ปริศนาธรรม
...ใครคือผู้หลับ และใครคือผู้ตื่น ...
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหารทรงปรารภเหตุถึงอุบาสกท่านหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ปุถุชนคนธรรมดา...ใครคือผู้หลับ และใครคือผู้ตื่น ...
แต่เป็นมหาอุบาสกผู้ยิ่งใหญ่ด้วยคุณธรรมภายใน ท่านเป็นผู้มีใจ
หยุดใจนิ่ง เป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบันแล้ว เรื่องราวที่
เป็นสาเหตุให้พระบรมศาสดาตรัสเรื่องนี้ขึ้นเป็นดังนี้
ครั้งหนึ่งอุบาสกท่านนี้ได้เดินทางไปกับกองคาราวาน
ของพวกพ่อค้าที่เดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง เพราะกลัวอันตรายต่างๆ จากสัตว์ป่า บ้าง จากโจรที่ดักซุ่มปล้นสะดมบ้าง ตลอดระยะเวลาที่อุบาสกร่วมเดินทางไปกับพวกพ่อค้า ไม่มีเหตุการณ์ร้ายใดๆเกิดขึ้น
ค่ำวันหนึ่ง เมื่อกองเกวียน เดินทางมาถึงบริเวณราวป่าแห่งหนึ่ง นายกองเกวียนสั่งให้ปลดเกวียนทั้ง ๕๐๐ เล่ม แล้วให้จัดสถานที่พักผ่อน หลังจาก รับประทานอาหารค่ำกันแล้ว ด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ทุกคนพากันแยกย้ายเข้านอนกันหมด โดยไม่ทันจัดตั้งเวรยามไว้ เพื่อดูแลความปลอดภัย คงเหลือเพียงอุบาสกท่านนี้ ซึ่งเป็นผู้ปรารภความเพียร จึงยังไม่ได้เข้านอนเช่นคนอื่น ๆ ท่านเดินจงกรมที่ควงไม้ซึ่งอยู่ใกล้กับที่พักของนายกองเกวียน
ที่ป่าแห่งนี้ มีพวกโจรซุ่มอยู่ประมาณ ๕๐๐ คน เตรียม
จะเข้าปล้นพ่อค้าเหล่านี้ แต่ครั้นเห็นอุบาสกกำลังเดินด้วย
อิริยาบถที่สงบสำรวมเช่นนั้น ก็รู้ว่า บุคคลนี้กำลังเดินจงกลม
ทำความเพียรอยู่ จึงพากันดักซุ่มรอให้อุบาสกเข้านอนก่อนจึง
จะเข้าปล้น
ฝ่ายอุบาสกผู้มีใจหยุดใจนิ่งอยู่กลางกายธรรม
พระโสดาบัน มีกระแสแห่งธรรมหล่อเลี้ยงร่างกายให้
สดชื่นด้วยธรรมปีติตลอดเวลา ท่านจึงเดินจงกรมตลอดทั้งคืน
จนพวกพ่อค้าตื่นลุกขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวัน ตระเตรียมที่จะเดินทางกันต่อไป ทำให้โจรหมดโอกาสที่เข้ามาปล้นคารวานนี้ได้
ด้วยความเลื่อมใสในข้อวัตรปฏิบัติของอุบาสกนี้ พวกโจรต่างพากันทิ้งอาวุธ เดินเข้าไปหานายกองเกวียน พลางพูดว่า "นาย กองเกวียนผู้เจริญ เมื่อคืนตอนที่พวกท่าน หลับสนิทกันหมด ไม่มีผู้ใดรู้ภัยแห่งชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้นจากน้ำมือของพวกเรา ที่พวกท่านรอดชีวิตมาได้ เพราะอาศัยบุรุษผู้นี้ ที่ตื่นอยู่ด้วยความไม่ประมาท ท่านควรทำสักการะบุคคลผู้นี้ เถิด"
จากนั้นพวกโจรพากันกลับไป เมื่อพวกพ่อค้าตรวจดู
อาณาบริเวณรอบๆ เห็นอาวุธที่พวกโจรทิ้งไว้มากมายเช่นนั้น
ต่างพูดกันว่า ที่เราทุกๆ คนรอดชีวิตมาได้ พราะอาศัยอุบาสก
ท่านนี้แท้ จึงพร้อมใจกันทำสักการะใหญ่แก่อริยอุบาสกท่านนี้
เมื่ออุบาสกกลับเมืองสาวัตถีแล้ว ได้ไปเข้าเฝ้าพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าที่วัดพระเชตวัน หลังจากถวายบังคมแล้ว
พระบรมศาสดาตรัสถามว่า "อุบาสก พักนี้ท่านไม่ได้มาวัดตั้ง
หลายวันนะ" อุบาสกได้กราบทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้
ทรงทราบ ครั้นพระบรมศาสดาสดับเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
พระองค์จึงตรัสว่า "ดูก่อนอุบาสก บัณฑิตในกาลก่อนก็ปฏิบัติ
เช่นนี้มา" จากนั้นทรงนำเรื่องราวในอดีตมาตรัสเล่าว่า
ในสมัยที่พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลของพราหมณ์
ครั้นเจริญเติบโต ได้ศึกษาศิลปวิทยาจนจบ กลับมาครองเรือน
หลังจากนั้น ท่านเกิดเบื่อหน่ายในเพศฆราวาส จึงละทิ้งความ
สะดวกสบายทางโลก ออกบวชเป็นฤาษี บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่า
หิมพานต์จนได้ฌานสมาบัติ ท่านเป็นผู้มีอิริยาบถเดินจงกรมอยู่
เป็นนิตย์ มีความสุขที่เกิดจากฌานสมาบัติทั้งวัน ทั้งคืน รุกขเทวดาที่มีวิมานอยู่บริเวณนั้นเห็นพระฤๅษี ผู้มีศีลาจารวัตรงดงามก็เกิดความเลือมใสและดีใจเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากรุกขเทวดาตนนี้เป็นบัณฑิต และมีปัญหาที่
ค้างใจมายาวนาน จึงปรากฏกายยืนอยู่ที่คาคบไม้ เพื่อถาม
ปัญหาพระฤาษีว่า "ข้าแต่ท่านผู้ทรงศีล เมื่อผู้คนทั้งหลาย
ในโลกตื่นอยู่ ใครเล่าหนอที่เป็นผู้หลับ และเมื่อผู้คนทั้งหลาย
เป็นผู้หลับแล้ว ใครเล่าที่เป็นผู้ตื่น ท่านสามารถแก้ปัญหาที่
ค้างใจข้าพเจ้ามานานได้หรือไม่"
พระฤาษีโพธิสัตว์ตอบว่า "เมื่อพระอริยเจ้าทั้งหลายตื่นอยู่
ข้าพเจ้ายังเป็นผู้ที่หลับอยู่ แต่มื่อคนทั้งหลายหลับแล้ว
ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ตื่นอยู่ ข้าพเจ้าเข้าใจปัญหาของท่านดี และจะ
แก้ปัญหาของท่านเอง"
เทวดาได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบถามว่า...
"เมื่อคนทั้งหลายตื่นอยู่ ท่านจะเป็นผู้หลับได้อย่างไร
และเมื่อคนทั้งหลายพากันหลับแล้ว ท่านจะเป็นผู้ตื่นได้อย่างไร"
เมื่อพระฤาษีถูกถาม จึงตอบว่า "ดูก่อนรุกขเทวาปัญหาที่ท่านถามเรานี้เป็นปัญหาที่ดีมาก ชนเหล่าใดที่ไม่รู้ธรรม เมื่อชนเหล่านั้นหลับแล้วเพราะความประมาท ข้าพเจ้าย่อมเป็นผู้ตื่นอยู่ หากเมื่อพระอริยเจ้า สำรอก ราคะ โทสะ โมหะ และอวิชชาออกแล้ว เมื่อนั้นพระอริยเจ้าเหล่านั้นชื่อว่า เป็นผู้ตื่นอยู่ แต่ข้าพเจ้ากลับชื่อว่าหลับอยู่ เพราะยังอยู่ในอำนาจของกิเลสนั่นเอง ดังนั้นพระอริยเจ้าผู้บริสุทธิ์ จึงเป็นผู้ตื่นอย่างแท้จริง ส่วนข้าพเจ้ายังเป็นผู้ที่หลับอยู่
แต่เมื่อใดผู้คนทั้งหลายพากันประมาท ไม่ทำความเพียร เมื่อนั้นข้าพเจ้าได้ชื่อว่า เป็นผู้ตื่นอยู่ เพราะการปรารภความเพียรเพื่อเผากิเลสนั่นเอง"
เมื่อพระโพธิสัตว์แก้ปัญหาจบ รุกขเทวดาเกิดความปีติใจยิ่งที่มีผู้ เข้าใจปริศนาธรรมนี้อย่างแจ่มชัด เพราะการหาผู้ใดที่จะเข้าใจชีวิตตามความเป็นจวิง และมุ่งทำความบริสุทธิ์ บริบูรณ์ให้กิดขึ้นแก่ตนเองนั้น ไม่ใช่หาได้ง่ายรุกขเทวดาจึงกล่าวสรรสริญพระโพธิสัตว์ว่า "ถูกแล้วท่านผู้ทรงศีล เมื่อเหล่าพระอริยเจ้าทั้งหลายตื่นอยู่ ด้วยความบริสุทธิ์ ท่านยังเป็นผู้ที่หลับอยู่
แต่มื่อเทียบกับผู้คนทั้งหลายที่ประมาท ท่านกลับปรารภความเพียรเช่นนี้ ย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ตื่นอยู่ ท่านตอบปัญหาข้าพเจ้าได้ถูกต้องยิ่งนัก"
หลังจากกล่าวอนุโมทนากับพระโพธิสัตว์ รุกขเทวดาก็
กลับเข้าสู่วิมานของตนด้วยความเบิกบานใจ อุบาสกท่านนั้นฟัง
พระธรรมเทศนาแล้ว เกิดความปีติ ยินดีและมีกำลังใจเพิ่มพูน
ในการที่จะบำเพ็ญเพียรต่อไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านก็ยิ่ง
บำเพ็ญเพียรอย่างเต็มที่ ไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว
จะเห็นว่า ผู้หลับและผู้ตื่นในความหมายของบัณฑิต นัก
ปราชญ์ สุขุมลุ่มลึกยิ่งนัก ผู้ที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าอย่าง
สมบูรณ์ คือผู้ตื่นอย่างแท้จริง ส่วนผู้ที่ไม่รู้จักธรรมะภายใน มัว
แต่ประมาท ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้หลับทั้งๆ ที่ยังลืมตาอยู่
เพราะฉะนั้น พวกเราอย่าเป็นผู้ประมาท ให้หมั่นทำความเพียรให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ เพราะกายธรรมได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราที่ได้ชื่อว่า พุทโธ
ก็เพราะท่านได้เข้าถึงกายธรมอรหัต เป็นผู้ตื่นแล้วจากกิเลส
ทั้งหลาย เราเป็นสาวกของพระองค์ ควรต้องทำตามท่าน และ
ทำให้ได้เช่นนี้กันทุกๆ คน
*มก. เล่ม ๕๙ หน้า ๔๐๙
คัดลอกมาจาก... ธรรมะประชาชน ฉบับสารธรรม 3
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น