วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ม้าอาชาไนย

ม้าอาชาไนย
การปกปิดความลับเอาไว้ เป็นความดี
การเปิดเผยความลับ บัณฑิตไม่สรรเสริญ
นักปราชญ์จึง อดกลั้นไว้ เมื่อประโยชน์ยังไม่สําเร็จ
ประโยชน์สําเร็จแล้ว จึงกล่าวตามสบาย

การรู้จักพิจารณาไตร่ตรอง สํารวมระวัง แสดงตัวให้เหมาะสม
เมื่อถึงเวลาอันควร เป็นวิสัยของบัณฑิต เรื่องนี้ พระบรมศาสดา
ได้กล่าวถึง อดีตชาติ ของพระสารีบุตร ที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดเป็น ม้าอาชาไนยว่า

“ในอดีตกาล พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี มีพ่อค้าม้าคนหนึ่งนําม้า ๕๐๐ ตัว มาจากอุตตราปถชนบท เพื่อนําไป
ขายในกรุงพาราณสี ขณะเดินทาง ได้ไปขอ แวะพักบ้านหญิงชรา
คนหนึ่ง ซึ่งเป็นเศรษฐีตกยาก โดยขอเช่า บ้านเป็นที่พักชั่วคราว
คืนนั้นเองนางม้าคลอดลูกออกมาตัวหนึ่ง เป็นม้าอาชาไนย พ่อค้าม้า
พักอยู่ถึง ๓ ราตรี หญิงชราได้ขอ เงินค่าเช่าเพียงครึ่งหนึ่งกับม้า
อาชาไนยตัวนั้น พ่อค้าม้ายินดี จ่ายเงินตามนั้น


หญิงชราเลี้ยงลูกม้าอาชาไนยเสมือนลูกของตน แต่ให้ กินได้แค่
ข้าวเปลือกและหญ้าที่ม้าชาวบ้านกินเหลือไว้ตาม ประสาคนยากจน
จนลูกม้าอาชาไนยเจริญเติบโตขึ้น ต่อมามี พ่อค้ากลุ่มหนึ่งต้อนม้า
๕๐๐ ตัว แวะมาขอพักที่บ้านหญิงชรานั้น ครั้นฝูงม้าทั้ง ๕๐๐ ตัว
เข้ามาใกล้บ้านหลังนั้น ได้กลิ่นของ ม้าอาชาไนย จึงเกิดความยําเกรง
ตามสัญชาตญาณ ไม่กล้า เข้าไปในบ้านนั้นแม้แต่ตัวเดียว พ่อค้าม้า
จึงถามหญิงชราว่า ใน บ้านนี้มีม้าอยู่บ้างไหม หญิงชราตอบว่ามีม้า
อยู่ตัวหนึ่งที่เราเลี้ยงไว้ แต่เวลานี้ยังไม่อยู่ ตอนเย็นจึงจะกลับ

พ่อค้าม้าจัดให้ม้าของตนพักนอกบ้าน แล้วคอยดูการ
กลับมาของม้าตัวประเสริฐ ครั้นตกเย็นพ่อค้าเห็นลักษณะอัน สมบูรณ์
ของม้า รู้ทันทีว่านี่เป็นม้าอาชาไนย จึงขอซื้อจากหญิงชราด้วยทรัพย์
จํานวนมาก โดยรับปากว่าจะเลี้ยงดูให้เป็นอย่างดี จะให้อยู่อย่างผาสุก
ยิ่งกว่าที่หญิงชราเลี้ยง หญิงชราฟังดังนั้น ก็ยอมขายให้

พ่อค้าม้าวางถุงทรัพย์ 5 ถุงๆ ละพันตําลึงไว้ที่เท้า ทั้ง ๔ ของม้า

อาชาไนย ไว้ทางหางและทางศีรษะอีกข้างละถุง แล้วส่งมอบให้
หญิงชราอยู่เบื้องหน้าม้าอาชาไนย ม้าอาชาไนยมองดูหญิงชรา
ผู้เป็นประดุจมารดา พลัน น้ำตาไหลนองทั้งสองข้าง

หญิงชราเห็นดังนั้นก็ร้องไห้ เอามือ ลูบหลังม้าอาชาไนย

แล้วปลอบใจ ว่า “ลูกเอ๋ย แม่เลี้ยงเจ้ามา ด้วยความรักเสมือนลูกที่เกิด
ในอุทรเจ้าต้องอยู่อย่างลําบาก ตามประสายาก เจ้าจงไปอยู่กับพ่อค้า
ผู้มีฐานะท่านนี้เถิด เขาจะบํารุงให้เจ้าได้รับความสุขสําราญยิ่งกว่าอยู่
กับแม่อีก” ม้าอาชาไนยฟังดังนั้น รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควร จึงแสดงความ
เคารพ ต่อหญิงชรา แล้วลาจากไปอยู่กับพ่อค้า

ครั้นพ่อค้าออกเดินทางไปถึงอีกตําบลหนึ่ง คิดจะ ทดสอบ
ม้าอาชาไนย จึงให้เอารําต้มเทลงในรางให้กิน ม้าอาชาไนย
ไม่ยอมกิน เพราะรู้ว่าเป็นของไม่สมควรแก่ตน พ่อค้า นั้นรู้สึก
แปลกใจ จึงถามว่า “เจ้าเคยกินหญ้าที่เป็นเดนและรําต้ม
กับข้าวตังมาแล้ว รําต้มนี้เป็นอาหารที่เจ้าคุ้นเคย เหตุไรเจ้าจึง
ไม่ยอมกิน”

ม้าอาชาไนยตอบว่า “นาย ในที่ใดที่คนทั้งหลาย ยังไม่

รู้จักข้าพเจ้าว่า มีชาติ ตระกูล กิริยา มารยาทอย่างไร ในที่นั้น
ข้าพเจ้าก็ไม่แสดงตน ได้กินข้าวตังและรําต้มเป็นอาหาร
แต่บัดนี้ ท่านรู้แล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นม้าเช่นไร เหตุนี้ข้าพเจ้าจึง
ไม่ยอมบริโภคของไม่คู่ควรแก่ตน”


พ่อค้าฟังดังนั้น จึงปลอบเอาใจว่า “ขอท่านอย่าโกรธเลย
เราทําเช่นนี้เพื่อจะทดลองดูเท่านั้น จากนั้น พ่อค้ารีบจัด อาหาร
มีรสโอชาปานดั่งอาหารสําหรับเสวยของพระราชา มหากษัตริย์
ให้ม้าอาชาไนยบริโภค แล้วพาเข้าสู่กรุงพาราณสี

ครั้นถึงท้องพระลานหลวง พ่อค้าให้ม้าทั้ง ๕๐๐ อยู่ทาง หนึ่ง จากนั้นกั้นม่าน ขึงเพดาน ปูลาดด้วยเครื่องลาดอันมีค่า ให้ม้าอาชาไนยพักอยู่ในที่ใกล้ๆ กัน เมื่อพระเจ้าพาราณสีเสด็จ มาทอดพระเนตรเห็น จึงตรัสถามว่า “เหตุไรม้าทั้งปวงกับม้าตัว นี้จึงมีที่พักแตกต่างกัน” พ่อค้าม้ากราบทูลว่า “เพราะม้าตัวนี้ เป็นม้าอาชาไนย”

พระเจ้าพาราณสีทรงให้ทดสอบดูว่าม้าอาชาไนยจะมี กําลังว่องไวสักเพียงใด โดยรับสั่งให้วิ่งรอบพระลานหลวง เมื่อ พ่อค้าม้าขึ้นขี่ม้า แล้วให้วิ่งรอบพระลานหลวง ด้วยกําลังเร็ว ของม้าอาชาไนย ภาพที่เห็นเสมือนมีม้านับพันตัววิ่งเรียงราย ต่อเนื่องกันเป็นแถวไปโดยรอบ เมื่อวิ่งด้วยความเร็วเพิ่มขึ้นไปอีก ก็ไม่มีผู้ใดเห็นตัวม้าอาชาไนย เห็นแต่ผ้าแดงโบกสะบัดที่คาด เอวของพ่อค้าม้าเท่านั้น

จากนั้น พ่อค้าได้ให้ม้าวิ่งไปบนผิวน้ำและบนใบบัวถวาย พระเจ้าพาราณสีให้ทอดพระเนตรพร้อมทั้งมหาชนที่มาดูกัน อย่างเนืองแน่น เมื่อผ่านการทดสอบแล้ว จึงลงจากหลังม้า ยืนอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์พระราชา เหยียดฝ่ามือออกไป เรียกม้าอาชาไนยให้วิ่งไปในอากาศ พระมหากษัตริย์เห็นเช่นนั้น ทรงอัศจรรย์ใจยิ่งนัก จึงพระราชทานตําแหน่งอุปราชให้แก่ พ่อค้าม้า พร้อมอภิเษกม้านั้นให้เป็นม้ามงคลอาชาไนยคู่บารมี
ของพระองค์

นอกจากนั้น พระองค์ทรงพระราชทานที่อยู่อันวิจิตร มีพื้นปูลาดด้วยเครื่องอลังการอันหาค่ามิได้ เบื้องบนดาดด้วย เพดานอันวิจิตรด้วยดาวทอง ห้อยพวงมาลาทอง และของหอม ต่างๆ ประพรมด้วยเครื่องหอม ๓ ประการ ตามประทีปน้ำมันหอมไว้เป็นนิตย์ ตั้งกระถางทองคําไว้สําหรับเป็นที่ขับถ่ายของม้าอาชาไนย ทรงพระราชทานกระยาหารที่พระองค์เสวยให้ม้าอาชาไนยบริโภคเป็นนิตย์

ตั้งแต่นั้นมา ราชสมบัติทั้งสิ้นใน ชมพูทวีปเสมือนอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ของพระเจ้าพาราณสี เพราะม้าอาชาไนยเป็นม้ามีบุญ มากนําสิริมหาสมบัติมาให้ แม้ภัยพาลปัจจามิตร ก็ไม่มีมากล้ำกราย


จะเห็นได้ว่า เรื่องเกี่ยวกับความควรและไม่ควรนี้ เป็นเรื่องที่สําคัญ เราควรรู้จักกาลที่ควรถ่อมตน และกาลที่ควรแสดงตน ประโยชน์อันยิ่งใหญ่ไพศาลจะบังเกิดขึ้นกับเรา ถ้าทําทุกอย่างได้อย่างพอเหมาะพอดี เราจะได้ดี มีทั้งทรัพย์ ทั้งเกียรติยศชื่อเสียง และความสําเร็จสมปรารถนาที่จะเกิดขึ้น อย่างแน่นอน

*มก. เล่ม ๕๘ หน้า ๓๒

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...