วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2561



ภาค 2
อัศจรรย์...พลังแห่งความเมตตา

                       ความเดิมตอนที่ 1  เมื่อนายปุณณะ ได้เป็นเศรษฐีในเมืองของพระเจ้าพิมพิสารแล้ว  ก็ไม่ประมาทในชีวิต  หมั่นสร้างสมบุญอย่างต่อเนื่อง  ทำให้ปุณณเศรษฐี  พร้อมด้วยภรรยาและธิดา คือนางอุตตราอุบาสิกาก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันกันทั้งครอบครัว

                        ย้อนกลับไปถึงเศรษฐีอดีตนายจ้างของนายปุณณะ มีลูกชาย จึงมาสู่ขอนางอุตตรา ไปเป็นลูกสะใภ้  เนื่องจากตระกูลอดีตเศรษฐีนายจ้างของนายปุณณะท่านนี้ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ  ไม่เข้าใจเรื่องบุญ  ยังหวงทรัพย์สมบัติ ซึ่งปุณณเศรษฐีไม่อยากยกลูกสาวให้   แต่โดนทวงบุญคุณ  ด้วยการตัดพ้อว่า ตอนที่ยากจนมาอาศัยเขา พอรวยขึ้นมาทำเย่อหยิ่ง  นายปุณณะก็ระลึกถึงพระคุณ  จึงจำใจต้องยกลูกสาวให้

                    นางอุตตรา เป็นพระโสดาบันแล้ว เข้าใจเรื่องบุญบาปอย่างดี  พอแต่งงานออกเรือนไปอยู่กับสามีก็คิดอยากจะทำบุญ  ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้ออกพรรษาเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งเดือน ก็ส่งข่าวไปถึงปุณณเศรษฐีผู้เป็นพ่อว่า ให้พ่อตัดแขนขาเสียดีกว่าที่จะให้ลูกมาอยู่ในตระกูลแบบนี้ คิดถึงบุญเหลือเกิน  อยากจะทำบุญเหลือเกิน   

                  นางอุตตราก็ส่งข่าวไปถึงปุณณเศรษฐีผู้เป็นพ่อ ปรึกษาว่าจะทำอย่างไร  ปุณณเศรษฐีก็สงสารลูกสาว  ก็เลยหาทางออกให้โดยส่งเงินไปให้ประมาณ 15,000 กหาปณะ ให้นางอุตตราเอาเงินไปจ้างหญิงคณิกา หรือหญิงงามเมือง หรือหญิงโสเภณีเพื่อมาดูแลสามีแทน แล้วตนเองจะได้มีโอกาสไปทำบุญ 

                     เมื่อนางอุตตราได้เงินจากพ่อมาแล้ว ก็ไปจ้างหญิงงามเมืองชื่อนางสิริมาซึ่งเป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจจ์ เพื่อมาดูแลสามีแทนตน    ฝ่ายสามีพอเห็นนางสิริมาก็ชอบอกชอบใจ เลยยอมให้นางอุตตราไปทำบุญ นางได้นิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมพระสาวก มารับภัตตาหารที่บ้านตลอด   15 วัน นางดูแลภัตตาหาร รวมทั้งการประกอบอาหาร การปรุงอาหารในครัวด้วยตนเอง จนเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยเขม่า

                     ขณะเดียวกัน นางสิริมาเมื่อมารับจ้างอยู่ปรนนิบัติสามีของนางอุตตราที่บ้านนี้  หลายวัน ก็สำคัญผิดคิดว่า ตนเองเป็นภรรยาที่มีอำนาจใหญ่ในบ้านนี้    วันหนึ่ง  เห็นสามีมองลงข้างล่าง   แล้วยิ้มเยาะว่า  แล้วหันกลับไป  นางสิริมาอยากรู้ว่าสามีมองอะไร  จึงมองตามบ้าง  ปรากฏว่าเห็นนางอุตตรา กำลังปรุงอาหารอยู่     ...ความอิจฉา ริษยาทำให้โกรธแค้นนางอุตตราเป็นอันมาก    นางสิริมาจึงเดินลงจากปราสาทไปในครัว  เอาทัพพีตักเนยใสที่เดือดพล่านในหม้อทอดขนม แล้วก็เดินมุ่งไปหานางอุตตรา 

                        ด้วยความที่นางอุตตราอุบาสิกาบรรลุโสดาบันแล้ว และแผ่เมตตาเป็นปกติ เมื่อเห็นนางสิริมาเดินมุ่งมาอย่างประสงค์ร้ายเช่นนั้น จึงแผ่เมตตาไปถึงนางว่า  หญิงสหายของเราทำอุปการะแก่เรามาก จักรวาลก็แคบเกินไป พรหมโลกก็ต่ำนัก ส่วนคุณของหญิงสหายเราใหญ่มาก ก็เราอาศัยนาง จึงได้ถวายทานและฟังธรรม ถ้าเรามีความโกรธแก่นางสิริมานั้น เนยใสนี้จงลวกเราเถิด  ถ้าไม่มี  ก็จงอย่าลวกเลย เนยใสซึ่งเดือดพล่านที่นางสิริมานั้น    รดลงเบื้องบนศีรษะของ นางอุตตรานั้น  เป็นเหมือนน้ำเย็น   

                       ด้วยกำลังบุญการแผ่เมตตา ปรารถนาดี   ลำดับนั้น พวกทาสีของนางอุตตราเห็นนางสิริมาตักเนยใสร้อนเข้ามา พากันรุมจับ รุมตี จนกระทั่งนางสิริมาล้มลงไป แต่นางอุตตราก็ห้าม แต่ไม่สามารถห้ามไว้ได้  พวกทาสีพากันทุบตี  จนนางสิริมาก็รู้ว่าตนทำผิดไปแล้ว   ถ้าเราไม่กราบขอขมา ไม่ขอโทษ ศีรษะเราคงจะแตก 7 เสี่ยงตายเป็นแน่ ก็เลยไปขอให้นางอุตตรายกโทษให้ 

                         แต่นางอุตตราเป็นคนมีปัญญา  จึงบอกนางสิริมาว่า เราไม่ถือโทษโกรธเคืองหรอก ถ้าจะให้ดีต้องไปขอโทษกับพ่อทางธรรมของเรา คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่นางสิริมาไม่กล้าเข้าไปใกล้พระพุทธเจ้า จนกระทั่งนางอุตตราต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างให้ เมื่อพร้อมแล้วก็นิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมพระสาวกมารับภัตตาหารที่บ้าน แล้วก็ให้นางสิริมามีโอกาสได้ถวายทาน มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเมื่อมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน  

                           พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถามนางอุตตราว่า ตอนที่นางสิริมาตักเนยใสร้อน ๆ ราดใส่ คิดอย่างไร นางอุตตราตอบว่า หม่อมฉันคิดอย่างนี้ว่า จักรวาลก็แคบเกินไป พรหมโลกก็ต่ำนัก ส่วนคุณของหญิงสหายของหม่อมฉันใหญ่มาก เพราะหม่อมฉันอาศัยเขา จึงได้เพื่อถวายทานและฟังธรรม ถ้าหม่อมฉันมีความโกรธเหนือนางนี้ เนยใสที่เดือดพล่านนี้จงลวกหม่อมฉันเถิด ถ้าหาไม่แล้ว ขออย่าลวกเลย แล้วได้แผ่เมตตาไปยังนางสิริมานี้ พระเจ้าข้า

                              พระศาสดาตรัสว่า ดีละ ดีละ อุตตรา การชนะความโกรธอย่างนั้น สมควร ก็ธรรมดาคนมักโกรธ พึงชนะด้วยความไม่โกรธ คนด่าเขา ตัดพ้อเขา พึงชนะได้ด้วยความไม่ด่าตอบ ไม่ตัดพ้อตอบ คนตระหนี่จัด พึงชนะได้ด้วยการให้ของตน คนมักพูดเท็จ พึงชนะได้ด้วยคำจริง ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า


      พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ 

พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี
พึงชนะคนตระหนี่ ด้วยการให้
พึงชนะคนพูดเหลวไหล ด้วยคำจริง

                            เมื่อจบพระธรรมเทศนา  นางสิริมาบรรลุโสดาบัน
   กลับบ้านไป เลิกประกอบอาชีพโสเภณี  หันหน้าศึกษา
ธรรมะ  รักษาศีล ปฏิบัติธรรม   ใส่บาตรพระ 8 รูปทุกวันเป็น
ประจำ  ด้วยทานอันประณีตที่สุดเท่าที่จะหาได้ 

#ธรรมะดีดี  #ข้อคิด #สาระดีดี #มีประโยชน์  #คนจริง #รักจริง  #จริงใจ 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...