สุกร...พระโพธิสัตว์
ทุกคนที่มีชีวิตในสังสารวัฏ ต่างผ่านการเกิดในทุกภพ ทุกภูมิมาแล้ว ทั้งชีวิตในระดับสูง ระดับกลาง และระดับล่าง ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หรือยาจกเข็ญใจ ชีวิตมีการขึ้น และลงไปตามอํานาจแห่งบุญและบาปที่ได้ก่อขึ้นในภพชาตินั้น ๆ ถ้าทําบุญไว้มากจะได้รับผลที่ดี เสวยสุขในสุคติภูมิ ชีวิตจะประสบแต่สิ่งที่ดีงาม ถ้าทําบาปอกุศลไว้มากก็ต้องไปเสวย วิบากแห่งกรรมในอบายภูมิ ไม่มีผู้ใดหลีกหนีกฎแห่งกรรมไปได้
ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาแล้ว ต้องสร้างบารมีอย่างเต็มที่เต็มกําลัง เพื่อเพิ่มพูนความบริสุทธิ์บริบูรณ์ให้แก่ตนเอง วิธีที่จะทําความบริสุทธิ์ได้ดีที่สุด คือ ต้องหมั่นปฏิบัติธรรมอย่าให้ขาดแม้แต่วันเดียว ทําใจหยุดใจนิ่งบ่อยๆ ทําซ้ำแล้วซ้ำอีก ชีวิตของเราจะ สมหวัง เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์บริบูรณ์ที่แท้จริง
มีวาระพระบาลีใน ตุณฑิลชาดก ความว่า....
ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาแล้ว ต้องสร้างบารมีอย่างเต็มที่เต็มกําลัง เพื่อเพิ่มพูนความบริสุทธิ์บริบูรณ์ให้แก่ตนเอง วิธีที่จะทําความบริสุทธิ์ได้ดีที่สุด คือ ต้องหมั่นปฏิบัติธรรมอย่าให้ขาดแม้แต่วันเดียว ทําใจหยุดใจนิ่งบ่อยๆ ทําซ้ำแล้วซ้ำอีก ชีวิตของเราจะ สมหวัง เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์บริบูรณ์ที่แท้จริง
มีวาระพระบาลีใน ตุณฑิลชาดก ความว่า....
“ธมฺโม รหโท อกทฺทโม
ปาปํ เสทมลนฺติ วุจฺจติ
สีลญฺจ นวํ วิเลปนํ
ปาปํ เสทมลนฺติ วุจฺจติ
สีลญฺจ นวํ วิเลปนํ
ตสฺส คนฺโธ น กทาจิ ฉิชฺชติ
ธรรม..บัณฑิต กล่าวว่า เป็นห้วงน้ำ ไม่มีโคลนตม
บาป.. บัณฑิต เรียกว่าเหงื่อไคลและมลทิน
ศีล..บัณฑิต เรียกว่าเครื่องลูบไล้ใหม่
แต่ไหนแต่ไรมา กลิ่นของศีลนั้นไม่เคยจางหายไป”
ศีล..บัณฑิต เรียกว่าเครื่องลูบไล้ใหม่
แต่ไหนแต่ไรมา กลิ่นของศีลนั้นไม่เคยจางหายไป”
สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ดํารงชีวิตอยู่บนโลกนี้ ในอดีตดั้งเดิม ล้วนมีดวงจิตที่เป็นประภัสสรหมายถึงธรรมชาติของจิตดั้งเดิมนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “มีความสว่างไสวเป็นนิตย์ ที่หม่นหมอง ก็เพราะธาตุธรรม เห็น จํา คิด รู้ ถูกอาสวกิเลส และอวิชชา เอิบอาบ ซึมซาบ ปนเป็น ทําให้ เห็น จํา คิด รู้ ที่เคยสะอาด บริสุทธิ์สว่างไสว ต้องพลอยหมองหม่นไปด้วย
เมื่อถูกกิเลสบีบคั้น หนักเข้า ทําให้ต้องพลั้งพลาดไปสร้างบาปอกุศลซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อสร้างกรรมชั่ว ก็ต้องมาเสวยวิบากกรรม” ดังนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “สังสารวัฏของสรรพสัตว์ผู้ไม่รู้พระสัทธรรม ยาวนานนับกัปกัลป์”
เมื่อถูกกิเลสบีบคั้น หนักเข้า ทําให้ต้องพลั้งพลาดไปสร้างบาปอกุศลซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อสร้างกรรมชั่ว ก็ต้องมาเสวยวิบากกรรม” ดังนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “สังสารวัฏของสรรพสัตว์ผู้ไม่รู้พระสัทธรรม ยาวนานนับกัปกัลป์”
เพราะห้วงน้ำ คือพระสัทธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ สามารถชําระล้างโคลนตมคือกิเลสได้ สิ่งที่เป็นมลทินจะถูกขจัด ให้สะอาดหมดจด บัณฑิตทั้งหลายเรียกบาปอกุศลว่า.. เป็นเหงื่อไคล ที่ทําให้สกปรกน่ารังเกียจ และเครื่องลูบไล้ที่มีกลิ่นหอม ยาวนานทนทานที่สุดก็คือ กลิ่นแห่งศีล ผู้มีธรรมะอยู่ในใจ จะอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความสุข ชีวิตจะถูกยกให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ว่าจะมี เหตุการณ์ใดๆขึ้น บางครั้งอาจถึงขั้นสูญเสียชีวิต
แต่ผู้มีธรรมะ จะไม่หวั่นไหว แม้ความตายจะมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็ตาม ต่างกับผู้ที่มีจิตใจไม่หนักแน่นในธรรม ใจไม่แช่อิ่มอยู่ในธรรม เวลาเกิดเหตุอะไรขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็อดสะดุ้งหวั่นไหวไม่ได้ ชีวิตจึงไม่มีความสบายอย่างที่ควรจะเป็น
ดังชีวิตของพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรของชาวเมือง สาวัตถี ตั้งใจออกบวชในพระพุทธศาสนา แต่เป็นผู้ที่มีจิตใจ หวั่นไหว หวั่นกลัวต่อมรณภัย คือความตายอย่างยิ่ง แค่ได้ยินเสียง กิ่งไม้สั่นไหว กิ่งไม้แห้งถูกลมพัดตกลงมา หรือแม้ได้ยินเสียงนก หรือสัตว์เดินมาเท่านั้นก็กลัวจนตัวสั่น จนเพื่อนสหธรรมิก รู้กันทั่ว แล้วจับกลุ่มสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า... “อาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่าภิกษุรูปนี้ กลัวตายจับจิตจับใจเลยทีเดียว ได้ยินเสียง อะไรนิด อะไรหน่อย ก็ไม่ใคร่ครวญให้แจ่มแจ้ง ตะโกนร้องดังลั่น แล้ววิ่งหนีไป อะไรจะกลัวตายขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการตายเป็น เรื่องธรรมดาของชีวิต เธอน่าจะหมั่นพิจารณาบ่อยๆ จิตใจจะ ได้ตั้งมั่นอยู่ในธรรม”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถามเจ้าตัวว่า... “ที่สหธรรมิกพากันพูดเช่นนั้นเป็นความจริงหรือ” ภิกษุรูปนั้นยอมรับ โดยดุษณี พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ไม่ใช่แต่ภพชาตินี้เท่านั้น ที่เธอเป็นคนที่หวั่นไหวง่าย แม้ในอดีตชาติก็เป็นเหมือนกัน”
จากนั้นพระองค์ทรงตรัสเล่าว่า ชาติหนึ่ง พระโพธิสัตว์เกิดในท้องของแม่สุกร เมื่อแม่สุกรท้องแก่ ได้คลอดลูกออกมา ๒ ตัว วันหนึ่งแม่สุกรได้พาลูกทั้งสอง ไปนอนที่หลุมแห่งหนึ่ง วันนั้นหญิงชราคนหนึ่งเดินผ่านมา เมื่อแม่สุกรได้ยินเสียงที่ผิดสังเกตเช่นนั้นก็กลัวตายวิ่งหนีไปทันที โดยไม่คํานึงถึงลูกทั้งสองของตน
หญิงชราเห็นลูกสุกรทั้งสอง เกิดความรัก ความเอ็นดู เสมือนลูกของตน จึงนําไปเลี้ยงที่บ้าน แล้วตั้งชื่อตัวพี่ว่า มหาตุณฑิละ ตัวน้องว่า จุลตุณฑิละ หญิงชราได้เลี้ยงดูอย่างดี รักเหมือนลูก มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม จนกระทั่งเติบโตขึ้น ลูกสุกรทั้งสองมีร่างกายที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ ทําให้เป็นที่หมายปองของพวกพ่อค้าและเหล่านักดื่มสุราทั้งหลาย
หญิงชราเห็นลูกสุกรทั้งสอง เกิดความรัก ความเอ็นดู เสมือนลูกของตน จึงนําไปเลี้ยงที่บ้าน แล้วตั้งชื่อตัวพี่ว่า มหาตุณฑิละ ตัวน้องว่า จุลตุณฑิละ หญิงชราได้เลี้ยงดูอย่างดี รักเหมือนลูก มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม จนกระทั่งเติบโตขึ้น ลูกสุกรทั้งสองมีร่างกายที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ ทําให้เป็นที่หมายปองของพวกพ่อค้าและเหล่านักดื่มสุราทั้งหลาย
วันหนึ่ง หลังจากที่นักดื่มได้พยายามขอซื้อสุกรทั้งสอง หลายครั้งหลายครา ด้วยความรักและผูกพันกับลูกสุกร หญิงชรา ไม่ยอมขายให้ เมื่อพวกนักเลงเห็นว่าขอซื้อดีๆ ไม่ได้ผล จึงพากัน มอมเหล้าหญิงชราผู้นั้น ครั้นเหล้าล่วงลําคอ สติที่เคยสมบูรณ์ก็หายไป ทําให้พวกนักดื่มได้ช่อง เมื่อเห็นหญิงชรานั้นเมาได้ที่ ก็เอ่ยปากขอซื้อว่า ... “ยาย ยายทนเลี้ยงหมูมาอย่างนี้ ไม่ไว้กินแล้ว จะเลี้ยงไว้ทําไม ขายให้พวกฉันดีกว่า” ว่าแล้วก็เอาเงินวางไว้ในมือของหญิงชรา ด้วยความที่สลึมสลือ นางจึงเอ่ยปากอนุญาตไป
เมื่อนักดื่มเหล่านั้นเข้าไปไม่เห็นสุกรจึงถามว่า “ไม่เห็นสุกรสักตัวเลย” ฝ่ายหญิงชราจึงได้ขอเงิน เพื่อจะได้จัดแจงอาหาร เทไว้จนเต็มราง แล้ววางไว้ใกล้ประตูบ้าน เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกนักเลงสุราประมาณ ๓๐ คน ต่างถือบ่วงเตรียมคล้องอยู่ในที่ใกล้ๆ
หญิงชราตะโกนเรียกจุลตัณฑิละว่า “ลูกจุลตัณฑิละ มานี่หน่อย” ด้วยความที่ยังไม่สร่างเมา ได้ตะโกนออกไปด้วย น้ำเสียงแข็ง ๆ ทําให้มหาตุณฑิละผู้พี่ได้ยินอย่างนั้น ความที่ตัวท่านเป็นสัตว์มีปัญญาก็ฉุกใจคิดว่า แม่ไม่เคยเรียกพวกเรา ด้วยถ้อยคําที่ห้วนๆ เช่นนี้ สงสัยวันนี้จะมีภัยเกิดขึ้นกับเราแน่ จึงเรียกน้องมาบอกว่า “น้องเอ๋ย แม่เรียกเจ้า เจ้าจงออกไปดูเถิด อย่าได้ประมาท”
หญิงชราตะโกนเรียกจุลตัณฑิละว่า “ลูกจุลตัณฑิละ มานี่หน่อย” ด้วยความที่ยังไม่สร่างเมา ได้ตะโกนออกไปด้วย น้ำเสียงแข็ง ๆ ทําให้มหาตุณฑิละผู้พี่ได้ยินอย่างนั้น ความที่ตัวท่านเป็นสัตว์มีปัญญาก็ฉุกใจคิดว่า แม่ไม่เคยเรียกพวกเรา ด้วยถ้อยคําที่ห้วนๆ เช่นนี้ สงสัยวันนี้จะมีภัยเกิดขึ้นกับเราแน่ จึงเรียกน้องมาบอกว่า “น้องเอ๋ย แม่เรียกเจ้า เจ้าจงออกไปดูเถิด อย่าได้ประมาท”
จุลตุณฑิละรับคําพี่แล้ว ได้เดินออกไปดู เห็นพวกนักดื่ม ยืนถือบ่วงรออยู่ ก็รู้ว่า วันนี้เห็นที่จะต้องเป็นวันตายของตนแน่ จึงวิ่งกลับมาหาพี่ชายแล้วยืนสั่น ไม่อาจทรงกายไว้ได้ เนื้อตัวสั่นจนควบคุมตนเองไม่ได้ เมื่อมหาตุณฑิละเห็นน้องยืนสั่นเช่นนั้น ก็ถามว่า “เจ้าเห็นอะไรมาหรือ ” จุลตุณฑิละ เล่าเหตุการณ์ที่ตนเองเห็นให้ฟัง ด้วยความที่พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหวเหมือนสัตว์ทั่วๆ ไป แม้จะรู้ว่าความตายรออยู่เบื้องหน้า แต่จิตใจของท่านนั้นยังเป็นปกติสุขอยู่เช่นเดิม
พระโพธิสัตว์ได้ตั้งเมตตาจิตไว้เบื้องหน้ารําลึกถึงคุณงามความดี และบารมีที่ได้บําเพ็ญมา แล้วพูดกับน้องว่า “น้องรัก การที่แม่เลี้ยงเรามา ก็เพื่อการนี้เท่านั้น น้องอย่ากลัวเลย เจ้าลงสู่ ห้วงน้ำที่ไม่มีเปลือกตม ชําระล้างเหงื่อไคล แล้วลูบไล้ด้วยเครื่องลูบไล้ที่มีหอมเถิด”
ด้วยอํานาจแห่งการระลึกถึงคุณความดีของพระโพธิสัตว์ เสียงของท่านที่กล่าวสอนน้อง ได้ดังไปทั่วทั้งเมือง ทําให้ผู้คนทั้งหลาย นับตั้งแต่พระราชา อุปราชเป็นต้น ได้ยินเสียงนั้น ต่างพากันมาตามเสียง ผู้คนทั้งหลายพากันมายืนฟัง เหมือนต้องมนต์สะกด ส่วนนักเลงที่ถือบ่วงรออยู่ ต่างพากันทิ้งบ่วง แล้วมายืนฟังเสียงของพระโพธิสัตว์
จุลตุณฑิละได้ยินพี่ชายกล่าวเช่นนั้นก็สงสัย เพราะว่าตระกูล สุกรไม่มีการอาบน้ํา จึงถามว่า “ที่พี่พูดเช่นนั้นหมายถึงอะไร”
พระมหาสัตว์จึงตอบว่า “พระธรรมเป็นห้วงน้ำที่ไม่มีโคลนตม บาปเรียกว่าเหงื่อไคล ศีลเรียกว่าเครื่องลูบไล้ที่มีกลิ่น ไม่จางหาย น้องจุลตัณฑิละ เธออย่าเศร้าโศกไปเลย ขึ้นชื่อว่า ความตาย ไม่ใช่มีเฉพาะพวกเราเท่านั้น แม้สัตว์ที่เหลือทุกๆ ชีวิต ก็ต้องตายทั้งนั้น
สัตว์ผู้ที่ไม่มีธรรมและศีลเป็นต้น อยู่ภายในตน ย่อมจะกลัวความตาย แต่เราทั้งสองเป็นผู้มีศีล และอาจาระ ไม่มีเหงื่อไคล คือบาปอกุศล ดังนั้นสัตว์เช่นเราแม้ตายก็ไม่หวั่นไหวต่อมรณภัย”
สัตว์ผู้ที่ไม่มีธรรมและศีลเป็นต้น อยู่ภายในตน ย่อมจะกลัวความตาย แต่เราทั้งสองเป็นผู้มีศีล และอาจาระ ไม่มีเหงื่อไคล คือบาปอกุศล ดังนั้นสัตว์เช่นเราแม้ตายก็ไม่หวั่นไหวต่อมรณภัย”
เมื่อมหาชนได้ยินน้ำเสียงของพระโพธิสัตว์ที่กล่าวให้ ข้อคิดแก่น้องเช่นนั้น ต่างปลาบปลื้มปีติยินดี เปล่งวาจา สาธุการเสียงดังลั่นทั่วทั้งเมือง พระราชาได้รับสุกรทั้งสองนั้นไว้ในอุปการะ และทรงพระราชทานยศให้กับหญิงชรานั้น ทรงให้ประดับประดาพระโพธิสัตว์และน้องชาย แล้วให้นําเข้าเมือง ได้สถาปนาไว้ในตําแหน่งราชบุตร
พระโพธิสัตว์ได้ให้ศีล ๕ กับข้าราชบริพารทั้งหลาย ชาวเมืองทั้งหมดมีชาวพาราณสี และชาวกาลิกรัฐ ต่างอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ แล้วยังตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม รักษา ศีล ๕ ไม่ขาดแม้แต่คนเดียว พระมหาสัตว์ได้แสดงธรรมแก่มหาชนทุกวันอุโบสถ ทําให้บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็นถึง ๖๐,๐๐๐ ปี เมื่อพระศาสดาแสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว ภิกษุผู้กลัวตาย ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล
จะเห็นได้ว่า หัวใจของผู้ที่ดํารงอยู่ในศีลนั้น เป็นจิตใจที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว แม้จะมีเหตุการณ์ใดผ่านเข้ามาในชีวิตหนักหนาสาหัสสักปานใด จะมีบุญเป็นเครื่องคุ้มครองเสมอ ผู้ที่ทําได้เช่นนี้ สมควรเรียกว่าผู้ไม่มีเหงื่อไคล คือบาปอกุศล ชีวิตของผู้นั้นย่อมประสบแต่สิ่งที่ดีงามทุกภพทุกชาติ
เราทั้งหลาย เป็นนักสร้างบารมี ต้องหมั่นทําความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นกับตัวของเรา ด้วยการชําระศีลให้บริสุทธิ์ ปฏิบัติธรรมให้ได้ทุก ๆ วัน ให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ เพราะชีวิตที่เข้าถึงธรรมกาย เป็นชีวิตที่ตั้งอยู่ในธรรมอย่างสมบูรณ์ และไม่มีเหงื่อไคล คือ บาปอกุศลเกิดขึ้นในกาย วาจา ใจ แน่นอน
เราทั้งหลาย เป็นนักสร้างบารมี ต้องหมั่นทําความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นกับตัวของเรา ด้วยการชําระศีลให้บริสุทธิ์ ปฏิบัติธรรมให้ได้ทุก ๆ วัน ให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ เพราะชีวิตที่เข้าถึงธรรมกาย เป็นชีวิตที่ตั้งอยู่ในธรรมอย่างสมบูรณ์ และไม่มีเหงื่อไคล คือ บาปอกุศลเกิดขึ้นในกาย วาจา ใจ แน่นอน
จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓ หน้า ๑๘๐-๑๘๙
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๕๙ หน้า ๑๓๗
สาธุๆ สาธุครับ
ตอบลบสาธุ ขอกราบอนุโมทนาบุญกับการเผยแผ่ชาดกอันทรงคุณค่านี้ต่อสาธารณชน
ตอบลบขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุค่ะ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบ