ข้าแต่จอมนรชน ผู้เช่นกับพระองค์ ทรงทอดอาลัยในตน
ไม่คบหาของรักทั้งหลายว่า สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา
ตนเท่านั้นประเสริฐกว่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่งทีเดียว
ผู้มีตนที่สั่งสมบุญไว้ดีแล้ว จะพึงได้สมปรารถนาในสิ่งที่รักในภายหลัง
ความไม่ประมาท เป็นยอดแห่งกุศลธรรมทั้งปวง เป็นที่ประชุมรวม แห่งธรรมทั้งหลาย ดุจรอยเท้าของสรรพสัตว์ทั้งหลายในพื้นชมพูทวีป ย่อมประชุมรวมลงในรอยเท้าช้างฉะนั้น ผู้ใดไม่ประมาทในชีวิต ความคิด คําพูด และการกระทําของเขา ย่อมจะถูกต้องร่องรอยในธรรมของพระอริยเจ้าทั้งหลาย
หากเรามีความไม่ประมาทฝังลึกอยู่ในใจแล้ว เราจะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ชีวิตของเราจะสมบูรณ์บริบูรณ์ได้อย่างแท้จริง ซึ่งความไม่ประมาทที่แท้จริงนั้น คือ การมีสติอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ฐานที่ ๗ ตลอดเวลา ใจหยุดนิ่งอยู่กลางพระธรรมกายทุกอนุวินาที หากทําได้เช่นนี้ เราจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท
มีวาระแห่งภาษิตที่ใน ขุรปุตตชาดก ความว่า...
“ข้าแต่จอมนรชน ผู้เช่นกับพระองค์ ทรงทอดอาลัยในตน ไม่คบหาของรักทั้งหลายว่า สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา ตนเท่านั้นประเสริฐกว่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่งทีเดียว ผู้มีตนที่สั่งสมบุญไว้ดีแล้ว จะพึงได้สมปรารถนาในสิ่งที่รัก ในภายหลัง”
การใช้ชีวิตในทางโลก เราจะต้องรับผิดชอบในหลายสิ่ง หลายอย่าง จนบางครั้งทําให้เราลืมเลือนสิ่งที่มีค่าที่สุดไป คือ การทําตัวของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์จากมลทินทั้งหลาย โดยลืม พินิจพิจารณาว่า สิ่งนอกตัวทั้งปวงนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ที่เรากําลังแสวงหา
เมื่อปล่อยชีวิตให้ผ่านไปวัน ๆ ก็เท่ากับว่า ชีวิตกําลังตกอยู่ในความประมาท ดังนั้นเราจึงควรที่จะทําประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เพื่อเราจะได้รับประโยชน์ ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ตลอดจนถึงประโยชน์อย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน
เมื่อปล่อยชีวิตให้ผ่านไปวัน ๆ ก็เท่ากับว่า ชีวิตกําลังตกอยู่ในความประมาท ดังนั้นเราจึงควรที่จะทําประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์บริบูรณ์ เพื่อเราจะได้รับประโยชน์ ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ตลอดจนถึงประโยชน์อย่างยิ่ง คือ พระนิพพาน
อย่างไรก็ตาม ตัวเราเองนั่นแหละที่สําคัญที่สุด เพราะ ถ้าเราไม่ทอดทิ้งประโยชน์ของตนแล้ว ประคับประคองตนไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อํานาจของอาสวกิเลส เอาชนะใจตนเองได้ ย่อมสามารถ บําเพ็ญประโยชน์ให้ผู้อื่นได้
แต่หากไม่สามารถดํารง ความเป็นตัวของตัวเองไว้ได้ ปล่อยใจไปตามอํานาจกิเลส ที่มาครอบงํา ย่อมทําให้ประสบกับทุกข์ภัยต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะอํานาจแห่งกิเลสกามนี้สําคัญนัก เพราะพิษของกามมี แต่จะทําร้ายผู้คน ให้ตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน
แต่หากไม่สามารถดํารง ความเป็นตัวของตัวเองไว้ได้ ปล่อยใจไปตามอํานาจกิเลส ที่มาครอบงํา ย่อมทําให้ประสบกับทุกข์ภัยต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะอํานาจแห่งกิเลสกามนี้สําคัญนัก เพราะพิษของกามมี แต่จะทําร้ายผู้คน ให้ตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน
ดังเช่นเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งมี ครอบครัวก่อนบวชแล้ว หลังจากท่านเข้ามาบวช ได้ตั้งใจเล่าเรียนกัมมัฏฐาน แต่เนื่องจากท่านเพิ่งบวชใหม่ ความผูกพันกับภรรยาก็ยังมีอยู่ ฝ่ายภรรยาเองไม่เต็มใจที่จะให้ท่านบวชอยู่แล้ว แต่ก็ขัดไม่ได้
เมื่อท่านออกบวชแล้ว ยังได้แวะเวียนมาหาภรรยาเก่าอยู่เสมอ จนทําให้จิตใจของท่านหวั่นไหวอยากจะลาสิกขา พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเรียกมาตรัสถามว่า “ข่าวที่เธอ อยากจะสึกนั้นจริงหรือ” พระภิกษุรูปนั้นทูลตอบตามความเป็นจริงว่า “ที่ข้าพระองค์อยากลาสิกขาเพราะเกิดหวั่นไหวในถ้อยคําของภรรยาพระเจ้าข้า”
เมื่อท่านออกบวชแล้ว ยังได้แวะเวียนมาหาภรรยาเก่าอยู่เสมอ จนทําให้จิตใจของท่านหวั่นไหวอยากจะลาสิกขา พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเรียกมาตรัสถามว่า “ข่าวที่เธอ อยากจะสึกนั้นจริงหรือ” พระภิกษุรูปนั้นทูลตอบตามความเป็นจริงว่า “ที่ข้าพระองค์อยากลาสิกขาเพราะเกิดหวั่นไหวในถ้อยคําของภรรยาพระเจ้าข้า”
พระศาสดาทรงฟังดังนั้น รู้ทันทีว่า ขณะนี้สาวกของพระองค์กําลังถูกพิษแห่งกามเสียดแทงจิตใจอยู่ จึงอยากลาสิกขาออกไป ทรงต้องการที่จะให้ได้คิด จึงตรัสเตือนว่า ...“ดูก่อนภิกษุไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่เธอเกือบพ่ายแพ้ต่อกิเลสกาม แม้ในอดีตหญิงคนนี้ ก็เกือบทําให้เธอสิ้นชีวิต แต่ได้บัณฑิตช่วยเธอไว้ได้” จากนั้นพระองค์ทรงนําอดีตชาติมาตรัสเล่าว่า....
ในอดีตกาล มีพระราชาพระนามว่า เสนกะ ครองราชย์สมบัติอยู่ที่เมืองพาราณสี พระองค์มีความรักใคร่สนิทสนมกับ พญานาคราชตนหนึ่ง ก่อนที่จะรักใคร่คุ้นเคยนั้น เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งพระราชาได้เสด็จประพาสเมือง แล้วไปเจอเด็กชาวบ้าน ใช้ก้อนดินและท่อนไม้รุมทําร้ายงูด้วยความที่ไม่รู้ว่าเป็นพญานาค คิดว่าเป็นงูธรรมดา แม้พระราชาก็ไม่ทรงรู้เช่นกัน แต่ด้วยความที่เป็นผู้มีเมตตา ทรงรับสั่งให้ปล่อยงูตัวนั้นไป
ครั้นตกกลางคืน พญานาคราชเกิดความสํานึกในบุญคุณของพระราชา เมื่อกลับถึงนาคพิภพแล้ว ได้ถือเครื่อง บรรณาการมากมายเข้าไปหาพระราชาถึงที่บรรทมในยามเที่ยงคืน แล้วได้ถวายเครื่องบรรณาการต่างๆ เหล่านั้น ตั้งแต่นั้นมา พระราชากับพญานาคราชก็ได้พบปะกันบ่อย มิตรภาพก็แน่นแฟ้นมากขึ้นตามลําดับ
กระทั่งวันหนึ่ง พญานาคราชได้กล่าวกับพระราชาว่า “มหาบพิตร ข้าพเจ้าจะตั้งนางนาคมาณวิกานางหนึ่งไว้เพื่อดูแล รักษาพระนคร เมื่อพระองค์มองไม่เห็นนาง ก็ให้ร่ายมนต์บทนี้” ต่อมา พระราชาเสด็จพระราชอุทยาน ทรงเล่นน้ำอยู่ที่สระโบกขรณีกับนางนาคมาณวิกา นางนาคมาณวิกานั้นมีอุปนิสัย มักมากในกามคุณ ได้เหลือบไปเห็นงูน้ำตัวหนึ่ง จึงแปลงกายเป็นงู แล้วไปเสพอสัทธรรมกับงูน้ำตัวนั้น
พระราชาไม่เห็นนาง ก็สงสัยว่า นางนาคไปไหน จึงร่ายมนต์ค้นหาก็ได้เห็นนางกําลังทําอนาจารอย่างนั้น จึงเอาชีกไม้ไผ่ตีที่หลังนาง นางนาคมาณวิกาโกรธมาก จึงออกจากอุทยานกลับไปยังนาคพิภพ และไปทูลพญานาคราชว่า ได้ถูกพระสหายของพระองค์ตีที่หลัง จนหลังเป็นรอยหมดแล้ว
พระราชาไม่เห็นนาง ก็สงสัยว่า นางนาคไปไหน จึงร่ายมนต์ค้นหาก็ได้เห็นนางกําลังทําอนาจารอย่างนั้น จึงเอาชีกไม้ไผ่ตีที่หลังนาง นางนาคมาณวิกาโกรธมาก จึงออกจากอุทยานกลับไปยังนาคพิภพ และไปทูลพญานาคราชว่า ได้ถูกพระสหายของพระองค์ตีที่หลัง จนหลังเป็นรอยหมดแล้ว
พญานาคราชโกรธ
พญานาคราชได้ฟังดังนั้น ทั้งที่ยังไม่รู้ความจริง ก็โกรธ ขึ้นมาทันที รับสั่งให้เรียกนาคมาณพมาสี่ตัว แล้วบัญชาว่า ...“เจ้าทั้งหลาย จงเดินทางไปที่เมืองพาราณสีโดยเร็ว พากัน เข้าไปยังที่บรรทมของพระราชาแล้วจัดการทําลายพระที่นั่งให้ เป็นจุณด้วยลมจมูกของพวกเจ้าเถิด”
นาคมาณพทั้งสี่ตัวรับบัญชาแล้ว พากันเดินทางไปยัง เมืองของเสนกราชาทันที ขณะไปถึงเมืองและได้แอบอยู่ในห้อง บรรทม เป็นเวลาเดียวกับที่พระราชาตรัสเล่าถึงเรื่องราวที่เกิด ขึ้นในวันนั้นให้พระมเหสีฟังว่า “วันนี้นางนาคมาณวิกาได้แปลง ร่างเป็นงู แล้วไปเสพอสัทธรรมกับงูน้ำ
เราจึงเฆี่ยนนางที่หลัง ป่านนี้คงกลับไปทูลพญานาคราชสหายเราแล้ว เพื่อทําลาย มิตรภาพระหว่างเราเป็นแน่ และคงจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นตามมา ในเวลาอันใกล้นี้” นาคมาณพได้ยินดังนั้น รีบกลับไปรายงาน เรื่องราวทั้งหมดให้พญานาคราชทันที
เราจึงเฆี่ยนนางที่หลัง ป่านนี้คงกลับไปทูลพญานาคราชสหายเราแล้ว เพื่อทําลาย มิตรภาพระหว่างเราเป็นแน่ และคงจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นตามมา ในเวลาอันใกล้นี้” นาคมาณพได้ยินดังนั้น รีบกลับไปรายงาน เรื่องราวทั้งหมดให้พญานาคราชทันที
พญานาคราชาเกิดความสังเวชใจ
ไปหาพระราชา ถึงที่บรรทม เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง พร้อมกับประทานมนต์ บทหนึ่งที่สามารถรู้เสียงของสัตว์ได้ทุกชนิด เพื่อเป็นการขอโทษ พลางกําชับว่า “เราให้มนต์บทนี้แด่พระองค์ แต่มีข้อแม้ว่า พระองค์อย่าให้ใครเป็นอันขาด ถ้าให้พระองค์เองจะต้อง กระโดดเข้ากองไฟตายทันที” ตั้งแต่นั้นมา พระราชาทรงเข้าใจคําพูดของสัตว์ทุกชนิด
วันหนึ่ง ขณะที่พระองค์ประทับนั่งอยู่ที่ท้องพระโรง กําลังเสวย ขนมจิ้มกับน้ำผึ้งอยู่ น้ำผึ้งกับขนมชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งตกลงบนพื้น มดตัวหนึ่งเที่ยวร้องบอกเพื่อนๆ ว่า “ถาดน้ำผึ้ง และขนมที่ท้อง พระโรงแตกแล้ว พวกเราจงมาช่วยกันกินให้อิ่มหนําสําราญเถิด” พระราชาได้สดับดังนั้นก็ทรงพระสรวล พระเทวีได้แต่เก็บ ความสงสัยไว้ในใจ เมื่อพระราชาทรงสรวลบ่อยเข้า จึงทูลถาม ด้วยความอยากรู้ว่า “เสด็จพี่เพคะ พระองค์ทรงสรวลเรื่องอะไร”
โดยปกติพระราชาเป็นผู้มีจิตที่อ่อนไหว ตกอยู่ใต้อํานาจแห่งความรัก เมื่อถูกพระเทวีรบเร้าบ่อยๆ พระองค์ก็เล่า เรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง พระเทวีได้ฟังดังนั้น อยากจะได้มนต์ จึงรบเร้าทูลขอ ถึงแม้พระราชาจะตรัสบอกว่า “หากเราให้เจ้าไป เราต้องตายแน่นอน” พระนางก็ยังรบเร้าว่า “แม้พระองค์ต้องตายก็ต้องให้กับหม่อมฉัน” พระราชาได้ฟังดังนั้น แทนที่จะ ฉุกคิดกลับถูกพิษแห่งกามบดบัง จึงตอบตกลงที่จะให้ โดยยอม ตายทีเดียว
ด้วยเหตุนั้นจึงทําให้ภพของท้าวสักกะหวั่นไหว ท้าวสักกะ ปรารถนาจะให้ข้อคิดกับพระราชา จึงแปลงกายเป็นแพะทําทีว่า กําลังจะเสพกามต่อหน้าม้าเทียมรถ ม้าเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวติเตียนว่า “เจ้าเป็นแพะที่ไร้ยางอายมาก ไม่รู้ว่าสิ่งไหนควรทํา ในที่ลับและที่แจ้ง”
แพะพระอินทร์ฟังดังนั้น จึงถือโอกาส ตักเตือนพระราชาให้ได้คิดทันทีว่า “สหายเอ๋ย แกนั่นแหละที่โง่ ปล่อยให้เขาสนตะพายเทียมที่ลากนั้น มีเชือกมัดปาก เวลาที่ เขาปลดแอกก็ไม่หนีไป ส่วนพระราชาที่กําลังประทับนั่งบนราชรถที่แกลาก โง่กว่าแกอีก ได้มนต์ชั้นยอดแล้วยังจะให้ภรรยาโดยยอมตาย เพราะถูกพิษแห่งกามปิดบังดวงปัญญาแล้ว ย่อมโง่กว่าแกอีก”
แพะพระอินทร์ฟังดังนั้น จึงถือโอกาส ตักเตือนพระราชาให้ได้คิดทันทีว่า “สหายเอ๋ย แกนั่นแหละที่โง่ ปล่อยให้เขาสนตะพายเทียมที่ลากนั้น มีเชือกมัดปาก เวลาที่ เขาปลดแอกก็ไม่หนีไป ส่วนพระราชาที่กําลังประทับนั่งบนราชรถที่แกลาก โง่กว่าแกอีก ได้มนต์ชั้นยอดแล้วยังจะให้ภรรยาโดยยอมตาย เพราะถูกพิษแห่งกามปิดบังดวงปัญญาแล้ว ย่อมโง่กว่าแกอีก”
พระราชาได้ฟังดังนั้นจึงได้คิด ...แพะได้กล่าวให้โอวาท พระราชาว่า “พระองค์ไม่ควรตกอยู่ใต้อํานาจแห่งกาม จนลืมรักตนเอง ควรบําเพ็ญประโยชน์ของตนให้มากๆ เพื่อประโยชน์จะ ได้เกิดขึ้นแก่พสกนิกรทั้งหลาย”
เมื่อพระศาสดาตรัสจบแล้ว ภิกษุนั้นได้บรรลุโสดาปัตติผล พระองค์ตรัสสรุปว่า “พระอินทร์ที่แปลงเป็นแพะนั้นก็คือ พระองค์ เอง ม้าตัวนั้น คือพระสารีบุตร” จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า หากปล่อยจิตใจให้ตกอยู่ใต้อํานาจ กิเลสกาม ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชาย ความมืดบอดย่อมบดบังดวงปัญญา ทําให้สูญเสียสิ่งที่มีค่า หรือแม้กระทั่งชีวิตได้
เราควรมีสติ และรักตัวเองให้มาก ๆ การ ที่จะรักตนเองได้อย่างแท้จริงนั้น ต้องหมั่นปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงตัวตนที่แท้จริงคือพระธรรมกายให้ได้ เพื่อจะได้ห่างไกลจาก มลทินทั้งหลายกันทุกๆ คน
จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓
หน้า ๑๗๑-๑๗๙
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๕๙ หน้า ๑๑๔
ตัวหนังสือหลายสีบางสีดูไม่ชัดอ่านยาก บางสีดูแล้วแสบตา ใช้สีเดียวกันหรือเน้นตัวหนาผู้อ่านจะได้อ่านง่าย และทำให้อยากอ่าน ส่วนอาตมาเองอยากอ่านแต่สายตาสู้ไม่ไหวเสียดายที่ไม่ได้อ่าน
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบ