วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2562

เส้นทางสู่สันติ

เส้นทางสู่สันติ



        
"กาลย่อมล่วงไป 
ราตรีย่อมผ่านไป 
ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป 
บุคคลเล็งเห็นภัยในมรณะนี้ 
พึงมุ่งต่อสันติ ละ โลกามิสเสีย"

           วันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วนำเอาความชรามาสู่ตัวเรา
ความตายก็รุกคืบใกล้เข้ามาทุกขณะ ชีวิตมนุษย์มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่
ไม่ช้าต้องเสื่อมสลายไปสิ่งต่างๆในโลกไม่ว่าจะเป็นบุตรเป็นธิดา
ทรัพย์สินเงินทอง ญาติพี่น้อง ไม่อาจติดตามตัวเราไปปรโลกได้
มีแต่บุญกุศลที่สั่งสมไว้ดีแล้วเท่านั้น ที่จะเป็นดั่งเงาติดตามตัว
เราไป 

             นักปราชญ์ในกาลก่อน ท่านจะสอนว่า ...ยศและลาภหาบ
ไปไม่ได้แน่   เหลือไว้แต่ต้นทุนบุญกุศล   ทั้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน  ร่างของตนเขาก็เอาไปเผาไฟ

               พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิจารณาลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้น
อีกว่า... การจะทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั้น ต้องละ
คลายจากโลกามิส ซึ่งเป็นเหยื่อล่อของพญามาร ที่ทำให้หลง
เวียนวนอยู่ในสังสารว้ฏ   อันหาเบื้องต้นท่ามกลาง  และที่สุดไม่ได้
เบญจกามคุณทั้งห้านี่้  คือเหยื่อล่อที่ทำให้ติดข้องอยู่ในภพ
ทั้งสาม เหมือนปลาติดเบ็ดของนายพราน จะหลุดพ้นจากวังวน
ของชาติ..ชรา...มรณะนี้ได้   ต้องมุ่งสู่สันติคือการฝึกฝนใจให้สงบ
หยุดนิ่งเพียงวิธีเดียวเท่านั้น

               ดังเช่นพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ท่านมีสติปัญญามองเห็น
เหยื่อล่อคือเบญจกามคุณว่าเป็นเหตุให้มนุษย์ต้องทำลายล้างกัน
ครอบครัวแตกแยก แม้ญาติพี่น้องก็กล้าที่จะประทุษร้ายต่อกันได้
เพื่อนยังทำลายเพื่อน เพราะมุ่งหวังเพียงให้ได้กามคุณทั้งหลาย
มาครอบครอง ท่านจึงสละสิ่งเหล่านั้น มุ่งสู่ความสงบของใจ
ด้วยการออกบวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง

                 ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่
ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ
พระอัครมเหสี เมื่อประสูติแล้วมีพระนามว่าอสทิสราชกุมาร
ต่อมาพระมารดาได้ให้กำเนิดพระโอรสองค์ที่สองชื่อว่าพรหมทัต
กุมาร 

                 เมื่อเจริญวัย อสทิสราชกุมารสด็จไปศึกษาศิลปวิทยาที่
เมืองตักกสิลา พระองค์เป็นผู้มีความสามารถในการยิงธนู ไม่มี
ใครเสมอเหมือน   คือสามารถยิงหนังกระบือหนาถึง ๑๐๐ แผ่น หรือแผ่นไม้กระดานหนา ๑๐๐  นิ้วให้ทะลุได้เป็นต้น 

                  ครั้นพระราชาใกล้สวรรคต จึงแต่งตั้งอสทิสราชกุมาร
ให้ครองราชย์แทน ส่วนพรหมทัตกุมารให้ดำรงตำแหน่งอุปราช
เมื่อพระราชบิดาเสด็จสวรรคตแล้ว พระโพธิสัตว์ประกาศกับ
เหล่าอำมาตย์ข้าราชบริพารว่า พระองค์ไม่ประสงค์ครองราชย์
สมบัติ ทรงปรารถนาความสันโดษ จึงอภิเษกพระอนุชาให้
ครองราชย์สมบัติแทน   ส่วนพระองค์ดำรงตนอยู่ในธรรม ทรงใช้
ชีวิตอย่างสมถะตลอดมา 

                  ทางด้านปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัต   เป็นคนชอบพูดจาส่อเสียด วันหนึ่งปุโรหิตคิดขึ้นว่า เสือ ๒ ตัว  อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ แม้อสทิสราชกุมารไม่ได้เป็นพระราชา แต่ก็ดำรงตนเหมือนพระราชา พระราชา ๒ องค์ไม่ควรจะอยู่ร่วมกันจึงพูดยุยงส่อเสียดว่า อสทิสราชกุมารกำลังเตรียมวางแผนแย่งราชบัลลังก์พรหมทัตราชาทรงหูเบา จึงรับสั่งให้ทหารจับพระเจ้าพี่ทันที 

                   อสทิสกุมารไม่ต้องการให้เลือดนองแผ่นดิน จึงข่มความ
โกรธไว้ เพราะรู้ว่า ลาภ ยศ และโมหะแท้ๆ ที่ทำให้พี่น้องต้อง
เข่นฆ่ากันเอง  พระองค์จึงรีบหลบหนีไปแว่นแคว้นอื่น ทรง
ปลอมเป็นชาวบ้านธรรมดา สมัครเป็นนักยิงธนูในพระราชวัง
พระเจ้าสามันตราชทรงเห็นบุคลิกลักษณะท่าทางของพระกุมาร
ก็เกิดความรัก จึงรับไว้เป็นทหารคนสนิทของพระองค์
พวกนักยิงธนูรุ่นเก่าเห็นอสทิสกุมารได้สิทธิพิเศษมากกว่า
ก็เกิดความอิจฉา

                 วันหนึ่งขณะสด็จไปที่พระราชอุทยาน พระราชา
ทอดพระเนตรเห็นมะม่วงพวงหนึ่งบนยอดไม้ ทรงดำริว่า ไม่มี
ใครขึ้นไปเอามะม่วงนี้ได้ จึงรับสั่งให้นายขมังธนูยิงมะม่วงให้
ตกลงมา พวกนายขมังธนูกราบทูลว่า "ขอเดชะขอนี้ไม่เป็นการ
ยากสำหรับพวกข้าพระองค์เลย แต่นายขมังธนูที่มาใหม่ได้  
ค่าจ้างมากกว่าพวกข้าพระองค์ ขอได้ทรงโปรดให้เขายิงเถิด
พระเจ้าข้า"  

                 พระราชาจึงรับสั่งให้อสทิสกุมารเข้าเฝ้า และให้ยิง
มะม่วงมาถวายพระองค์  พระกุมารเห็นเป็นโอกาสที่จะแสดงความสามารถของตน  จึงทรงนุ่งผ้าแดง ถือเมณฑกมหาธนู และโก่งสายสีแก้วประพาฬ   ขณะจะยิง ได้กราบทูลพะราชาว่า "ข้าแต่มหาราช พระองค์  ประสงค์จะให้มะม่วงพวงนี้ตกลงมาด้วยลูกศรตอนขึ้นหรือลูกศร  ตอนลง พระเจ้าข้า" 

                  พระราชารับสั่งว่า "พ่อคุณเอ่ย เราเคยเห็นแต่คนยิงลูกศรขึ้นไป แต่ยังไม่เคยเห็นการยิงลูกศรลงมา  ฉะนั้น เจ้าจงยิงให้ตกด้วยลูกศรตอนลงก็แล้วกัน" 

                   พระกุมาร  กราบทูลว่า  "ข้าแต่มหาราช ลูกศรนี้จักขึ้นไปไกลจนถึงพิภพท้าวจาตุมหาราช แล้วจักลงมาเอง ลูกศรนี้เมื่อปล่อยออกไป  จะไม่ส่ายไป ส่ายมา  แต่จะแหวกขึ้นไประหว่างกลางขั้วพวงมะม่วง  แล้วจะย้อนกลับมาทางเดิมตัดขั้วพวงมะม่วงให้หล่นลงมา
ขอพระองค์โปรดทอดพระเนตรเถิดพระเจ้าข้า" 

                   จากนั้นทรง  แผลงศรออกไป ลูกศร ทะลุผ่านกลางพวงมะม่วงขึ้นไปอย่าง รวดเร็ว  พระกุมารรู้ว่า บัดนี้ลูกศรเห็นทีจะถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาแล้ว จึงทรงยิงไปอีกดอกหนึ่ง ด้วยกำลังที่มากกว่า
ลูกศรที่ยิงไปครั้งแรก  ลูกศรขึ้นไปกระทบท้ายลูกศรดอกแรกปัด
ให้กลับลงมา 


                  ส่วนศรลูกที่สองขึ้นไปถึงภพดาวดึงส์ เสียงแหวก
อากาศของลูกศรที่กลับลงมาคล้ายเสียงสายฟ้า ขณะลงมาก็มา
ทางเดิมแล้วตัดขั้วพวงมะม่วงได้พอดี พระกุมารใช้พระหัตถ์
ข้างหนึ่งรับพวงมะม่วงไว้ อีกข้างหนึ่งรับลูกศร   มหาชนเห็น
ความอัศจรรย์นั้น พากันส่งเสียงชื่นชมยกย่องว่า ท่านเป็นเลิศ
กว่านักแม่นธนูทั้งหลาย แม้แต่พระราชาก็ทรงเลื่อมใสและ
พระราชทานรางวัลให้มากมาย


                 เมื่อพระราชาทั้ง  ๗ เมืองรู้ว่า บัดนี้  อสทิสราชกุมารมิได้อยู่ในกรุงพาราณสี จึงพากันยกพลมาเพื่อยึดกรุงพาราณสี
พระเจ้าพรหมทัตทรงกลัวมรณภัย จึงรีบส่งทูตไปรับพระเจ้าพี่
เสด็จกลับเมือง ทั้งกำชับให้นำเสด็จกลับมาให้ได้ และฝาก
พระดำรัสไปถึงอสทิสราชกุมารว่า "หากพระเจ้าพี่ไม่เสด็จกลับมา
น้องคงไม่มีชีวิตรอด"

                ด้วยความรักในพระอนุชา พระโพธิสัตว์รีบเสด็จกลับ
กรุงพาราณสี ทรงปลอบพระอนุชาให้เบาใจแล้วจารึกอักขระลง
ที่ลูกศรมีใจความว่า "เราชื่อ อสทิสราชกุมารบัดนี้ กลับมาแล้ว
ขอให้พวกท่านรีบยกทัพกลับไปมิเช่นนั้น เราจะยิงศรไปล้างชีวิต
ของพวกท่านทั้งหมด  แต่เราจะไม่ทำร้ายผู้เชื่อฟังเรา แม้เลือด
เพียงแมลงวันกินพออิ่ม  เราก็จะไม่ให้ไหลออก  ขอให้พวกท่าน
รีบยกทัพกลับไปเสีย"

                จากนั้นพระองค์เสด็จประทับที่ป้อมปราการ แผลงศร
ดอกนั้นให้ตกลงบนภาชนะทองที่พระราชา ณ พระนครกำลัง
เสวยอยู่ พระราชาทั้งเจ็ดทอดพระเนตรเห็นอักขระที่ลูกศรแล้ว
พากันตกพระทัยกลัวต่อมรณภัย  ต่างเสด็จหนีกลับหมด

                ต่อมาพระโพธิสัตว์ทรงเบื่อหน่ายในลาภยศสรรเสริญ จึงออกผนวชเป็นฤาษี ทรงยังอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิด ครั้น
สิ้นพระชนม์ก็ได้เข้าถึงสุคติภูมิ

                เราทั้งหลายผู้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธ
ศาสนา รู้จักหนทางแห่งความหลุดพ้น ถือว่าได้โอกาสอัน
ประเสริฐยิ่งกว่าการได้แก้วแหวนเงินทอง  และของมีค่าใดๆ ใน
โลกนี้ เพราะโอกาสดีๆ เช่นนี้  ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนจะได้พบเจอ

                พวกเราเป็นเพียงไม่กี่เปอร์เช็นต์  จากมนุษยชาติหกพันกว่าล้านคนที่ได้มาพบพระพุทธศาสนาอันประเสริฐนี้  ดังนั้น อย่าได้ปล่อยโอกาสอันมีค่านี้ให้หลุดลอยไป มาศึกษาแก่นแท้ของพระศาสนา แล้วนำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวัน  แล้วความสุขจะเกิดขึ้นกับตนเอง ...ครอบครัว... และประเทศชาติ อย่างแน่นอน 



*มก. เล่ม ๕๗ หน้า ๑๗๑

คัดลอกมาจาก... ธรรมะประชาชน  ฉบับสารธรรม  3


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...