วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ความโกรธ ทำให้เสียประโยชน์

ความโกรธ  ทำให้เสียประโยชน์


ความโกรธเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นประดุจไฟที่คอยเผาลน
ตนเอง ยิ่งถ้า เกิดความโกรธแล้วระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ก็จะ ทําให้เกิด
การทะเลาะวิวาทอาจถึงเข่นฆ่ากัน หรือทําลายข้าวของ เกิดความ
เสียหายแก่ทรัพย์สิน และหากอาฆาตพยาบาทกันก็จะ เป็นการผูกเวร
กันต่อไปอีก ถ้าเราไม่รู้เท่าทันอารมณ์โกรธ ผลร้ายมักจะเกิดขึ้นเสมอ
ไม่อย่างใด ก็อย่างหนึ่ง

ดังเช่น เรื่องของชายผู้มักโกรธคนหนึ่ง ที่ต้องเสีย
ประโยชน์ที่จะพึงได้ไป และยังมีทุกข์ตามมาอีก พระบรมศาสดา
ทรงยกเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นอุทาหรณ์ เพื่ออบรมสั่งสอนพระภิกษุให้พึง
สังวร สํารวมระวัง และเห็นโทษภัยของความเป็นผู้มักโกรธ



“สมัยพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี
พระโพธิสัตว์ถือกําเนิดเป็นมาณพหนุ่มผู้มีปัญญา สําเร็จการศึกษา
ในทุกศาสตร์จากเมืองตักสิลา ท่านเป็นผู้มีดวงปัญญาสว่าง รู้ว่าศาสตร์
ในทางโลกนั้น ไม่สามารถทําให้พ้นทุกข์ได้ จึงตัดสินใจ ออกบวช
เพื่อศึกษาศาสตร์ ทางธรรม โดยบวชเป็นดาบสบําเพ็ญเพียรอยู่ใน
ป่าหิมพานต์ จนได้บรรลุฌานสมาบัติ ต่อมาได้มาพํานักอยู่ใน
พระราชอุทยานในกรุงพาราณสี

เช้าวันหนึ่งท่านได้เข้าไปภิกขาจารในเมือง พระราชาเมือง
พาราณสีทอดพระเนตรเห็น ทรงเลื่อมใส จึงโปรดให้นิมนต์เข้าไป
ฉันในพระราชวัง แล้วอาราธนาให้จําพรรษาอยู่ในพระราชอุทยานนั้น
พระดาบสรับอาราธนา พระราชาเสด็จไปอุปัฏฐาก วันละครั้ง
และได้รับโอวาทจากพระดาบสว่า.......

“ธรรมดากษัตริย์ต้องเป็นผู้ไม่มักโกรธ ต้องละเว้น
อคติ ๔ และไม่ควรประมาทในการประพฤติธรรม ควรประกอบ
ด้วยขันติธรรม มีเมตตากรุณาในประชาราษฎร์ทั้งปวง และ ครอบครอง
ราชสมบัติโดยชอบธรรม” พระดาบสมักตอกย้ำประโยคนี้กับพระราชา
ทุกครั้งก่อนที่จะจากกันว่า “ขอพระองค์ อย่าได้ทรงพระพิโรธต่อ
ผู้ที่โกรธต่อพระองค์เลย เพราะพระมหากษัตริย์เป็นผู้ให้ความสงบ
ร่มเย็นแก่ปวงประชา ถ้าพระองค์ พิโรธแล้ว พสกนิกรจะได้ที่พึ่งแต่
ที่ไหน แม้ความเป็นผู้น่าเคารพ สักการบูชาของพระองค์ก็จะเสื่อมถอย
อาตมภาพขอถวาย พระพร”

พระเจ้าพาราณสีทรงเลื่อมใสมาก ยกย่องเทิดทูน
พระดาบสเป็นพระอาจารย์ส่วนพระองค์ และพระราชทานปัจจัย
ไทยธรรมมีค่ากว่าแสนกหาปณะ ทว่าพระดาบสเป็นผู้ มักน้อยสันโดษ
ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องใช้ทรัพย์ จึงไม่ยินดี ที่จะรับ ท่านพักอยู่
ในพระราชอุทยานนานถึง ๑๒ ปี แล้วมีดําริ ว่า “เราควรไปโปรดมหาชน
ตามชนบทบ้าง เพื่อให้ผู้มีบุญได้ รู้จักวิธีการดําเนินชีวิตที่ถูกต้อง
จะได้มีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป” จึงฝากให้นายอุทยานไปกราบทูล
พระเจ้าพาราณสี แล้วออก จากพระราชอุทยานไป

เมื่อไปถึงแม่น้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีนายเรือจ้างคนหนึ่งรออยู่
เขาชื่อว่า อาวาริยปิตา เป็นคนมีสันดานหยาบ ไม่รู้จักผิดชอบ
ชั่วดี เมื่อจะส่งคนข้ามฟากก็ไม่บอกค่าจ้าง ต่อเมื่อส่งถึง
ฟากแล้ว จึงเรียกค่าจ้างภายหลัง บ่อยครั้งที่เขาไม่ได้ค่าจ้าง
ตามที่ต้องการ จึงเกิดการทะเลาะวิวาทชกต่อยกับผู้โดยสาร
ดังนี้แล้ว นอกจาก จะเป็นผู้ไม่เจริญด้วยทรัพย์ ยังเป็นผู้มาก
ด้วยการผูกเวรอีกด้วย

เมื่อพระดาบสตรวจตราอุปนิสัยของเขาแล้ว เห็นสิ่งที่ไม่ใช่
ประโยชน์ที่มักเกิดขึ้นกับเขา จึงมีมหากรุณาที่จะสงเคราะห์
ได้วานให้เขาพายเรือข้ามฟากไปส่ง นายเรือถามว่า “ท่านเป็น
นักบวช ท่านมีค่าจ้างจะให้เราหรือ” ดาบสตอบว่า “เรามีค่าจ้าง
ที่ประเสริฐยิ่งกว่าทรัพย์มากมายนัก เราจะบอกทางเสียทรัพย์และทาง
ได้ทรัพย์ให้แก่ท่าน” จากนั้นเขาก็พาพระดาบสข้ามฝาก

ครั้นส่งถึงอีกฝั่งแล้ว เขาทวงถามค่าจ้าง ด้วยคาดหวังว่า
จะได้สิ่งของเป็นเครื่องตอบแทนที่มีค่ามากกว่าเงินทอง แต่พระดาบส
กล่าวให้ธรรมทานว่า “ดูก่อนพ่อ หากท่านหวังความ เจริญในอาชีพนี้
ท่านจงตกลงราคาค่าจ้างจากคนโดยสารก่อนที่ จะข้ามฝาก เพื่อให้
เป็นที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย จึงจะเป็นการดี จะได้ไม่ต้องมาทะเลาะกัน
ทําให้หลายๆ ครั้งที่ท่านไม่ได้ทรัพย์ เพราะมีการทะเลาะกันเป็นเหตุ
เสียแล้ว” แม้เขาจะพอรู้ว่า คําสอนนั้นดี แต่เนื่องจากเป็นคนที่มีจิตใจ
หยาบทราม จึงมุ่งเอาแต่ทรัพย์ไม่เอาคําสอน คิดในใจว่า เมื่อ
ดาบสสอนเราแล้ว เราคงจะได้สิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งจากท่าน

พระดาบสรู้ว่าจิตของเขายังไม่พร้อมที่จะเปิดรับ เพราะ มี
ความหมองของกิเลสคือความมักโกรธหนาแน่นอยู่ จึงมีจิตอนุเคราะห์
กล่าวต่อไปว่า “ดูก่อนนายเรือจ้าง เราจะให้หนทาง สวรรค์แก่ท่าน
เพื่อที่ท่านจะได้พ้นจากอบาย ขอให้ท่านจงมีสติ ระงับความโกรธ
ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือในป่า จะเป็นทางน้ำ หรือทางบกก็ตาม
ท่านอย่าได้โกรธผู้ใด เป็นอันขาด ครั้นท่าน ปฏิบัติแล้ว ความเจริญ
จักมีแก่ท่าน”

ธรรมดาของคนมักโกรธ มักมีดวงปัญญาบอด นายเรือหาได้
เชื่อฟังไม่ ทวงถามค่าจ้างว่า “ท่านจะให้ทรัพย์แก่เราหรือไม่” ดาบส
ตอบว่า “สิ่งที่เราให้แก่ท่านนั้น มีค่ามากกว่า ทรัพย์เสียอีก เพราะ
เป็นประโยชน์ ใหญ่ในสัมปรายภพของ ท่านเอง ค่าจ้างคือสิ่งที่เรา
สั่งสอนนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ท่าน ตลอดกาลนาน” นายเรือจึงแสดง
ความฉุนเฉียวบริภาษว่า “เราไม่ต้องการถ้อยคํา เราจะเอาทรัพย์”
พระดาบสมีความ อดทนพร่ําสอนต่อว่า “ขอท่านจงมีสติเถิด อย่าให้
ความโกรธ เผาลนท่านเลย ท่านจงระงับโทสะที่เป็นเหมือนเพชฌฆาต
ประหารตัวท่านเองเถิด”

เขาโกรธจัดจนระงับอารมณ์ไม่ได้ จึงผลักพระดาบสให้
ล้มลงที่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วชกต่อยพระดาบส พระดาบสผู้มีฤทธิ์
ไม่ปรารถนาจะทําร้ายใคร ท่านจึงไม่ต่อสู้ ขณะเดียวกันนั้นเอง ภรรยา
ของเขากําลังนําอาหารมาให้ เห็นสามีกําลังทําร้าย พระดาบส จึงรีบ
เข้าไปห้าม เขาพาลไปตบตีภรรยาซึ่งมีครรภ์แก่อีก ทําให้บุตรในครรภ์
แท้งไป ผู้คนกลุ่มหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์นั้น ก็เข้ามาขวาง จับเขาซ้อมจน
กระทั่งโชกเลือด แล้วจับมัดตัวไปถวายพระราชา พระเจ้าพาราณสี
ทรงพระพิโรธมาก แต่พระดาบสห้ามปรามไว้ พระองค์จึงลงอาญา
ตามสมควรแก่โทษ

พระบรมศาสดาตรัสเรื่องนี้แล้วทรงสอนว่า... เพราะ ความ
โกรธยังความพินาศให้กับคนแจวเรือนั้น สํารับกับข้าวแตกกระจาย
บุตรในครรภ์ต้องแท้งไป คนแจวเรือนั้นต้องสูญเสีย ประโยชน์
ที่จะพึงได้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ภิกษุทั้งหลาย ได้ธรรมสังเวช
จึงได้บรรลุโสดาปัตติผลในเวลาจบพระธรรม เทศนานั่นเอง

เพราะฉะนั้น ขอให้ทุกท่านมองเห็นทุกข์เห็นโทษของ
ความโกรธไว้ให้ดี เพราะความโกรธนั้นหาคุณประโยชน์ ไม่ได้เลยแม้
แต่น้อย เหมือนเสาะแสวงหาน้ำในกลางทะเลทราย ต้องพบ แต่ความ
แห้งแล้ง เราควรฝึกฝนตนให้เป็นคนชุ่มฉ่ำด้วยกระแส แห่งเมตตาจิต
และขันติธรรมอยู่ในใจ เมื่อมีเรื่องมากระทบ อย่าให้กระเทือนเข้าไป
ในใจเอาชนะ ความโกรธให้ได้ แล้วเราจะเป็นผู้ชนะ ที่แท้จริงตลอดกาล

คัดลอกบางส่วนมาจากธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓


1 ความคิดเห็น:

  1. ขอกราบขอบพระคุณชาดกอันทรงคุณค่าต่อการฝึกฝนตนเอง สาธุ ขอกราบอนุโมทนาบุญ

    ตอบลบ

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...