยาะว่า  แล้วหันกลับไป  นางสิริมาอยากรู้ว่าสามีมองอะไร  จึงมองตามบ้าง  ปรากฏว่าเห็นนางอุตตรา กำลังปรุงอาหารอยู่     ...ความอิจฉา ริษยาทำให้โกรธแค้นนางอุตตราเป็นอันมาก    นางสิริมาจึงเดินลงจากปราสาทไปในครัว  เอาทัพพีตักเนยใสที่เดือดพล่านในหม้อทอดขนม แล้วก็เดินมุ่งไปหานางอุตตรา 

                        ด้วยความที่นางอุตตราอุบาสิกาบรรลุโสดาบันแล้ว และแผ่เมตตาเป็นปกติ เมื่อเห็นนางสิริมาเดินมุ่งมาอย่างประสงค์ร้ายเช่นนั้น จึงแผ่เมตตาไปถึงนางว่า  หญิงสหายของเราทำอุปการะแก่เรามาก จักรวาลก็แคบเกินไป พรหมโลกก็ต่ำนัก ส่วนคุณของหญิงสหายเราใหญ่มาก ก็เราอาศัยนาง จึงได้ถวายทานและฟังธรรม ถ้าเรามีความโกรธแก่นางสิริมานั้น เนยใสนี้จงลวกเราเถิด  ถ้าไม่มี  ก็จงอย่าลวกเลย เนยใสซึ่งเดือดพล่านที่นางสิริมานั้น    รดลงเบื้องบนศีรษะของ นางอุตตรานั้น  เป็นเหมือนน้ำเย็น   

                       ด้วยกำลังบุญการแผ่เมตตา ปรารถนาดี   ลำดับนั้น พวกทาสีของนางอุตตราเห็นนางสิริมาตักเนยใสร้อนเข้ามา พากันรุมจับ รุมตี จนกระทั่งนางสิริมาล้มลงไป แต่นางอุตตราก็ห้าม แต่ไม่สามารถห้ามไว้ได้  พวกทาสีพากันทุบตี  จนนางสิริมาก็รู้ว่าตนทำผิดไปแล้ว   ถ้าเราไม่กราบขอขมา ไม่ขอโทษ ศีรษะเราคงจะแตก 7 เสี่ยงตายเป็นแน่ ก็เลยไปขอให้นางอุตตรายกโทษให้ 

                         แต่นางอุตตราเป็นคนมีปัญญา  จึงบอกนางสิริมาว่า เราไม่ถือโทษโกรธเคืองหรอก ถ้าจะให้ดีต้องไปขอโทษกับพ่อทางธรรมของเรา คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่นางสิริมาไม่กล้าเข้าไปใกล้พระพุทธเจ้า จนกระทั่งนางอุตตราต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างให้ เมื่อพร้อมแล้วก็นิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกมารับภัตตาหารที่บ้าน แล้วก็ให้นางสิริมามีโอกาสได้ถวายทาน มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเมื่อมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน  

                           พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถามนางอุตตราว่า ตอนที่นางสิริมาตักเนยใสร้อน ๆ ราดใส่ คิดอย่างไร นางอุตตราตอบว่า หม่อมฉันคิดอย่างนี้ว่า จักรวาลก็แคบเกินไป พรหมโลกก็ต่ำนัก ส่วนคุณของหญิงสหายของหม่อมฉันใหญ่มาก เพราะหม่อมฉันอาศัยเขา จึงได้เพื่อถวายทานและฟังธรรม ถ้าหม่อมฉันมีความโกรธเหนือนางนี้ เนยใสที่เดือดพล่านนี้จงลวกหม่อมฉันเถิด ถ้าหาไม่แล้ว ขออย่าลวกเลย แล้วได้แผ่เมตตาไปยังนางสิริมานี้ พระเจ้าข้า

                              พระศาสดาตรัสว่า ดีละ ดีละ อุตตรา การชนะความโกรธอย่างนั้น สมควร ก็ธรรมดาคนมักโกรธ พึงชนะด้วยความไม่โกรธ คนด่าเขา ตัดพ้อเขา พึงชนะได้ด้วยความไม่ด่าตอบ ไม่ตัดพ้อตอบ คนตระหนี่จัด พึงชนะได้ด้วยการให้ของตน คนมักพูดเท็จ พึงชนะได้ด้วยคำจริง ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า


      พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ 

พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี
พึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลวไหล ด้วยคำจริง

                            เมื่อจบพระธรรมเทศนา  นางสิริมาบรรลุโสดาบัน
   กลับบ้านไป เลิกประกอบอาชีพโสเภณี  หันหน้าศึกษา
ธรรมะ  รักษาศีล ปฏิบัติธรรม   ใส่บาตรพระ 8 รูปทุกวันเป็น
ประจำ  ด้วยทานอันประณีตที่สุดเท่าที่จะหาได้ 

#ธรรมะดีดี  #ข้อคิด #สาระดีดี #มีประโยชน์  #คนจริง #รักจริง  #จริงใจ 


วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561


ภาค 1 
จากชาวบ้าน....  
กลายมาเป็นเศรษฐีของเมืองได้อย่างไร ????


               นายปุณณะเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะยากจนมาก   จึงไปรับจ้างเศรษฐีคนหนึ่ง   พอถึงเทศกาลสงกรานต์   มีงานมหรสพ 7 วัน 7 คืน เศรษฐีถามนายปุณณะว่าเธอจะไปเที่ยวเล่นเทศกาลกับเขาไหม... นายปุณณะพิจารณาแล้วว่า ตนเองเป็นคนยากจน  ข้าวจะกินก็ไม่มี  ถ้าไปเที่ียวงาน ก็จะไม่มีข้าวกิน ไม่มีอาหารเลี้ยงครอบครัว จึงตัดสินใจไม่ยอมไปเที่ยวเล่นในงานเทศกาล   ขอท่านเศรษฐีไปทำงานแทน  ได้ปรึกษากับภรรยาว่า...ตนเองจะออกไปไถนาให้เศรษฐีแต่เช้า แล้วให้ภรรยาเตรียมข้าวปลาอาหารไปส่ง

               หลังจากนายปุณณะไถนาไปได้ระยะหนึ่ง   ขณะนั้นพระสารีบุตรพระอัครสาวกเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ท่านพิจารณาด้วยญาณว่าจะไปโปรดใครดีหนอ .. ที่มีศรัทธา...และจะได้รับบุญใหญ่จากการทำทานกับพระที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติในครั้งนี้   ก็เห็นนายปุณณะกับภรรยา  ก็เลยเดินไปในที่ใกล้ ๆ กับนายปุณณะไถนาอยู่   นายปุณณะเห็นพระสารีบุตรก็เกิดความศรัทธาเลื่อมใส แต่ไม่มีไทยธรรมใด ๆ จะถวาย 
  
                 พระสารีบุตรเองก็รู้ว่า นายปุณณะไม่มีไทยธรรม แต่บอกนัยยะ  คือเดินไปใกล้ ๆ ที่บ่อน้ำ นายปุณณะมีปัญญารู้ว่าพระสารีบุตรคงอยากจะได้ไม้ชำระฟัน   จึงได้เข้าไปกราบ แล้วถวายไม้ชำระฟัน พร้อมทั้งผ้ากรองน้ำ  ถวายน้ำบ้วนปาก  ด้วยจิตอันเลื่อมใส  ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธา  มีความรู้สึกว่าเราโชคดีเหลือเกินที่มีพระมาโปรด

                  หลังจากที่ได้ถวายไม้ชำระฟันและน้ำบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว พระสารีบุตรรู้ด้วยญาณทัสนะของท่านว่า ภรรยาของนายปุณณะ ซึ่งกำลังนำอาหารมาให้นายปุณณะ ก็มีศรัทธาเหมือนกัน  พระสารีบุตรก็เดินทางสวนไป  ภรรยาของนายปุณณะ   พอได้เจอพระสารีบุตรในระหว่างทาง   ก็เกิดความศรัทธา  นางคิดว่า บางครั้งอยากจะทำบุญ   แต่ไม่มีไทยธรรม   ไม่มีเนื้อนาบุญ   หรือบางครั้งมีไทยธรรม แต่ไม่มีศรัทธา และไม่มีเนื้อนาบุญ   บางครั้งมีเนื้อนาบุญ   มีศรัทธา แต่ไม่มีไทยธรรม ...แต่วันนี้เรามีพร้อมทุกอย่าง ทั้งข้าวปลาอาหารที่เตรียมมา ...ศรัทธาเกิดขึ้นในใจแล้ว .... พระอัครสาวกเบื้องขวามายืนต่อหน้าแล้ว เป็นความโชคดีของเราแล้วหนอ   ก็นิมนต์พระสารีบุตรแล้วใส่อาหารลงในบาตรนั้น

                    หลังจากใส่บาตรไปได้ครึ่งเดียว พระสารีบุตรท่านก็ปิดฝาบาตรเพื่อจะได้เหลือให้นายปุณณะครึ่งหนึ่ง  แต่ภรรยาของนายปุณณะก็มีปัญญา ก็อ้อนวอนพระคุณเจ้าว่า พระคุณเจ้าอย่าโปรดดิฉันแค่เพียงชาตินี้เลย ขอให้โปรดไปภพชาติเบื้องหน้าด้วยเถิด หลังจากภรรยานายปุณณะได้ถวายหมดแล้ว  เกิดความปลื้มปีติ แล้วอธิษฐานจิตขอให้ได้บรรลุธรรมตามที่พระสารีบุตรได้บรรลุ จากนั้นรีบเดินทางกลับไปทำอาหารมาให้นายปุณณะใหม่ ซึ่งกว่าจะเสร็จก็สายมาก  

                 ส่วนนายปุณณะไถนาจนเหนื่อยล้าแล้ว  ก็ปล่อยโคออกไปหากิน  ตนเองก็นอนพักอยู่ใต้ต้นไม้รอภรรยาเอาอาหารมาส่ง ในขณะที่ภรรยามาใกล้ถึงที่นายปุณณะนอนอยู่  ก็กลัวว่าสามีจะโกรธ  จะทำให้บุญจะหกหล่น   จึงรีบตะโกนบอกนายปุณณะในทำนองว่า เอาบุญมาฝาก ตนได้ถวายภัตตาหารแด่พระสารีบุตรในระหว่างทาง

                นายปุณณะก็นึกได้ว่าตนก็ได้ทำบุญกับพระสารีบุตรเช่นกัน ต่างคนก็ต่างอนุโมทนาชื่นชมซึ่งกันและกัน จากนั้นนายปุณณะก็รับประทานอาหาร แล้วพักผ่อน นอนหนุนตักภรรยาหลับไป พอตื่นขึ้นมา ก้อนดินที่ไถเอาไว้ทั้งหมดกลายเป็นทองคำ ด้วยกำลังบุญที่ส่งผลจากการได้ถวายทานกับพระสารีบุตรที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัตินั้น 

                    หลังจากที่เห็นก้อนดินเป็นทองคำ นายปุณณะไม่เชื่อสายตายตนเอง  คิดว่า .. เราตาลายไปหรือเปล่า จึงถามภรรยา ได้รับคำตอบว่า...เห็นเหมือนกัน  จึงไปจับก้อนดู พบว่าเป็นทองคำจริง ๆ

                   นายปุณณะมีดวงปัญญาคิดว่าสมบัติที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดอันตราย  รีบเอาก้อนทองนั้น  เดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร กราบทูลความเป็นจริงทั้งหมด พระเจ้าพิมพิสารก็สั่งให้ข้าราชบริพารเอาเกวียนมาขนทองไป  ข้าราชบริพารเหล่านั้นก็มองว่าทองที่เกิดขึ้นควรเป็นของกษัตริย์  ก็คุยกันว่าจะขนไปให้กษัตริย์  ...ปรากฏว่า ทองเหล่านั้นก็กลายเป็นดินทันที

                   พวกมหาดเล็กก็ตกใจ รีบไปรายงานพระเจ้าพิมพิสาร  พระเจ้าพิมพิสารถามว่า “เจ้าพูดว่าอย่างไรมันถึงกลายเป็นดิน”   มหาดเล็กก็บอกว่า " ทองเหล่านี้เป็นสมบัติของพระเจ้าแผ่นดิน”   พอพูดเสร็จทองนั้นก็กลายเป็นดินทันที  พระเจ้าพิมพิสาร ให้กลับไปพูดใหม่ว่า “ ทองนั้นเป็นของนายปุณณะ “  มหาดเล็กเหล่านั้นก็กลับไปที่นา แล้วพูดว่า “เรามาขนสมบัติของนายปุณณะ ดินก็กลายมาเป็นทองคำอีก” 

                  มหาดเล็กจึงขนทองเหล่านั้นไปกองไว้ที่หน้าท้องพระโรง มีความสูงประมาณ 80 ศอก  พระเจ้าพิมพิสารประกาศถามว่าใครมีสมบัติมากขนาดนี้ บ้าง  ...ปรากฏว่าไม่มี  ก็เลยแต่งตั้ง มอบฉัตรเศรษฐีสถาปนาให้นายปุณณะเป็นเศรษฐี    


                    หลังจากที่นายปุณณะเป็นเศรษฐีแล้วก็ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต  ได้ถวายภัตตาหารพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ตลอด 7 วัน จากนั้นเมื่อได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว นายปุณณะหรือปุณณเศรษฐีพร้อมภรรยาและธิดา คือนางอุตตราอุบาสิกาก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันกันทั้งครอบครัว

                     จากเรื่องนี้ได้ข้อคิดว่า 
                   ...  การทำบุญ  หากทำถูกเนื้อนาบุญ แม้ว่าทำบุญน้อย   แต่ได้บุญมหาศาล   เพราะพระสารีบุตรเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ  
                    ....การทำบุญทุกครั้ง จะต้องปลื้ม ทั้งก่อนทำ ....ขณะทำ....และหลังจากทำแล้ว  ...ยิ่งปลื้ม  บุญก็จะทับทวีไปเรื่อย ๆ 
                    ....การทำบุญให้ได้บุญมากนั้น  จะต้องประกอบองค์  คือ ผู้ให้ก็มีความบริสุทธิ์  ...ผู้รับก็มีความบริสุทธิ์  ...สิ่งของที่ให้ก็ได้มาด้วยความบริสุทธิ์  ...และเจตนาที่ให้บริสุทธิ์  อย่างนี้ กุศลผลบุญที่ได้จะนับจะประมาณมิได้ 

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561




เปรต...มีจริงไหม....


               คงเคยได้ยิน เรื่องของเปรต สด ๆ ร้อน ๆ คือการ "ชิงเปรต" เป็นประเพณีของภาคใต้ที่กระทำกันในวันสารท เดือน 10   ช่วงเวลา วันแรม 1 ค่ำ เดือน 10  และ วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10  เป็นประเพณีสำคัญที่จัดขึ้นเพื่อทำบุญอุทิศแก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งทำเป็นประเพณีทุก ๆ ปี 


           ในไตรภูมิพระร่วงก็กล่าวบรรยายภาพของเปรตที่เราคุ้นเคย คือผีรูปร่างสูงโย่งเท่าต้นตาล คอยาว ตาและจมูกกลวงโบ๋ มือใหญ่เท่าใบลาน ปากเล็กเท่ารูเข็ม  กลางคืนมักส่งเสียงร้องน่าขนลุกให้คนหวาดกลัว แน่นอนว่าทุกคนก็ไม่รู้ว่าเปรตมีจริงหรือไม่ และมีรูปร่างอย่างไร 

              แต่ลักษณะเช่นนี้คงมิใช่เพียงเรื่องหลอกเด็กที่แต่งขึ้นใหม่ เพราะในไตรภูมิพระร่วงได้บรรยายลักษณะของเปรตไว้ ได้ละเอียดเหมือนกับเคยเห็นมา  แม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ก็เคยเล่าให้ฟังว่าเคยเห็น จะลองหยิบยกมาเป็นตัวอย่างดังนี้ เช่น   ...เปรตบางจำพวกตัวใหญ่ ปากน้อยเท่ารูเข็มก็มี ...เปรตบางจำพวกผมหนา อดอยาก  ไม่มีอาหารจะกิน  บางพวกก็กินเนื้อของลูกตัวเอง ฯลฯ….  สมัยปู่ย่าตายาย ก็เล่าต่อ ๆ กันมา ลูกทรพีทำร้ายพ่อแม่ เมื่อตายแล้วดวงวิญญาณก็มาเกิดใหม่เป็นเปรต  “มือที่ตบตีพ่อแม่จะขยายใหญ่เท่าใบลาน ปากที่ดุด่าพ่อแม่จะเล็กลงเหลือเท่ารูเข็ม”

              เปรตบางพวกมีไฟพุ่งออกจาก อก ลิ้น ปาก แล้วลามไหม้ตัวเอง เพราะได้ด่าสบประมาท และกล่าวคำเท็จต่อพระสงฆ์ผู้ใหญ่ผู้มีศีล ... เปรตบางพวกตัวใหญ่เท่าภูเขา มีขนยาวแหลม มีเล็บตีนเล็บมือใหญ่ เล็บนั้นคมดังมีดกรีดและหอกดาบ เมื่อเล็บตีนเล็บมือและขนไปกระทบกัน จะเกิดเสียงดังเหมือนฟ้าผ่า เกิดเป็นไฟลุกไหม้ตัวเอง และบาดตัวเหมือนดังขวานฟ้าผ่าตัว  เพราะทำกรรม คือเกิดเป็นนายเมือง ตัดสินความโดยไม่ชอบธรรม เห็นแก่สินบน ไม่วางตัวเป็นกลาง คนถูกว่าผิด คนผิดว่าถูก 

          เรื่องของเปรต มีเยอะมาก ๆ ก็ขอยกตัวอย่างมาพอสังเขปก่อน  มาดูในสมัยพุทธกาล คงเคยได้ยินเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสาร  มาดูเรื่องราวว่าเป็นมาอย่างไร.... ในพระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ว่า  ... ในกัปที่ 92 แต่ภัทรกัปนี้ ได้มีเมืองชื่อว่ากาสี. พระราชาทรงประนามว่าชัยเสน ทรงครองราชสมบัติในพระนครนั้น. พระองค์ได้มีพระราชเทวีทรงพระนามว่าสิริมา. พระโพธิสัตว์นามว่า ผุสสะ บังเกิดในพระครรภ์ของพระนางแล้ว ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณโดยลำดับ.

               พระเจ้าชัยเสนเกิดความคิดว่า    บุตรของเราเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นของเรา พระธรรมเป็นของเรา พระสงฆ์ก็เป็นของเรา ทรงอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าด้วยพระองค์เอง  ตลอดกาล ไม่ทรงให้โอกาสแก่ชนอื่นเลย.


               พี่น้องทั้ง 3 คนผู้ต่างมารดา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า คิดว่า พระพุทธเจ้าย่อมอุบัติเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งมวล พระบิดาของพวกเราก็ไม่ยอมให้โอกาสแก่ชนอื่นเลย ทำอย่างไร พวกเราจะได้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์บ้าง. 


               ดังนั้นพี่น้องทั้ง 3 จึงอุบายได้สร้างสถานการณ์ชายแดน ประหนึ่งว่าเกิดการปั่นป่วน. พระราชาทรงสดับแล้ว จึงได้ส่งพระโอรสทั้ง 3ไปปราบ  จนปัจจันตชนบทสงบแล้วกลับมา.  
พระราชาทรงพอพระทัย ได้ประทานพรว่า พวกลูกปรารถนาสิ่งใดก็จงถือเอาสิ่งนั้น พี่น้องทั้ง 3 กราบทูลว่า ปรารถนาจะอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า.

               พระราชาตรัสว่า เว้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เธอจงเลือกเอาอย่างอื่นเถิด. พี่น้องทั้ง 3 กราบทูลว่า พวกข้าพระองค์ไม่ต้องการสิ่งอื่น. พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น พวกเธอจงกำหนดเวลามาแล้วถือเอาเถิด. พี่น้องทั้ง 3  ทูลขอถึง 7  ปี พระราชาไม่ทรงอนุญาต.
  ขอ  6  ปี  5 ปี 4 ปี 3 ปี 2 ปี 1 ปี 7 เดือน 6 เดือน 5 เดือน 4 เดือนจนกระทั่งขอเพียง 3 เดือน พระราชได้ทรงอนุญาต 
               
พี่น้องทั้ง 3 ไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ปรารถนาจะอุปัฏฐากตลอด 3  เดือน, ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงรับการอยู่จำพรรษา  ตลอด 3 เดือนนี้   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับด้วยดุษฎีภาพ.

              พี่น้องทั้ง 3 จึงส่งข้อความไปถึงนายเสมียนในชนบทของตนให้ช่วยจัดแจงสัมภาระ  สำหรับอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า  
นายเสมียนได้จัดแจงทุกอย่างแล้ว ส่งลิขิตตอบไป. พี่น้องทั้ง 3 นุ่งผ้ากาสายะ พร้อมกับบุรุษ 1,000 คน ผู้ทำการขวนขวาย ได้พากันอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์โดยเคารพ มอบถวายวิหารให้อยู่จำพรรษา.

             บุตรคฤหบดีคนหนึ่งผู้เก็บเสบียงคลังของพี่น้องทั้ง 3 พระองค์นั้น พร้อมด้วยภริยา เป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส. เขาได้ถวายทานวัตร แก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานโดยเคารพ.


               นายเสมียนชักชวนชาวบ้านไป 11,000  คน ได้ให้ทานเป็นไปโดยเคารพทีเดียว.   มีชาวบ้านบางพวกไม่พอใจกัน พากันกินไทยธรรมด้วยตนเอง และเอาไฟเผาโรงครัว. เมื่อครบ 3 เดือนก็ได้ทำสักการะพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนำพระผู้มีพระภาคเจ้ากลับมาหาบิดาตามเดิม. 
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว. เสมียนในชนบท และผู้เก็บเสบียงคลัง เมื่อตายไปบังเกิดในสวรรค์ ชาวบ้านที่ไม่พอใจกันก็พากันเกิดในนรก.

               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ ชาวบ้านผู้ไม่พอใจเหล่านั้นเกิดเป็นเปรต. เปรตเหล่านั้นได้เห็นพวกมนุษย์พากันให้ทานอุทิศเพื่อประโยชน์แก่เปรตผู้เป็นญาติ เปรตญาติคนอื่นได้เสวยสมบัติ. เปรตชาวบ้านเหล่านั้น 
     จึงเข้าไปเฝ้าพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ทูลถามว่า พวกข้าพระองค์จะพึงได้สมบัติเห็นปานนี้ หรือไม่หนอ? 

                  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า บัดนี้ ท่านยังไม่ได้ แต่ในอนาคตจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดม ในกาลนั้นจะมีพระราชาทรงพระนามว่าพิมพิสาร,  พระองค์เป็นญาติของพวกท่าน พระองค์ให้ทานแด่พระพุทธเจ้าแล้วจะอุทิศผลบุญแก่พวกท่าน, 

                 พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแคว้นของ
พระเจ้าพิมพิสาร พระราชาทรงนิมนต์เสวยพระกระยาหาร    ส่วนเปรตเหล่านั้นได้พากันยืนล้อมด้วยหวังใจว่า พระราชาจะอุทิศส่วนบุญแก่พวกเรา. พระราชาทรงถวายทานแล้ว ทรงคิดถึงเรื่องอื่น จนลืมอุทิศส่วนบุญนั้นแก่ใครๆ.

               พวกเปรตเมื่อไม่ได้ส่วนบุญนั้นก็สิ้นหวัง ในเวลากลางคืนจึงพากันส่งเสียงร้องอันน่าสะพึงกลัวอย่างยิ่ง ใกล้พระราชนิเวศน์.  พระราชาทรงได้ยินเสียง แล้วเกิดสะพึงกลัว หวาดเสียว พอรุ่งขึ้นจึงได้ไปกราบทูลกับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าพระองค์ได้สดับเสียงเห็นปานนี้ จะมีเหตุอะไรแก่ข้าพระองค์ บ้าง 


           พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อย่าทรงกลัวเลยมหาบพิตร  ไม่มีความชั่วช้าลามกอะไรแก่พระองค์ ญาติเก่าก่อนของพระองค์ที่เกิดเป็นเปรต หวังจะพบพระองค์ถึงพุทธันดรหนึ่ง ท่องเที่ยวไปด้วยหวังใจว่า พระองค์ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้ว จะอุทิศส่วนบุญให้บ้าง พระองค์ถวายทานเมื่อวันวานแล้ว มิได้อุทิศจึงพากันสิ้นหวัง ส่งเสียงร้องเห็นปานนั้น.

               พระราชาตรัสถามว่า หม่อมฉันถวายทานตอนนี้ เปรตเหล่านั้นจะพึงได้รับหรือไม่ ? พระศาสดาตรัสว่า ...ได้ มหาบพิตร. พระราชาจึงขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดรับทานของพระองค์ ในวันนี้, แล้วจะอุทิศส่วนบุญให้แก่พวกเปรตเหล่านั้น.  


           พระราชาเสด็จไปยังพระราชนิเวศน์ ทรงให้จัดแจงมหาทานแล้ว กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ประทับนั่งบนอาสนะที่จัดไว้. เปรตเหล่านั้นไปด้วยหวังว่า วันนี้ พวกเราจะพึงได้อะไรเป็นแน่ ดังนี้ จึงได้พากันยืนอยู่ในที่ต่างๆ มีภายนอกฝาเรือนเป็นต้น.

               พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำให้พระเจ้าพิมพิสาร เห็นเปรตเหล่านั้นด้วยตาเนื้อ   เมื่อทรงหลั่งน้ำทักษิโณทก จึงอุทิศว่า ทานที่ข้าพเจ้าให้นี้จงสำเร็จแก่พวกญาติเถิด. ในบัดดลนั้นเอง สระโบกขรณีอันดาระดาษด้วยกลุ่มดอกกมล ได้บังเกิดแก่พวกเปรต. เปรตเหล่านั้นพากันอาบและดื่มในสระโบกขรณีนั้นได้สงบระงับความกระวนกระวาย ความลำบากและความกระหาย ผิวพรรณผ่องใส


               พระราชาถวายข้าวยาคู ของเคี้ยวและของบริโภคแล้วอุทิศให้. ขณะนั้นนั่นเอง ข้าวยาคู ของเคี้ยวและอาหารอันเป็นทิพย์ก็บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น. เปรตเหล่านั้นพากันบริโภคข้าวยาคูเป็นต้นนั้นแล้ว ก็ได้เป็นผู้มีอินทรีย์กระปรี้กระเปร่า.


               ลำดับนั้น พระองค์ได้ถวายผ้า ที่นอนและที่นั่งแล้วอุทิศให้. เครื่องประดับมีชนิดต่างๆ เช่น ผ้า ปราสาท เครื่องลาดและที่นอนเป็นต้นอันเป็นทิพย์ได้บังเกิดแก่เปรตเหล่านั้น. และสมบัติของเปรตเหล่านั้นทั้งหมดนั้นได้ปรากฏแก่พระราชา โดยประการที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานไว้. พระราชาทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ทรงพอพระทัยยิ่งนัก. เปรตเมื่อผลบุญ ก็สามารถไปเกิดในภพภูมิใหม่ตามที่ต่าง ๆ ตามกำลังบุญของแต่ละตน  


                จะเห็นได้ว่าเรื่องของเปรตนี้  มีจริงหรือไม่  เราจะเชื่อตอนเป็น หรือเราจะไปเห็นตอนตาย   แต่ที่สำคัญในพระไตรปิฎกยังมี  ซึ่งเรืองนี้นำมาจาก 
อรรถกถา ขุททกนิกาย เปตวัตถุ ปฐมวรรค  ( ติโรกุฑฑเปตวัตถุ)     อ่านและศึกษาความรู้ไว้  ติดขาติดแข้ง ... ถ้า นรก สวรรค์ไม่มีก็เจ๋ากันไป  แต่ถ้ามี เราก็จะได้ไม่พลาดไปตกนรก แล้วมาเป็นเปรต  อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน ฯลฯ   ความชั่วแม้แต่เล็กน้อยอย่าไปทำเลย  เพราะทุกการกระทำจะมีผลของวิบากกรรมทั้งสิ้น 


#ธรรมะดีดี  #ข้อคิด #สาระดีดี #มีประโยชน์

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2561



...จองเวรกันทำไม  ???...


เวรย่อมระงับ...ด้วยการไม่จองเวร 

ทุกชีวิตเกิดมาในโลกใบนี้  ย่อมเจอคน อยู่ 3 ประเภทด้วยกัน คือ บุคคลที่รักเรา    บุคคลที่เฉย ๆ ต่อเรา  และบุคคลที่ไม่ชอบเรา

...หากเจอคนที่รักเรา ชีวิตของเราก็สุดแสนจะดีและมีความสุข  

...หากเจอคนที่เฉย ๆ กับเรา ไม่รักและไม่เกลียด  คนพวกนี้ก็ไม่มีผลกับชีวิตเรา  เพราะเขาพร้อมที่จะดีกับเรา ถ้าเราดีกับเขา และถ้าเราร้ายใส่เขา  เขาก็จะร้ายตอบเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราไม่ห่วงคนประเภทนี้  

...แต่หากเจอคนที่ไม่ชอบเรา  อันนี้เป็นโจทย์ที่หนัก  ..ถ้าเขาไม่ดีกับเรา  แล้วเรากระทำไม่ดีตอบ  สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ก่อเวรต่อกันไม่รู้จบ ...หากเราไม่อยากให้ชีวิตในวัฏฏสงสารมีความยืดยาว จองล้างจองผลาญกันต่อไป  เราก็อย่าไปจองเวรตอบ จงให้อโหสิกรรม  ดูเหมือนง่ายแต่ทำยากมาก  เพราะทุก ๆ คน ไม่อยากให้ใครมาเอารัดเอาเปรียบ หรือเป็นฝ่ายถูกระทำเพียงฝ่ายเดียว   มันยาก แต่ก็ต้องพยายามอดทน อดกลั้นสักชาติหนึ่ง  ถ้าชาตินี้ชนะ  ก็จะชนะทุกชาติ  

การจองเวรเกิดขึ้นตอนไหน....???  หากมีคนทำร้ายหรือเบียดเบียนเรา  การจองเวรจะเกิดตอนที่เรามีความแค้น ..อาฆาตกับคนที่ทำร้าย  แล้วตั้งจิตคิดพยาบาท  ด้วยความอาฆาต แค้น จองเวรว่า “ขอให้ได้ทำร้าย หรือทำลายเหมือนอย่างที่เขาไว้บ้าง”  อย่างนี้เป็นต้น 
วันนี้นำเรื่องกุมารีกินไข่  ซึ่งเป็นเรื่องในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 159  สรุปใจความว่า 


มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อปัณฑุระ อยู่ไม่ไกลเมืองสาวัตถีในหมู่บ้านนั้น มีชาวประมงอยู่คนหนึ่ง. เขาเดินทางไปเมืองสาวัตถี เห็นไข่เต่า ริมฝั่งแม่น้ำอจิรวดีจึงเก็บและถือไปต้มกิน  และได้ให้ไข่ฟองหนึ่งแก่กุมาริกาคนหนึ่ง  นางเคี้ยวกินไข่เต่านั้นแล้ว ติดอกติดใจ ไม่ยอมทานอย่างอื่นเลย 

                  ครั้งนั้นมารดาของนาง ถือเอาไข่ฟองหนึ่งจากที่แม่ไก่ได้ให้ แก่นาง. นางเคี้ยวกินไข่
ฟองนั้นแล้ว  ติดใจ ตั้งแต่นั้นมาต้องทานไข่ไก่ทุกวัน  ส่วนแม่ไก่เวลาตกไข่แล้ว เห็นกุมารีมาเอาไข่ของตนเคี้ยวอยู่ ก็ผูกอาฆาต ตั้งความปรารถนาว่า " หากเราละจากอัตภาพนี้แล้ว พึงเกิดเป็นยักษิณี เป็นผู้สามารถจะเคี้ยวกินทารกของนางได้

                  เมื่อแม่ไก่ทำกาละ  (ตาย) แล้วไปเกิดเป็นนางแมวในเรือนนั้นนั่นเอง.แม้นางกุมาริกา ทำกาละ (ตาย) แล้ว บังเกิดเป็นแม่ไก่ในเรือนนั้นเหมือนกัน.
เมื่อแม่ไก่ตกไข่  นางแมวก็เอาไข่ไปกิน ทำอย่างนี้ แม้ครั้งที่ 2  และครั้งที่ 3  

                 ทำให้แม่ไก่ในชาตินั้น ผูกอาฆาตไว้ว่า   หากเราทำกาละแล้ว ไปเกิดในอัตภาพที่ได้เคี้ยวกินนางแมวพร้อมทั้งลูก ด้วยความปรารถนานี้ จึงได้ไปเกิดเป็นนางเสือเหลือง   ฝ่ายนางแมวเมื่อทำกาละแล้ว  บังเกิดเป็นนางเนื้อ.  เมื่อนางเนื้อคลอดบุตร นางเสือเหลืองก็มาเคี้ยวกินนางเนื้อพร้อมด้วยลูกทั้งหลาย.

                  สองสัตว์นั้นเคี้ยวกินอยู่อย่างนี้ ยังทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่กันและกัน  ๕๐๐ ชาติ ด้วยความอาฆาตกันนี้   ในที่สุดนางเนื้อจึงไปเกิดเป็นยักษิณี ส่วนนางเสือเหลืองไปเกิดเป็นกุลธิดาในเมืองสาวัตถี.

                  วันหนึ่งนางกุลธิดา เดินทางจากบ้านบิดามารดาจะกลับไปที่บ้านของสามี พร้อมด้วยสามีและบุตรที่อุ้มอยู่ในอ้อมแขน ขณะที่นางอุ้มลูกนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่ใกล้หนองน้ำไม่ไกลจากกรุงสาวัตถี  สามีของนางลงไปอาบน้ำในหนองน้ำ  นางยักษิณีได้ปรากฏตัวขึ้น   นางกุลธิดาจำได้ว่านางยักษิณีเป็นศัตรูเก่า จะจับลูกของนางไปกิน  นางจึงรีบอุ้มลูกวิ่งไปทางพระเชตวัน


ขณะนั้นพระศาสดากำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ในท่ามกลางมหาชน นางวิ่งไปอย่างเร็ว เมื่อไปถึงก็ได้วางบุตรลงที่ข้างพระบาทของพระศาสดา ฝ่ายนางยักษิณีก็วิ่งติดตามหญิงนั้นไปถึงประตูวัดพระเชตวัน  แต่ถูกเทวดาเฝ้าประตูขัดขวางไม่ให้เข้าไป   พระศาสดาทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ก็ได้ตรัสบอกพระอานนท์ให้ไปบอกเทวดาที่ซุ้มประตูให้อนุญาตนางยักษิณีเข้ามาได้  

                เมื่อนางยักษิณีเข้ามา อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระศาสดาแล้ว พระศาสดาได้ตรัสสอนทั้งนางกุลธิดา และนางยักษิณีว่า “หากเธอทั้งสองไม่มาหาเรา เวรของเธอทั้งสองก็จะยังดำเนินอยู่ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด   พระพุทธองค์ตรัสเรื่องการไม่จองเวร ว่า “ ผู้ใดย่อมปราถนาสุขเพื่อตน  เพราะก่อทุกข์ในผู้อื่น  ผู้นั้น เป็นผู้ระคนด้วยเครื่องระคนคือเวร  ย่อมไม่พ้นจากเวรได้  ”

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง นางยักษิณี สมาทานศีล 5 พ้นแล้วจากเวร ฝ่ายกุลธิดานั้น ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.

จะเห็นได้ว่าการจองเวรกันนั้น ทำให้เกิดทุกข์   เพราะฉะนั้นหากใครทำไม่ดีกับเรา  ก็ขอให้อโหสิกรรมเขาเสีย   หมั่นแผ่เมตตาบ่อย ๆ อย่าได้มีเวรมีภัยกับใคร และอย่าได้เจอคนที่ไม่ดี ให้เจอแต่บัณฑิต นักปราชญ์ และคนดี ๆ เท่านั้น   จะทำให้ใจเราเป็นสุขขึ้น

#ธรรมะดีดี  #ข้อคิด #สาระดีดี #มีประโยชน์  #คนจริง #รักจริง  #จริงใจ 







ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...