วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2562

การสำรวมอินทรีย์ นำชีวีพ้นทุกข์

การสำรวมอินทรีย์
...นำชีวีพ้นทุกข์...



ก็ผู้ใด รู้ไม่เท่าทันเหตุที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน

ผู้นั้นย่อมตกอยู่ในอํานาจของศัตรู และจะเดือดร้อนในภายหลัง

ส่วนผู้ใด รู้เท่าทันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน

ผู้นั้นก็จะพ้นจากการเบียดเบียนของศัตรู
เหมือนไก่พ้นจากกรงเล็บของแมว ฉะนั้น

การเดินทางในสังสารวัฏอันหาเบื้องต้น ท่ามกลาง และ เบื้องปลายไม่ได้นี้ หมู่สัตว์ถูกอวิชชา คือความไม่รู้แจ้ง เห็นจริงในชีวิตปิดบังเห็น จํา คิด รู้ ให้มืดมนอนธกาล เมื่อ เกิดมาแล้ว ล้วนตกอยู่ในความประมาท มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอันเป็นบ่วงแห่งมาร ร้อยรัดไว้ ทําให้เพลิดเพลิน จนหลงลืมเป้าหมายดั้งเดิมที่เกิดมาเพื่อแสวงหาหนทาง ของพระนิพพาน มนุษย์ถูกอวิชชาเข้าครอบงําจิตใจเช่นนี้ มายาวนาน ทําให้ไม่เคยคิดถึงคําถามของชีวิตที่ว่า เกิดมาทําไม ตายแล้วจะไปไหน และมีอะไรเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของ ชีวิต หากได้มีโอกาสตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ด้วยการ หมั่นตรึกระลึกนึกถึงศูนย์กลางกายตลอดเวลา เมื่อใจถูกกลั่น ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ย่อมจะรู้เห็นเรื่องราวของชีวิตไปตาม ความเป็นจริง

มีวาระพระบาลีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
“โย จ อุปฺปติตํ อตฺถํ น ขิปฺปมนุพุชฺฌติ
อมิตฺตวสมเนฺวติ ปจฺฉา จ อนุตปฺปติ
ผู้ใด รู้ไม่เท่าทันเหตุที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ผู้นั้นย่อม
ตกอยู่ในอํานาจของศัตรู และจะเดือดร้อนในภายหลัง

“โย จ อุปฺปติตํ อตฺถํ ขิปฺปเมว นิโพธติ
มุจฺจเต สตฺตุสมฺพาธา กุกฺกุโฏว วิฬาริยา
ส่วนผู้ใด รู้เท่าทันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน
ผู้นั้นก็จะพ้นจากการเบียดเบียนของศัตรู เหมือนไก่พ้นจาก กรงเล็บของแมว ฉะนั้น”

ยังมีเรื่องราวอีกมากมายในโลกที่เรายังไม่รู้และคาดคิด ไม่ถึง เราจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ ทําตัวประหนึ่ง พระราชาผู้พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่สมรภูมิรบ เตรียมพร้อมที่จะรับ กับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ผู้ที่เตรียมพร้อมเช่นนี้ได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่ไม่ประมาท

การเป็นผู้พร้อมเสมอสําคัญมาก เพราะชีวิต ของเรานั้นไม่แน่นอน ในวันนี้เรามีชีวิตอยู่ แต่วันพรุ่งนี้ตัวของเราเอง ก็ไม่อาจรู้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงรออยู่หรือไม่

การทําตนให้พร้อมอยู่เสมอ จึงเป็นสิ่งที่บัณฑิตนักปราชญ์สรรเสริญ โดยเฉพาะการรู้เท่าทันใจของตนเอง เป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด รู้เท่าทันกิเลสอาสวะที่บังคับ..เห็น.. จํา ..คิด.. รู้ของเรา แล้วไม่ยอมให้ กิเลสอาสวะเหล่านั้นมาดลใจเราให้ประมาท ทําให้เราสามารถประคับประคองตนให้รอดพ้นจากภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นได้ หากไม่ประคับประคองสติให้ดี ปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามกระแสกิเลสแล้ว จะทําให้ชีวิตผิดพลาดได้ง่าย เมื่อผิดพลาดแล้ว ก็ยากที่จะรอดพ้นไปจากความทุกข์ทรมาน

“ครั้งหนึ่งเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ทรงประกาศพระศาสนา ยังสรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นจํานวนมากให้ดื่มอมฤตธรรม ให้เข้าถึงบรมสุข คือพระนิพพาน แต่ยังมีพุทธสาวกอีกเป็นจํานวนมากที่ยังไม่ได้บรรลุวัตถุประสงค์ของชีวิต ยังไม่หมดสิ้นอาสวกิเลส ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว เกิดมหาปีติ ได้ตัดสินใจสละความสุขสบายในทางโลก ออกบวช บําเพ็ญสมณธรรม ตามรอยพระบาทของพระศาสดา

ในจํานวนนั้น ได้มีกุลบุตรหนุ่มท่านหนึ่ง ตัดสินใจออกบวชเช่นกัน มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะบําเพ็ญเพียรทําอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไป ทุก ๆ วันท่านได้บําเพ็ญสมณธรรมไม่เคยขาด แต่สิ่งที่เราคาดไม่ถึง ยังมีอีกมากมาย ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เสมอ

วันหนึ่ง พระภิกษุรูปนั้นเดินบิณฑบาต ได้ทอดสายตาลง ต่ำ ก้าวเดินบิณฑบาตด้วยความสงบ สํารวม ตามปกติ จนกระทั่ง ไปถึงบ้านหลังหนึ่ง เพียงชั่วขณะจิตแว็บเดียวเท่านั้น ที่ท่านละ จากการทอดสายตาลงต่ำ แล้วซ้อนตาขึ้นมองตามปกติ พลัน... สายตาของท่านพบหญิงสาวคนหนึ่ง ที่มีรูปร่างสวยงามจับใจ ประกอบกับในอดีตชาติเคยเกิดมาพบกัน มีความหลังด้วยกันมาก่อน ทําให้กิเลสอาสวะอันเป็นกระแสที่นอนเนื่องมานาน ถูกพิษแห่งราคะเสียดแทงใจอย่างแรงกล้า ทําให้เผลอสติ ไม่ได้ประคองใจไว้ในตัว แต่ส่งใจออกไปข้างนอก ไปติดอยู่กับหญิงสาวคนนั้น สมณธรรมที่เพียรประพฤติปฏิบัติมายาวนาน ก็ไม่สามารถต้านทานได้ เกิดความรุ่มร้อนอยากลาสิกขาออกไป ใช้ชีวิตกับหญิงสาวนั้น

จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า... ความประมาทเลินเล่อ ไม่ สํารวมเพียงชั่ววูบ อาจทําให้เกิดอันตรายอย่างใหญ่หลวงในชีวิตพรหมจรรย์ พระพุทธองค์ทรงเล็งเห็นความสําคัญของการสํารวมระวังเป็นอย่างมาก เพราะจะทําให้ไม่ตกอยู่ใต้อํานาจของกิเลส หากปราศจากความสํารวมแล้ว ย่อมจะก่อให้เกิด ทุกข์แสนสาหัส

ข่าวที่พระภิกษุหนุ่มรูปนั้นอยากสึกเป็นที่เลื่องลือกันใน หมู่ของพระภิกษุ เพียงแต่ว่ายังไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริง พระบรมศาสดาทรงเล็งเห็นอุปนิสัยแห่งมรรคผลของเธอ จึงตรัสเรียกมาถามว่า “ภิกษุ การบวชในศาสนาของตถาคตนั้น เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดแล้ว เหตุไฉนเธอจะละเพศนี้ไปเล่า” เมื่อ ถูกพระศาสดาตรัสถามเช่นนั้น พระภิกษุหนุ่มไม่กล้าทูลคําเท็จ จึงกราบทูลตามความเป็นจริงว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตอนที่ ข้าพระองค์ออกเดินบิณฑบาต ได้เห็นหญิงคนหนึ่ง ประดับประดาร่างกายอย่างสวยงาม ข้าพระองค์อดใจไม่ไหว มีจิตผูกพันกับนาง อยากลาสิกขาพระเจ้าข้า”

พระศาสดาได้ทรงสดับดังนั้น ทรงปรารถนาจะตรัสเตือนสติภิกษุหนุ่มให้ได้คิด จึงทรงนําอดีตนิทานมาตรัสเล่าว่า...

ชาติหนึ่งที่พระบรมโพธิสัตว์เกิดเป็นไก่ป่า มีบริวาร หลายร้อยตัว อาศัยอยู่ในป่าหากินกับเหล่าบริวารอย่างสงบสุขตลอดมา โดยไม่มีภัยอันตรายใด ๆ เกิดขึ้น

กระทั่งมีนางแมวตัวหนึ่งมาอาศัยอยู่ในอาณาบริเวณใกล้เคียงกับสถานที่ที่พระโพธิสัตว์กับเหล่าบริวารอาศัยอยู่นั้น นางแมวได้ใช้กลอุบาย ล่อลวงให้ไก่ทั้งหลายตายใจ หลงเข้าไปหากินในถิ่นของมัน ในป่าที่มันได้อาศัยอยู่ มีอาหารอุดมสมบูรณ์มาก ไม่อดอยาก ยากแค้นเลย

เมื่อไก่ทั้งหลายหลงเชื่อต่างพากันเข้าไปหากิน ในป่านั้น นางแมวเจ้าเล่ห์ได้จับไก่ป่าบริวารของพระโพธิสัตว์กินจนหมด และปรารถนาจะล่อให้ไก่พระโพธิสัตว์เข้าไปอีก แต่พระโพธิสัตว์รู้เท่าทันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น จึงไม่ยอมประมาท แมวเจ้าเล่ห์คิดว่า เจ้าไก่ตัวนี้ช่างอวดดีเหลือเกิน ไม่รู้ ว่าเราเป็นแมวเจ้าอุบาย เราควรที่จะเล้าโลมว่า จะยอมเป็น ภรรยาของมัน เมื่อมันหลงเชื่อเรา แล้วตกอยู่ในอํานาจของเรา เราจะสําเร็จโทษมันในภายหลัง

เมื่อคิดอุบายเช่นนี้แล้ว นางแมวได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ แล้วพูดขึ้นด้วยคําพูดที่อ่อนหวานว่า.....“ดูก่อนพ่อไก่น้อยสีแดงผู้มีขนสวยงามเกินกว่าใครในป่านี้ ขอให้ท่านลงมาจากกิ่งไม้ที่เกาะอยู่เถิด เราจะยอมเป็นภรรยาของท่าน ไก่น้อยตัวประเสริฐของฉัน ฉันมีความสุขที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบ รอท่านอยู่ ขอท่านจงลงมาเถิด”

ไก่พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น มีสติ รู้เท่าทันในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น คิดในใจว่า เจ้าแมวตัวนี้กัดกิน ญาติของเราหมดแล้ว บัดนี้คงอยากกินเราแน่นอน เราจะไล่มัน ไปดีกว่า คิดแล้วก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเป็นสัตว์ ๔ เท้าที่สวยงาม ส่วนฉันเป็นสัตว์ ๒ เท้า แมวกับไก่อยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก ไปหา ตัวอื่นเป็นคู่ครองเถิด เราไม่ต้องการแมวอย่างเจ้าหรอก”

นางแมวฟังคําพระโพธิสัตว์ก็ยังไม่ยอมแพ้ คิดในใจว่า เราจะล่อลวงไก่ตัวนี้ไปกินให้ได้ จึงพูดว่า “ฉันจะยอมเป็น ภรรยาแสนดี จะทําอะไรเพื่อท่านทุกอย่าง ไม่ยอมแบ่งใจไปให้ใครเลย ท่านคือชีวิตฉัน อย่าผลักไสไล่ส่งฉันเลย ท่านจะได้พบฉันผู้เป็นพรหมจาริณี เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง”

แม้ได้ฟังดังนั้นแล้วก็ตาม ด้วยความเป็นผู้รู้ทันเหตุการณ์ ของพระโพธิสัตว์ ทำให้ไม่หลงกลแมว คิดในใจว่า เห็นทีเราจะต้องขู่ให้แมวตัวนี้หนีไป คิดแล้ว ก็พูดขึ้นอย่างไม่แยแสว่า “ดูก่อนเจ้าโจรลักไก่ จงไปไกล ๆ เถิด เราไม่มีทางหลงกลเจ้าหรอก เจ้าจะทําอะไรเราได้ เจ้าไม่ต้องการ เราเป็นสามีหรอก อย่ามาทําเป็นพูดดีเลย ไปหลอกผู้อื่นเถิด ผู้อื่นอาจหลงกลเจ้าก็ได้” เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวดังนี้แล้ว นางแมวจึงยอมล้มเลิกความตั้งใจที่จะหลอกกินพระโพธิสัตว์อีกต่อไป

เมื่อพระบรมศาสดาตรัสเล่าอดีตนิทานจบแล้ว ในที่สุดแห่งการแสดงธรรม ภิกษุที่กระสัน อยากสึกนั้น ได้มีดวงตาเห็นธรรม ดํารงอยู่ในโสดาปัตติผล มีจิตใจที่หนักแน่นมั่นคงอยู่บนเส้นทางของพระอริยเจ้า ไม่เกิดความรู้สึกที่อยากลาสิกขาอีกต่อไป

การที่เรามีสติ รู้เท่าทันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น โดยใช้สติปัญญาพิจารณา แล้วจึงเชื่อ เป็นสิ่งที่สําคัญอย่างยิ่ง เพราะถ้าเราเป็นผู้รู้เท่าทันเหตุการณ์แล้ว จะทําให้เราผ่าน วิกฤติของชีวิตได้อย่างง่ายดาย การมีสติอยู่ตลอดเวลา จนสามารถแยกแยะ และรู้เท่าทันอาสวกิเลส อันเป็นต้นตอของ ทุกข์ทั้งปวงได้ เราจะต้องมีใจที่ใสบริสุทธิ์ตลอดเวลา

เพราะใจที่ผ่องใสบริสุทธิ์ อยู่ตรงจุดแห่งความละเอียด คือศูนย์กลางกายนี้ จะทําให้เรารู้แจ้งเห็นแจ้ง ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคตไปพร้อมๆ กัน หากทําได้เช่นนี้ ย่อมได้ชื่อว่า รู้เท่าทันเหตุการณ์อย่างแท้จริง ดังนั้นให้ทุกท่านตั้งใจปฏิบัติธรรมให้ดีกันทุกๆ คน

ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓ หน้า ๑๖๓-๑๗๐
อ้างอิง ....พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๕๙ หน้า ๙๐ เรื่อง... กุกกุฏชาดกที่ ๘






1 ความคิดเห็น:

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...