ในสมัยหนึ่งครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้เกิดเรื่องราวถกเถียงกันในหมู่สงฆ์ ถึงเรื่องวินัยสงฆ์ของภิกษุผู้เลี้ยงมารดารูปหนึ่ง
ภิกษุที่ว่านี้เมื่อออกบวชในพุทธศาสนาก็ไม่สามารถปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังได้ เพราะต้องคอยมาปรนนิบัติผู้เป็นมารดาที่อาศัยอยู่ในบ้านตามลำพัง
เมื่อพระศาสดาทราบเรื่องก็ทรงตรัสกับภิกษุเหล่านั้นว่า “ภิกษุทั้งหลาย อย่าถือโทษภิกษุรูปนี้เลย แม้ในกาลก่อน เราเองเคยปรนนิบัติผู้เป็นมารดามาเหมือนกัน” แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสเล่า มาตุโปสกชาดก ชาดกว่าด้วยพญาช้างยอดกตัญญูดังนี้...
ในป่าลึกแห่งหนึ่งมีพญาช้างเผือกขาวปลอดมีรูปร่างสวยงาม มีช้างแปดหมื่นเชือกเป็นบริวาร พญาช้างเผือกตัวนี้มีความกตัญญูรู้คุณมารดา ทุกครั้งที่ออกหาอาหารก็จะนำกลับมาให้มารดาที่ตาบอดกินเสมอ โดยฝากช้างบริวารนำผลไม้รสหวานเหล่านั้นมาให้มารดา แต่ก็ถูกช้างบริวารที่นำอาหารมา กินเสียระหว่างทาง
เมื่อพญาช้างกลับมาพบว่ามารดาไม่ได้อาหาร ก็คิดจะละจากโขลงเพื่อเลี้ยงดูมารดา ในขณะที่ช้างเชือกอื่นกำลังหลับพักผ่อน พญาช้างก็แอบพาช้างมารดาหนีออกจากโขลงไปอยู่ที่เชิงเขา แล้วให้มารดาพักอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง
พญาช้างก็ตกลงใจอยู่ในถ้ำแห่งนี้ พญาช้างกับแม่อาศัยอยู่ในป่าเพียงลำพัง ดำรงชีวิตด้วยความสงบสุข
อยู่มาวันหนึ่งมีพรานป่าชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง นั่งร้องไห้อยู่ในป่า เพราะเข้าป่ามาแล้วหลงทางออกจากป่าไม่ได้ ด้วยความเมตตากรุณาพญาช้างจึงนำนายพรานออกจากป่า
ฝ่ายพรานป่าเมื่อพบช้างที่สวยงามอย่างพญาช้างก็คิดแผนร้าย ที่จะนำพญาช้างไปถวายพระราชา เนื่องจากพญาช้างมงคลของพระราชาได้ตายลง พระราชาจึงมีรับสั่งให้หาช้างงามมาถวาย จึงหักกิ่งไม้วางไว้เป็นระยะ ๆ เพื่อจะได้มาถูกทาง
อยู่มาวันหนึ่งมีพรานป่าชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง นั่งร้องไห้อยู่ในป่า เพราะเข้าป่ามาแล้วหลงทางออกจากป่าไม่ได้ ด้วยความเมตตากรุณาพญาช้างจึงนำนายพรานออกจากป่า
ฝ่ายพรานป่าเมื่อพบช้างที่สวยงามอย่างพญาช้างก็คิดแผนร้าย ที่จะนำพญาช้างไปถวายพระราชา เนื่องจากพญาช้างมงคลของพระราชาได้ตายลง พระราชาจึงมีรับสั่งให้หาช้างงามมาถวาย จึงหักกิ่งไม้วางไว้เป็นระยะ ๆ เพื่อจะได้มาถูกทาง
นายพรานเมื่อออกจากป่าได้แล้ว ก็รีบนำเรื่องช้างงามมาทูลต่อพระราชาเพื่อหวังได้รางวัล พระราชาเมื่อทราบแล้วก็ปรารถนาจะครอบครองพญาช้างนั้น จึงให้นายควาญช้างพร้อมบริวารติดตามนายพรานมาจับพญาช้างไปถวาย
นายพรานนำควาญช้างและบริวารมาจนถึงสระน้ำแห่งหนึ่งในป่า ขณะนั้นพญาช้างกำลังกินน้ำอยู่ในสระ นายควาญช้างเมื่อพบพญาช้างก็ถูกใจมาก
เมื่อพญาช้างเห็นนายพรานกลับมาพร้อมผู้คนอีกกลุ่มใหญ่ก็รู้ว่าภัยจะมาถึงตัว แต่ก็สู้ไม่ได้ ยอมให้ควาญช้างนำตัวไปในเมืองพาราณสี ฝ่ายช้างมารดาเมื่อไม่เห็นลูกกลับมาก็ได้แต่คร่ำครวญคิดถึงลูก
เมื่อควาญช้างพาพญาช้างมาถึงเมืองก็ประพรมน้ำหอมพญาช้าง ประดับเครื่องทรงและนำไปไว้ที่โรงช้าง รอให้พระราชาลงมา ทอดพระเนตร เมื่อควาญช้างนำความขึ้นกราบทูล พระราชาก็ทรงนำอาหารรสดีต่างๆ มาให้พญาช้าง
พญาช้างเมื่อเห็นอาหารดีๆ ก็คิดถึงมารดา ไม่ยอมกินอาหารนั้น พระราชาถามว่า “พญาช้างเจ้ากังวลอะไรเหรอ ทำไมเจ้าไม่ยอมกินอาหารที่เรานำมาให้ละ” พญาช้างตอบว่า“หม่อมฉันเป็นห่วงนางช้างผู้เป็นมารดา นางตาบอดไม่มีใครดูแล ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้” พระราชาเมื่อฟังแล้วก็เกิดความเศร้าใจมีรับสั่งให้ปล่อยพญาช้าง
พญาช้างเมื่อถูกปล่อยตัวก็รีบกลับไปยังถ้ำที่มารดานอนอยู่ เมื่อไปถึงก็รีบนำน้ำในสระมารดตัวมารดาที่นอนร่างกายผ่ายผอมเพราะไม่ได้กินอาหารมาแล้ว 7 วัน ช้างมารดาเมื่อถูกน้ำราดตัวก็ตกใจ เกิดความวิตกคิดว่าฝนตก พญาช้างเห็นมารดาตกใจ ก็รีบบอกว่า “แม่...อย่ากลัวไปเลย นี่ลูกเอง ลูกกลับมาแล้ว พระราชาผู้ทรงธรรมได้ปล่อยให้ลูกกลับออกมา” มารดาพญาช้างแสนจะดีใจ ชื่นชมพระราชาผู้ทรงธรรมเป็นอย่างมาก
ฝ่ายพระราชาที่เลื่อมใสในความกตัญญูของพญาช้าง มีรับสั่งให้ตั้งอาหารไว้เพื่อพญาช้างและมารดาเป็นประจำตั้งแต่วันที่ปล่อยพญาช้างไป และเพื่อเทิดทูนความกตัญญูของพญาช้าง พระราชาจึงรับสั่งให้สร้างรูปเหมือนพญาช้าง จัดงานฉลองช้างขึ้นเป็นประจำทุกปี กาลต่อมาแม่ช้างก็สิ้นอายุขัย พญาช้างจึงตัดสิ้นใจเข้าไปในเมือง ถวายตัวรับใช้พระราชาจนสิ้นชีวิต
ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี ...คนดีต้องมีความกตัญญู ....บัณฑิตย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น
สาธๆ สาธุครับ
ตอบลบความกตัญญูเป็นพื้นฐานของคนดี
สาธุๆ สาธุครับ
ตอบลบความกตัญูญูเป็นเครื่องหมายของคนดี
...คนดีต้องมีความกตัญญู
...บัณฑิตย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น