วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561


จากลูกเศรษฐี ...ตกต่ำถึงขีดสุด ..มาสู่พระอรหันต์
คนเราเกิดมาในโลกล้วนมีทุกข์ทั้งสิ้น ....

                   พระนางปฏาจารา เป็นธิดาของเศรษฐีผู้มีสมบัติ ๔๐ โกฏิ ในกรุงสาวัตถี มีรูปร่างสวยงาม ในเวลานางมีอายุ ๑๖ ปี มารดาบิดารักและหวงนางมาก จึงให้นางอยู่บนชั้นบนปราสาท ๗ ชั้น.  นางไม่มีโอกาสพบปะกับใคร  นางจึงลอบได้เสียกับคนรับใช้คนหนึ่งของตน.

                    ต่อมา มารดาบิดาของนางตกลงจะยกนางให้แก่ชายหนุ่มคนหนึ่ง ในสกุลที่มีชาติเสมอกัน กำหนดวันแต่งงาน  นางจึงพูดกะคนรับใช้ผู้นั้นว่า  “ได้ยินว่า มารดาบิดายกฉันให้แก่สกุลโน้น เมื่อเวลาที่ฉันไปสู่สกุลผัวแล้ว เราก็ไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก  จงพาฉันหนีไปถอะ

                    คนรับใช้นั้นรับคำ  แล้วบอกว่า ถ้าอย่างนั้นฉันจะยืนอยู่ที่ประตูเมืองตอนเช้าตรู่พรุ่งนี้ หล่อนรีบออกไปด้วยอุบายอย่างหนึ่งแล้ว มาเจอกัน”  นางได้หนีไปกับคนใช้  ได้ไปอาศัยอยู่บ้านแห่งหนึ่ง ไถนาในป่าแล้ว ได้นำฟืนและผักมา. นางก็ทำการหุงข้าวด้วยมือตนเอง

                    เมื่อนางตั้งครรภ์แล้ว ครรภ์แก่ขึ้น นางอ้อนวอนสามีว่า  “ที่นี่เราไม่มีใครอุปการะเราเลย  เราไปหามารดาบิดาเถอะ  ท่านคงใจอ่อนโยน ไม่โกรธเราหรอก  แล้วฉันจะคลอดบุตรที่นั้น.”  สามีก็พยายามคัดค้านครั้งที่ 1 นางก็พยายามอ้อนวอนอีก  แต่สามีก็ยังไม่ยอมตาม   นางรอเวลาที่สามีนั้นไปป่า จึงเรียกคนผู้คุ้นเคยมาสั่งว่า “ถ้าเขามาไม่เห็นฉัน เขาถามว่า ฉันไปไหน?’ พวกท่านบอกว่าฉันไปบ้านบิดามารดานะ” ดังนี้แล้วก็ปิดประตูเรือนหลีกไป

                     ฝ่ายสามีมาแล้ว ไม่เห็นภรรยาจึงถามคนคุ้นเคย ฟังเรื่องนั้นแล้ว ก็ติดตามไปด้วยคิดว่า จักให้นางกลับ” เมื่อพบนางแล้วแม้เขาจะอ้อนวอนประการต่าง ๆ ก็มิอาจทำให้นางกลับได้  ในเวลานั้นนางปวดท้องคลอด จึงเข้าไปในพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นดิน คลอดเด็กแล้ว คิดว่า กลับบ้านดีกว่าเด็กคลอดออกมาแล้ว

                      ต่อมา นางท้องคนที่ 2 เมื่อครรภ์แก่จึงอ้อนวอนสามีเหมือนครั้งก่อน เมื่อสามีไม่ยอมไป จึงอุ้มบุตรด้วยสะเอวหลีกไปอีก  สามีกลับมาก็ตามไปชวนกลับ แต่นางไม่ยอมกลับในเวลานั้น พายุนอกฤดูเกิดขึ้น. ฝนตกอย่างหนัก นางก็ปวดท้องคลอดนางเรียกสามีแล้วบอกว่า  ฉันทนไม่ไหวแล้ว หาที่กำบังให้ฉันหน่อย.

                     สามีนั้นมีมีดอยู่ในมือ ตรวจดูข้างโน้นข้างนี้ เห็นพุ่มไม้ซึ่งเกิดอยู่บนจอมปลวกแห่งหนึ่ง เริ่มจะตัด. ลำดับนั้น อสรพิษมีพิษร้ายกาจเลื้อยออกจากจอมปลวก กัดเขาในที่นั้นกายเป็นสีเขียว ล้มลงในที่นั้นนั่นเอง.

                     ฝ่ายภรรยาก็ได้เสวยทุกข์อย่างมหันต์ เฝ้ามองดูการมาของสามีอยู่ โดยไม่ทราบว่าเขาได้ตายไปแล้ว  ในที่สุดก็คลอดบุตรคนที่ ๒ ทารกทั้ง ๒ ทนกำลังแห่งฝนและลมไม่ได้ ก็ร้องไห้ลั่น.

                   นางเอาทารกทั้ง ๒ คนนั้นไว้ที่ระหว่างท้อง  ยืนคร่อมเด็กทั้งสองด้วยเข่าและมือทั้ง ๒ เพื่อบังฝนให้จนตลอดราตรี. ร่างกายนางซีด

                    ครั้นรุ่งเช้า นางก็อุ้มบุตรคนที่เพิ่งคลอด ซึ่งมีสีดังชื้นเนื้อสดด้วยเอว จูงบุตรคนโตด้วยนิ้วมือพลางกล่าวว่า ไปตามหา บิดาเจ้า เมื่อเห็นสามีตายบนจอมปลวกมีกายสีเขียวก็ร้องไห้รำพันว่า  เป็นเพราะเราทีเดียว สามีของเราจึงต้องตาย ที่หนทางเปลี่ยว” เดินไปร้องไห้ไป

                    มาถึงแม่น้ำอจิรวดี  น้ำสูงประมาณเพียงหน้าอก เพราะฝนตกตลอดคืน นางไม่อาจลงน้ำพร้อมด้วยทารกทั้ง ๒ คนได้  จึงให้บุตรคนใหญ่รออยู่ที่ฝั่งนี้ แล้วอุ้มบุตรคนเล็กข้ามแม่น้ำไปที่ฝั่งโน้น ปูลาดกิ่งไม้ไว้ให้บุตรนอนแล้วคิดว่าจะข้ามรับบุตรคนโต แต่ใจของนางก็ไม่อาจจะละความเป็นห่วงบุตรอ่อนได้  จึงเดินไป เหลียวดูไป



                     พอถึงกลางแม่น้ำ เหยี่ยวตัวหนึ่งก็เห็นลูกอ่อน มีผิวแดงดังชิ้นเนื้อนอนอยู่ จึงโฉบลงมาจากอากาศ ด้วยสำคัญว่าเป็นชิ้นเนื้อ  นางเห็นมันโฉบลงเพื่อต้องการบุตร จึงยกมือทั้งสองขึ้น ร้องไล่ด้วยเสียงอันดัง ๓ ครั้งว่า “สู สู” เหยี่ยวไม่ได้ยินเสียงนั้นเลยเพราะไกลกัน จึงเฉี่ยวเด็กอ่อนบินขึ้นสู่ฟ้าทันที.


                       ส่วนบุตรคนที่ยืนอยู่อีกฝั่ง  เห็นมารดายกมือทั้งสองขึ้น ร้องเสียงดังท่ามกลางแม่น้ำ จึงกระโดดลงแม่น้ำโดยเร็วด้วยสำคัญว่ามารดาเรียก จึงถูกกระแสน้ำพัดหายไป  นางเสียใจ เดินร้องไห้รำพันว่า บุตรของเราคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีก็ตายในที่เปลี่ยว” ในระหว่างทางเดิน พบบุรุษคนหนึ่ผู้หนึ่งเดินมาจากกรุงสาวัตถี จึงถามว่า ท่านอยู่ที่ไหน?”  เมื่อรู้ว่าอยู่กรุงสาวัตถี ก็ถามถึง ตระกูลชื่อโน้น   ใกล้ถนนโน้น ในกรุงสาวัตถีมีอยู่ ทราบไหม?  เมื่อรู้ว่าทราบ จึงถามความเป็นไปในเรือนเศรษฐีนั้น

                          บุรุษนั้นบอกว่า เมื่อคืน พายุได้พัดเอาเรือนล้มทับ คนที่อยู่ข้างในตายหมด วันนี้คนทั้งสามเหล่านั้นก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน  นางได้ฟังดังนั้น เป็นบ้า ยืนตะลึงอยู่ ร้องไห้รำพันบ่นเพ้อไปว่า:- “บุตร ๒ คน ตายเสียแล้ว สามีของเรา   ก็ตายเสียที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนเดียวกัน.

                        เที่ยวกระเซอะกระเซิงไป ไม่รู้สึกถึงผ้าที่นุ่งซึ่งได้หลุดลง คนทั้งหลายเห็นนางแล้ว เข้าใจว่าหญิงบ้า จึงเอาหยากเยื่อ กอบฝุ่น โปรยลงบนศีรษะ ขว้างด้วยก้อนดิน 
                         พระศาสดาประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท ๔ ในพระเชตวันมหาวิหาร ได้ทอดพระเนตรเห็นนางผู้บำเพ็ญบารมีมาแสนกัป สมบูรณ์ด้วยอภินิหารเดินมาอยู่   ทรงดำริว่า
 “เว้นเราเสีย ผู้อื่นชื่อว่าสามารถจะเป็นที่พึ่งของหญิงผู้นี้ได้ ไม่มี”  จึงได้ทรงบันดาลให้นางเดินบ่ายหน้ามาสู่วิหาร

                      พวกพุทธบริษัทเห็นนางแล้วจึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย อย่าให้หญิงบ้านี้มาที่นี้เลย.”  พระศาสดาตรัสว่า พวกท่านจงหลีกไป อย่าห้ามเธอ”  ในเวลานางมาใกล้ จึงตรัสว่า จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง.”  นางกลับได้สติด้วยพุทธานุภาพในขณะนั้นเอง.  ในเวลานี้ นางรู้ตัวว่าผ้านุ่งหลุดหมด ให้เกิดหิริโอตัปปะขึ้น  นางจึงนั่งกระโหย่ง  มีบุรุษผู้หนึ่งโยนผ้าห่มไปให้นาง.

                      นางถวายบังคมพระศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แทบพระบาททั้งสองซึ่งมีวรรณดั่งทองคำแล้วทูลว่า  “ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งแก่หม่อมฉันเถิด  เพราะว่าเหยี่ยวเฉี่ยวบุตรคนหนึ่งของหม่อมฉันไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีตายที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับตายเขาเผาเชิงตะกอนเดียวกัน.

                      พระศาสดาทรงสดับคำของนาง จึงตรัสว่า “ ปฏาจารา เธอมาอยู่สำนักของผู้สามารถจะเป็นที่พึ่งพำนักอาศัยของเธอได้แล้ว บุตรคนหนึ่งของเธอถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป สามีตายแล้วที่ทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับฉันใด น้ำตาที่ไหลออกของเธอผู้ร้องไห้อยู่ในสงสารนี้ ในเวลาที่คนอันเป็นที่รักต้องตาย ยังมากกว่าน้ำแห่งมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน”    ต่อมานางได้บวช และบำเพ็ญสมณธรรม   จนได้เป็น เอทัคคะทางด้าน ผู้ทรงพระวินัย 

                       จะเห็นว่า ทุกยุคทุกสมัยก็มีความทุกข์ ทั้งสิ้น  ทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เพราะฉะนั้นใครที่มีความทุกข์ ให้นึกถึงคนที่มีความทุกข์มากกว่าเรา ซึ่งยังมีอีกมาก  เราไม่ได้เป็นบุคคลที่ทุกข์ที่สุดในโลก  อย่าฆ่าตัวเองหรือทำร้ายตัวเอง เลยนะ คะ

                       ท้ายสุดนี้ ขอให้ทุกท่านผ่านพ้นความทุกข์ไปได้อย่างปลอดภัย  ใครที่มีความทุกข์ก็ขอให้พ้นจากทุกข์  แสวงหาสิ่งที่พ้นทุกข์  โดยการไปสวดมนต์  นั่งสมาธิ  ทำบุญทำทานที่วัดใกล้บ้าน  หรือถ้าไม่รู้จะไปที่ไหน  ก็มาสวดธัมมจักรฯ  ที่วัดใหญ่แถวคลองสามก็ได้  เห็นเขาจะสวดให้ได้ 1000 ล้านจบภายในสิ้นปีนี้  เพื่อเอาบุญใหญ่ให้กับแผ่นดินไทยและพระพุทธศาสนา   ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ขออย่าได้มีความทุกข์  ให้มีแต่ความสุข  หากมีความสุขแล้ว  ก็ขอให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเทอญ


#ธรรมะดีดี  #ข้อคิด #สาระดีดี #มีประโยชน์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...