ภาค 1
จากชาวบ้าน....
กลายมาเป็นเศรษฐีของเมืองได้อย่างไร ????
จากชาวบ้าน....
กลายมาเป็นเศรษฐีของเมืองได้อย่างไร ????
นายปุณณะเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะยากจนมาก จึงไปรับจ้างเศรษฐีคนหนึ่ง พอถึงเทศกาลสงกรานต์ มีงานมหรสพ 7 วัน 7 คืน เศรษฐีถามนายปุณณะว่าเธอจะไปเที่ยวเล่นเทศกาลกับเขาไหม... นายปุณณะพิจารณาแล้วว่า ตนเองเป็นคนยากจน ข้าวจะกินก็ไม่มี ถ้าไปเที่ียวงาน ก็จะไม่มีข้าวกิน ไม่มีอาหารเลี้ยงครอบครัว จึงตัดสินใจไม่ยอมไปเที่ยวเล่นในงานเทศกาล ขอท่านเศรษฐีไปทำงานแทน ได้ปรึกษากับภรรยาว่า...ตนเองจะออกไปไถนาให้เศรษฐีแต่เช้า แล้วให้ภรรยาเตรียมข้าวปลาอาหารไปส่ง
หลังจากนายปุณณะไถนาไปได้ระยะหนึ่ง ขณะนั้นพระสารีบุตรพระอัครสาวกเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ท่านพิจารณาด้วยญาณว่าจะไปโปรดใครดีหนอ .. ที่มีศรัทธา...และจะได้รับบุญใหญ่จากการทำทานกับพระที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติในครั้งนี้ ก็เห็นนายปุณณะกับภรรยา ก็เลยเดินไปในที่ใกล้ ๆ กับนายปุณณะไถนาอยู่ นายปุณณะเห็นพระสารีบุตรก็เกิดความศรัทธาเลื่อมใส แต่ไม่มีไทยธรรมใด ๆ จะถวาย
พระสารีบุตรเองก็รู้ว่า นายปุณณะไม่มีไทยธรรม แต่บอกนัยยะ คือเดินไปใกล้ ๆ ที่บ่อน้ำ นายปุณณะมีปัญญารู้ว่าพระสารีบุตรคงอยากจะได้ไม้ชำระฟัน จึงได้เข้าไปกราบ แล้วถวายไม้ชำระฟัน พร้อมทั้งผ้ากรองน้ำ ถวายน้ำบ้วนปาก ด้วยจิตอันเลื่อมใส ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธา มีความรู้สึกว่าเราโชคดีเหลือเกินที่มีพระมาโปรด
หลังจากที่ได้ถวายไม้ชำระฟันและน้ำบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว พระสารีบุตรรู้ด้วยญาณทัสนะของท่านว่า ภรรยาของนายปุณณะ ซึ่งกำลังนำอาหารมาให้นายปุณณะ ก็มีศรัทธาเหมือนกัน พระสารีบุตรก็เดินทางสวนไป ภรรยาของนายปุณณะ พอได้เจอพระสารีบุตรในระหว่างทาง ก็เกิดความศรัทธา นางคิดว่า บางครั้งอยากจะทำบุญ แต่ไม่มีไทยธรรม ไม่มีเนื้อนาบุญ หรือบางครั้งมีไทยธรรม แต่ไม่มีศรัทธา และไม่มีเนื้อนาบุญ บางครั้งมีเนื้อนาบุญ มีศรัทธา แต่ไม่มีไทยธรรม ...แต่วันนี้เรามีพร้อมทุกอย่าง ทั้งข้าวปลาอาหารที่เตรียมมา ...ศรัทธาเกิดขึ้นในใจแล้ว .... พระอัครสาวกเบื้องขวามายืนต่อหน้าแล้ว เป็นความโชคดีของเราแล้วหนอ ก็นิมนต์พระสารีบุตรแล้วใส่อาหารลงในบาตรนั้น
หลังจากใส่บาตรไปได้ครึ่งเดียว พระสารีบุตรท่านก็ปิดฝาบาตรเพื่อจะได้เหลือให้นายปุณณะครึ่งหนึ่ง แต่ภรรยาของนายปุณณะก็มีปัญญา ก็อ้อนวอนพระคุณเจ้าว่า พระคุณเจ้าอย่าโปรดดิฉันแค่เพียงชาตินี้เลย ขอให้โปรดไปภพชาติเบื้องหน้าด้วยเถิด หลังจากภรรยานายปุณณะได้ถวายหมดแล้ว เกิดความปลื้มปีติ แล้วอธิษฐานจิตขอให้ได้บรรลุธรรมตามที่พระสารีบุตรได้บรรลุ จากนั้นรีบเดินทางกลับไปทำอาหารมาให้นายปุณณะใหม่ ซึ่งกว่าจะเสร็จก็สายมาก
ส่วนนายปุณณะไถนาจนเหนื่อยล้าแล้ว ก็ปล่อยโคออกไปหากิน ตนเองก็นอนพักอยู่ใต้ต้นไม้รอภรรยาเอาอาหารมาส่ง ในขณะที่ภรรยามาใกล้ถึงที่นายปุณณะนอนอยู่ ก็กลัวว่าสามีจะโกรธ จะทำให้บุญจะหกหล่น จึงรีบตะโกนบอกนายปุณณะในทำนองว่า เอาบุญมาฝาก ตนได้ถวายภัตตาหารแด่พระสารีบุตรในระหว่างทาง
นายปุณณะก็นึกได้ว่าตนก็ได้ทำบุญกับพระสารีบุตรเช่นกัน ต่างคนก็ต่างอนุโมทนาชื่นชมซึ่งกันและกัน จากนั้นนายปุณณะก็รับประทานอาหาร แล้วพักผ่อน นอนหนุนตักภรรยาหลับไป พอตื่นขึ้นมา ก้อนดินที่ไถเอาไว้ทั้งหมดกลายเป็นทองคำ ด้วยกำลังบุญที่ส่งผลจากการได้ถวายทานกับพระสารีบุตรที่เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัตินั้น
หลังจากที่เห็นก้อนดินเป็นทองคำ นายปุณณะไม่เชื่อสายตายตนเอง คิดว่า .. เราตาลายไปหรือเปล่า จึงถามภรรยา ได้รับคำตอบว่า...เห็นเหมือนกัน จึงไปจับก้อนดู พบว่าเป็นทองคำจริง ๆ
นายปุณณะมีดวงปัญญาคิดว่าสมบัติที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดอันตราย รีบเอาก้อนทองนั้น เดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร กราบทูลความเป็นจริงทั้งหมด พระเจ้าพิมพิสารก็สั่งให้ข้าราชบริพารเอาเกวียนมาขนทองไป ข้าราชบริพารเหล่านั้นก็มองว่าทองที่เกิดขึ้นควรเป็นของกษัตริย์ ก็คุยกันว่าจะขนไปให้กษัตริย์ ...ปรากฏว่า ทองเหล่านั้นก็กลายเป็นดินทันที
พวกมหาดเล็กก็ตกใจ รีบไปรายงานพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารถามว่า “เจ้าพูดว่าอย่างไรมันถึงกลายเป็นดิน” มหาดเล็กก็บอกว่า " ทองเหล่านี้เป็นสมบัติของพระเจ้าแผ่นดิน” พอพูดเสร็จทองนั้นก็กลายเป็นดินทันที พระเจ้าพิมพิสาร ให้กลับไปพูดใหม่ว่า “ ทองนั้นเป็นของนายปุณณะ “ มหาดเล็กเหล่านั้นก็กลับไปที่นา แล้วพูดว่า “เรามาขนสมบัติของนายปุณณะ ดินก็กลายมาเป็นทองคำอีก”
มหาดเล็กจึงขนทองเหล่านั้นไปกองไว้ที่หน้าท้องพระโรง มีความสูงประมาณ 80 ศอก พระเจ้าพิมพิสารประกาศถามว่าใครมีสมบัติมากขนาดนี้ บ้าง ...ปรากฏว่าไม่มี ก็เลยแต่งตั้ง มอบฉัตรเศรษฐีสถาปนาให้นายปุณณะเป็นเศรษฐี
หลังจากที่นายปุณณะเป็นเศรษฐีแล้วก็ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ได้ถวายภัตตาหารพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ตลอด 7 วัน จากนั้นเมื่อได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว นายปุณณะหรือปุณณเศรษฐีพร้อมภรรยาและธิดา คือนางอุตตราอุบาสิกาก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันกันทั้งครอบครัว
จากเรื่องนี้ได้ข้อคิดว่า
... การทำบุญ หากทำถูกเนื้อนาบุญ แม้ว่าทำบุญน้อย แต่ได้บุญมหาศาล เพราะพระสารีบุตรเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ
....การทำบุญทุกครั้ง จะต้องปลื้ม ทั้งก่อนทำ ....ขณะทำ....และหลังจากทำแล้ว ...ยิ่งปลื้ม บุญก็จะทับทวีไปเรื่อย ๆ
....การทำบุญให้ได้บุญมากนั้น จะต้องประกอบองค์ คือ ผู้ให้ก็มีความบริสุทธิ์ ...ผู้รับก็มีความบริสุทธิ์ ...สิ่งของที่ให้ก็ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ...และเจตนาที่ให้บริสุทธิ์ อย่างนี้ กุศลผลบุญที่ได้จะนับจะประมาณมิได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น