กำเนิดอบายภูมิชีวิตทุกชีวิต ล้วนแสวงหาที่พึ่งให้กับตัวเอง เริ่มตั้งแต่วัยเด็กก็แสวงหาความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ มีพ่อแม่เป็นที่พึ่ง เมื่อเจริญวัยเข้ารับการศึกษาก็ยึดเอาครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง วัยทำงานก็แสวงหาผู้หลักผู้ใหญ่เป็นที่พึ่ง จวบจนแสวงหาคู่ครองเพื่อพึ่งพาอาศัยกัน หรือเป็นเพื่อนยามแก่ชรา บางคนหลงผิดไปแสวงหาพวกไสยศาสตร์หรือมนต์ดำเป็นที่พึ่ง บางทีถึงกับยึดเอาสัตว์เดียรัจฉาน ที่แปลกประหลาดเป็นที่พึ่งก็มี
สิ่งที่กล่าวมานี้ล้วนแต่มิใช่ที่พึ่งทั้งสิ้น และบางสิ่งกลับจะนำพาชีวิตให้ตกต่ำอีกด้วย ที่พึ่งที่ระลึกอันแท้จริงมีอย่างเดียวคือ พระรัตนตรัย ซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของเราทุกคนในโลก การจะยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้ ต้องอาศัยการทำใจให้หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายภายในตัว ให้จิตมีอารมณ์เดียว เมื่อใจหยุดนิ่งถูกส่วนดีแล้ว เราจะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน ซึ่งเป็นที่พึ่งอันประเสริฐอย่างแท้จริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน จุนทสูตร ความว่า..."อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ เป็นความไม่สะอาดด้วย เป็นตัวการที่ทำให้ไม่สะอาดด้วย ดูก่อนจุนทะ ก็เพราะเหตุแห่งการประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ นรกจึงปรากฏ กำเนิดเดียรัจฉานจึงปรากฏ เปตวิสัยจึงปรากฏ หรือว่าทุคติอย่างใดอย่างหนึ่งแม้อื่นจึงปรากฏมีขึ้น"ภพภูมิต่างๆ ที่บังเกิดขึ้นมาในสังสารวัฏ เช่น นิรยภูมิ เปตวิสัย อสุรกายและภูมิของสัตว์เดียรัจฉาน อบายภูมิเหล่านี้ เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับผู้ที่มีกาย วาจาและใจไม่บริสุทธิ์ มีไว้เพื่อลงโทษมนุษย์ที่ประพฤติผิดจากทำนองคลองธรรม เป็นการขังสัตว์เอาไว้ไม่ให้หลุดจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏไปได้ ซึ่งจะได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจแสนสาหัส แตกต่างจากคุกหรือกรงขังในโลกมนุษย์มากมายหลายเท่านักก่อนพุทธปรินิพพาน เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่ที่สวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร ใกล้เมืองปาวา พระบรมศาสดาตรัสสนทนากับนายจุนทะ ซึ่งกำลังอุปัฏฐากพระองค์ว่า “ดูก่อนจุนทะ ในโลกนี้ ท่านชอบใจความสะอาดของใครหนอ” นายจุนทะก็กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ ผู้ถือเต้าน้ำ สวมพวงมาลัยสาหร่าย บำเรอไฟ ลงอาบน้ำเป็นวัตร ย่อมบัญญัติความสะอาดไว้ และได้ชักชวนสาวกว่า...มาเถิด ท่านผู้เจริญ ท่านลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้าตรู่ พึงจับต้องแผ่นดิน... ถ้าไม่จับต้องแผ่นดิน พึงจับต้องโคมัยสด... ถ้าไม่จับต้องโคมัยสด ก็ให้จับต้องหญ้าเขียวสด ...ถ้าไม่จับต้องหญ้าเขียวสด ก็ให้บำเรอไฟ ...หากไม่บำเรอไฟ ก็ให้ทำการประนมอัญชลีนอบน้อมพระอาทิตย์... ถ้าไม่เช่นนั้นก็ให้ลงอาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง ข้าพระองค์ชอบใจความสะอาดของพราหมณ์พวกนั้น พระเจ้าข้า”พระบรมศาสดาทรงทราบว่า นายจุนทะยังไม่เข้าใจเรื่องความสะอาดทางกาย วาจา และใจตามหลักของผู้รู้ ด้วยพระมหากรุณาจึงตรัสสอนว่า “ดูก่อนจุนทะ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ พากันบัญญัติความสะอาดเป็นอย่างอื่น ส่วนความสะอาดในวินัยของพระอริยะเป็นอีกอย่างหนึ่ง”แล้วพระพุทธองค์ทรงอธิบายว่า “ตราบใดที่มนุษย์ยังประพฤติผิดทางกาย วาจาและใจอยู่ ประพฤติผิดไปจากกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ คือยังยินดีในการฆ่าสัตว์ ...ลักขโมย... ประพฤติผิดในกาม ...พูดเท็จ ...พูดส่อเสียด ...พูดคำหยาบ... พูดเพ้อเจ้อ ...มีความโลภคิดอยากได้ของคนอื่น ...มีจิตพยาบาท ...และเห็นผิดไปจากทำนองคลองธรรม ...แม้จะลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้าตรู่ ...จับต้องแผ่นดิน ก็เป็นผู้ไม่สะอาดอยู่นั่นเอง ...แม้จะบำเรอไฟหรือไม่ได้บำเรอไฟ ก็ยังถือว่าเป็นผู้ไม่สะอาด ...การประนมอัญชลีนอบน้อมพระอาทิตย์ ก็ไม่ใช่เป็นเครื่องบ่งบอกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ...หรือจะลงอาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง ก็ไม่ชื่อว่าเป็นผู้สะอาดอย่างแท้จริง”อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ เป็นของไม่สะอาด อีกทั้งยังเป็นตัวการที่ทำให้มนุษย์ไม่สะอาด ที่โลกมนุษย์ของเราเกิดภาวะวิกฤติ หรือปัญหาสงคราม ดินอากาศฟ้าวิปริตไปจากเดิม ก็มีสาเหตุมาจากมนุษย์ ที่ประพฤติผิดศีลผิดธรรมนี่แหละเมื่อมีการรบราฆ่าฟันกัน ทำให้ต้องหลบหลีกลี้ภัยเอาตัวรอด ต้องสะดุ้งหวาดกลัวอยู่เป็นนิตย์ หาความเย็นกายสบายใจได้ยาก เป็นเหมือนกับการจำลองอบายภูมิย่อมๆ มาไว้ในโลกมนุษย์ทีเดียว เมื่ออกุศลกรรมบถหนาแน่นมากขึ้น นิรยภูมิ กำเนิดเดียรัจฉาน เปตวิสัย หรือว่าทุคติอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะบังเกิดขึ้นตอนนี้แหละพระองค์ทรงบัญญัติความสะอาดทางกาย ในอริยวินัยว่า ใครก็ตามที่ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ละการลักทรัพย์ ไม่ถือเอาสิ่งของของผู้อื่นที่เจ้าของมิได้ให้ ด้วยจิตคิดขโมย ละการประพฤติผิดในกาม ไม่เจ้าชู้ ยินดีในคู่ครองของตัวเองเท่านั้น ไม่ประพฤติล่วงละเมิดในบุรุษหรือสตรีที่มีเจ้าของ ผู้ที่ควบคุมกายตัวเองไม่ให้ไปกระทบใครได้อย่างนี้ ชื่อว่ามีกายบริสุทธิ์อย่างแท้จริงความสะอาดทางวาจามี ๔ อย่าง คือ... ละการพูดเท็จ เมื่อถูกผู้อื่นนำไปเป็นพยานก็ไม่เป็นผู้กล่าวเท็จทั้งๆ ที่รู้ เพราะเห็นแก่อามิสเล็กน้อย...ละคำส่อเสียด คือ ฟังความข้างนี้แล้วไปบอกข้างโน้น เพื่อทำลายคนหมู่นี้ หรือฟังความข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อทำลายคนหมู่โน้น แต่เป็นคนสมานความแตกร้าว ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกัน ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินยินดีในหมู่คนผู้พร้อมเพรียงกัน และตัวเองก็กล่าวแต่วาจาที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน…ละคำหยาบ กล่าวแต่วาจาที่ไม่มีโทษ ชวนให้ปฏิบัติตาม เป็นวาจาของชาวเมือง คือ มีความไพเราะ น่าฟัง ไม่หยาบกระด้าง ไม่ทำให้ขุ่นเคืองใจ...ละคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริงเท่านั้น พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้างอิง ประกอบด้วยประโยชน์ และพูดถูกกาลอันสมควร นี่ก็เป็นลักษณะของผู้ที่ได้ชื่อว่ามีความสะอาดทางวาจาอย่างแท้จริงส่วนความสะอาดทางใจมี ๓ อย่างด้วยกัน คือ การที่บุคคลฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็น...ผู้ไม่อยากได้ของผู้อื่น ... ไม่มีจิตปองร้ายใคร และไม่ปรารถนาจะให้ใครถูกทำร้าย ...มีความเห็นชอบว่า ทานที่บุคคลให้แล้วมีผล การบูชาบุคคลผู้ควรบูชามีผล ผลวิบากของกรรมที่คนทำดีทำชั่วมีอยู่ โลกนี้โลกหน้ามีจริง มารดาบิดามีคุณจริง สัตว์ผู้เป็นโอปปาติกะมีจริง สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัด ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม มีอยู่จริงๆ นี่คือลักษณะของผู้มีความสะอาดทางใจเราจะเห็นได้ว่า บุคคลผู้ประกอบด้วยกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการนี้ ถึงแม้จะไม่ได้บำเรอไฟ ไม่ได้อาบน้ำวันละหลายหน หรือวันทาพระอาทิตย์วันละหลายรอบ ก็ได้ชื่อว่า ผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง เพราะว่ากุศลกรรมบถนี้เป็นธรรมที่ทำให้มนุษย์มีความสะอาดบริสุทธิ์ ใครก็ตามบำเพ็ญกุศลกรรมบถครบถ้วน ก็ได้ชื่อว่า เป็นมนุสสเทโว คือ เป็นเทวดาในร่างมนุษย์ ชีวิตหลังความตายจึงมีโลกสวรรค์หรือสุคติภูมิที่น่ารื่นรมย์มารองรับบุคคลนั้นบางท่านก็ได้โอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสร้างบารมีอีกครั้ง และเมื่อบุญญาบารมีเต็มเปี่ยม จนสามารถขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ ก็จะได้ไปเสวยสุขในอายตนนิพพานอันเป็นสุขล้วนๆ เป็นเอกันตบรมสุข ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดกันอีกต่อไปเรามักได้ยินเสมอว่า โลกมนุษย์นี้เป็นชุมทางของการสั่งสมบุญและบาป ส่วนภพภูมิต่างๆ ทั้งสุคติภูมิ และทุคติ เป็นเพียงแค่ผลที่มารองรับการกระทำของมนุษย์ทั้งสิ้น เป็นผลที่เกิดจากความสะอาดและไม่สะอาดทางกาย วาจา ใจนี่แหละดังนั้น หากพวกเราต้องการสุคติภูมิ หรือโลกสวรรค์มารองรับชีวิตของเราในปรโลก ก็ต้องเพิ่มเติมความสะอาดบริสุทธิ์ทั้งทางกาย วาจา และใจ ต้องหมั่นทำใจให้หยุดให้นิ่ง จนกระทั่งเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวให้ได้กันทุกคนจากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒ หน้า ๓๕๗-๓๖๕อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)เล่มที่ ๓๘ หน้า ๔๒๗
วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2563
กำเนิดอบายภูมิ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ศาสดาเอกของโลก (๑)
ศาสดาเอกของโลก (๑) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...

สาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบอนุโมทนาบุญครับ
ตอบลบน้อมกราบอนุโมทนาสาธุครับ
ตอบลบพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันสูงสุดของชาวพุทธ
ตอบลบ