วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2561



...จองเวรกันทำไม  ???...


เวรย่อมระงับ...ด้วยการไม่จองเวร 

ทุกชีวิตเกิดมาในโลกใบนี้  ย่อมเจอคน อยู่ 3 ประเภทด้วยกัน คือ บุคคลที่รักเรา    บุคคลที่เฉย ๆ ต่อเรา  และบุคคลที่ไม่ชอบเรา

...หากเจอคนที่รักเรา ชีวิตของเราก็สุดแสนจะดีและมีความสุข  

...หากเจอคนที่เฉย ๆ กับเรา ไม่รักและไม่เกลียด  คนพวกนี้ก็ไม่มีผลกับชีวิตเรา  เพราะเขาพร้อมที่จะดีกับเรา ถ้าเราดีกับเขา และถ้าเราร้ายใส่เขา  เขาก็จะร้ายตอบเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราไม่ห่วงคนประเภทนี้  

...แต่หากเจอคนที่ไม่ชอบเรา  อันนี้เป็นโจทย์ที่หนัก  ..ถ้าเขาไม่ดีกับเรา  แล้วเรากระทำไม่ดีตอบ  สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ก่อเวรต่อกันไม่รู้จบ ...หากเราไม่อยากให้ชีวิตในวัฏฏสงสารมีความยืดยาว จองล้างจองผลาญกันต่อไป  เราก็อย่าไปจองเวรตอบ จงให้อโหสิกรรม  ดูเหมือนง่ายแต่ทำยากมาก  เพราะทุก ๆ คน ไม่อยากให้ใครมาเอารัดเอาเปรียบ หรือเป็นฝ่ายถูกระทำเพียงฝ่ายเดียว   มันยาก แต่ก็ต้องพยายามอดทน อดกลั้นสักชาติหนึ่ง  ถ้าชาตินี้ชนะ  ก็จะชนะทุกชาติ  

การจองเวรเกิดขึ้นตอนไหน....???  หากมีคนทำร้ายหรือเบียดเบียนเรา  การจองเวรจะเกิดตอนที่เรามีความแค้น ..อาฆาตกับคนที่ทำร้าย  แล้วตั้งจิตคิดพยาบาท  ด้วยความอาฆาต แค้น จองเวรว่า “ขอให้ได้ทำร้าย หรือทำลายเหมือนอย่างที่เขาไว้บ้าง”  อย่างนี้เป็นต้น 
วันนี้นำเรื่องกุมารีกินไข่  ซึ่งเป็นเรื่องในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้าที่ 159  สรุปใจความว่า 


มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อปัณฑุระ อยู่ไม่ไกลเมืองสาวัตถีในหมู่บ้านนั้น มีชาวประมงอยู่คนหนึ่ง. เขาเดินทางไปเมืองสาวัตถี เห็นไข่เต่า ริมฝั่งแม่น้ำอจิรวดีจึงเก็บและถือไปต้มกิน  และได้ให้ไข่ฟองหนึ่งแก่กุมาริกาคนหนึ่ง  นางเคี้ยวกินไข่เต่านั้นแล้ว ติดอกติดใจ ไม่ยอมทานอย่างอื่นเลย 

                  ครั้งนั้นมารดาของนาง ถือเอาไข่ฟองหนึ่งจากที่แม่ไก่ได้ให้ แก่นาง. นางเคี้ยวกินไข่
ฟองนั้นแล้ว  ติดใจ ตั้งแต่นั้นมาต้องทานไข่ไก่ทุกวัน  ส่วนแม่ไก่เวลาตกไข่แล้ว เห็นกุมารีมาเอาไข่ของตนเคี้ยวอยู่ ก็ผูกอาฆาต ตั้งความปรารถนาว่า " หากเราละจากอัตภาพนี้แล้ว พึงเกิดเป็นยักษิณี เป็นผู้สามารถจะเคี้ยวกินทารกของนางได้

                  เมื่อแม่ไก่ทำกาละ  (ตาย) แล้วไปเกิดเป็นนางแมวในเรือนนั้นนั่นเอง.แม้นางกุมาริกา ทำกาละ (ตาย) แล้ว บังเกิดเป็นแม่ไก่ในเรือนนั้นเหมือนกัน.
เมื่อแม่ไก่ตกไข่  นางแมวก็เอาไข่ไปกิน ทำอย่างนี้ แม้ครั้งที่ 2  และครั้งที่ 3  

                 ทำให้แม่ไก่ในชาตินั้น ผูกอาฆาตไว้ว่า   หากเราทำกาละแล้ว ไปเกิดในอัตภาพที่ได้เคี้ยวกินนางแมวพร้อมทั้งลูก ด้วยความปรารถนานี้ จึงได้ไปเกิดเป็นนางเสือเหลือง   ฝ่ายนางแมวเมื่อทำกาละแล้ว  บังเกิดเป็นนางเนื้อ.  เมื่อนางเนื้อคลอดบุตร นางเสือเหลืองก็มาเคี้ยวกินนางเนื้อพร้อมด้วยลูกทั้งหลาย.

                  สองสัตว์นั้นเคี้ยวกินอยู่อย่างนี้ ยังทุกข์ให้เกิดขึ้นแก่กันและกัน  ๕๐๐ ชาติ ด้วยความอาฆาตกันนี้   ในที่สุดนางเนื้อจึงไปเกิดเป็นยักษิณี ส่วนนางเสือเหลืองไปเกิดเป็นกุลธิดาในเมืองสาวัตถี.

                  วันหนึ่งนางกุลธิดา เดินทางจากบ้านบิดามารดาจะกลับไปที่บ้านของสามี พร้อมด้วยสามีและบุตรที่อุ้มอยู่ในอ้อมแขน ขณะที่นางอุ้มลูกนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่ใกล้หนองน้ำไม่ไกลจากกรุงสาวัตถี  สามีของนางลงไปอาบน้ำในหนองน้ำ  นางยักษิณีได้ปรากฏตัวขึ้น   นางกุลธิดาจำได้ว่านางยักษิณีเป็นศัตรูเก่า จะจับลูกของนางไปกิน  นางจึงรีบอุ้มลูกวิ่งไปทางพระเชตวัน


ขณะนั้นพระศาสดากำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ในท่ามกลางมหาชน นางวิ่งไปอย่างเร็ว เมื่อไปถึงก็ได้วางบุตรลงที่ข้างพระบาทของพระศาสดา ฝ่ายนางยักษิณีก็วิ่งติดตามหญิงนั้นไปถึงประตูวัดพระเชตวัน  แต่ถูกเทวดาเฝ้าประตูขัดขวางไม่ให้เข้าไป   พระศาสดาทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ก็ได้ตรัสบอกพระอานนท์ให้ไปบอกเทวดาที่ซุ้มประตูให้อนุญาตนางยักษิณีเข้ามาได้  

                เมื่อนางยักษิณีเข้ามา อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระศาสดาแล้ว พระศาสดาได้ตรัสสอนทั้งนางกุลธิดา และนางยักษิณีว่า “หากเธอทั้งสองไม่มาหาเรา เวรของเธอทั้งสองก็จะยังดำเนินอยู่ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด   พระพุทธองค์ตรัสเรื่องการไม่จองเวร ว่า “ ผู้ใดย่อมปราถนาสุขเพื่อตน  เพราะก่อทุกข์ในผู้อื่น  ผู้นั้น เป็นผู้ระคนด้วยเครื่องระคนคือเวร  ย่อมไม่พ้นจากเวรได้  ”

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง นางยักษิณี สมาทานศีล 5 พ้นแล้วจากเวร ฝ่ายกุลธิดานั้น ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.

จะเห็นได้ว่าการจองเวรกันนั้น ทำให้เกิดทุกข์   เพราะฉะนั้นหากใครทำไม่ดีกับเรา  ก็ขอให้อโหสิกรรมเขาเสีย   หมั่นแผ่เมตตาบ่อย ๆ อย่าได้มีเวรมีภัยกับใคร และอย่าได้เจอคนที่ไม่ดี ให้เจอแต่บัณฑิต นักปราชญ์ และคนดี ๆ เท่านั้น   จะทำให้ใจเราเป็นสุขขึ้น

#ธรรมะดีดี  #ข้อคิด #สาระดีดี #มีประโยชน์  #คนจริง #รักจริง  #จริงใจ 







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...