วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ผู้นำต้องรอบคอบ

ผู้นำต้องรอบคอบ
การทํางานทุกอย่างไม่ว่างานเล็กหรืองานใหญ่ จะเป็น ภาครัฐหรือเอกชน ต่างต้องการความสําเร็จด้วยกันทั้งนั้น การประสบความสําเร็จนํามาซึ่งความปลื้มปีติยินดี ทําให้องค์กรเจริญรุ่งเรือง และทําให้หน้าที่การงานของบุคคลเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปอีกด้วย

ผู้ที่ทําหน้าที่เป็นหัวหน้าจึงควรทํา หน้าที่ดูแลหมู่คณะโดยรอบคอบ บุคคลผู้มีปัญญาจึงพิจารณา หาเหตุผลก่อนตัดสินใจ ยิ่งกว่านั้นหัวหน้ายังต้องเป็นผู้ที่รอบรู้ และละเอียดถี่ถ้วนในทุกขั้นตอน ถ้าหน่วยงานใดได้บุคคลเช่นนี้ เป็นหัวหน้าย่อมมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ผู้ร่วมงานก็จะมีกําลังใจ สบายใจ และภาคภูมิใจ

แต่หากได้หัวหน้าที่หย่อนประสิทธิภาพ โอกาสที่องค์กรจะประสบความสําเร็จนั้นก็ย่อมมีน้อย ผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีสติปัญญาก็ไม่ปรารถนาจะทํางานด้วย องค์กรก็ไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน คาถาธรรมบท ว่า
“อุฏฺฐานวโต สติมโต
สุจิกมฺมสฺส นิสมฺมการิโน
สุญฺญตสฺส จ ธมฺมชีวิโน
อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒติ

ยศย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีความหมั่น
มีสติ มีการงาน สะอาด ใคร่ครวญแล้วจึงทํา
ระวังดีแล้ว เป็นอยู่โดยธรรม และไม่ประมาท”

ยศถาบรรดาศักดิ์ ความมีโภคทรัพย์สมบัติ การยอมรับ นับถือ เกียรติยศ ชื่อเสียง และการสรรเสริญ เป็นสิ่งที่พึ่ง ปรารถนาของทุกคน อีกทั้งอิสริยยศ คือ ความเป็นใหญ่ด้วยยศศักดิ์อันสูงส่ง เกียรติยศ คือชื่อเสียง ความยกย่องนับถือ ความมีหน้า และบริวาร

ยศ คือพวกพ้องบริวารที่แวดล้อมคอย ช่วยเหลือ ยศทั้ง ๓ ประการนี้เป็นที่ต้องการของบุคคลทั่วไป เพราะเมื่อมียศย่อมได้รับความสะดวกสบาย และสมปรารถนา มากกว่าผู้อื่น แต่การที่จะได้มาซึ่งยศศักดิ์ การรักษายศ หรือ ทําให้มียศเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย

พระบรมศาสดา ให้หลักในการที่จะทําให้ยศนั้นเจริญยิ่งขึ้นไป คือต้องมีคุณธรรม ๗ ประการด้วยกัน
๑. ต้องเป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้านใน หน้าที่การงาน
๒. ต้องมีสติ ระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ควบคุมสติอารมณ์ ไว้ได้ ไม่ฟุ้งซ่าน
๓. ต้องมีการงานสะอาด คืองานที่ทําต้องเป็นงานสุจริต ไม่ก่อทุกข์ก่อโทษทั้งต่อตนเอง และผู้อื่น
๔. ต้องพิจารณาให้รอบคอบถี่ถ้วนก่อนทํากิจการงานต่างๆ
๕. ต้องสํารวมระวัง มีศีล มีกิริยามารยาทสงบเสงี่ยม เรียบร้อย
๖. ต้องเป็นอยู่โดยธรรมคือเป็นคนมั่นคงอยู่ในศีลในธรรม ยึดธรรมเป็นหลักในการดําเนินชีวิต
๗. ต้องเป็นผู้ไม่ประมาทในการทํางาน อย่าให้ผิดพลาดหรือเสียหาย

หากต้องการมียศบริวารเป็นที่ยกย่องนับถือ ต้องหมั่น ปฏิบัติตนตามหลักธรรมข้างต้นให้ได้ เมื่อทําได้เช่นนี้ ยศที่ยังไม่มีก็จะมี เมื่อมีแล้วจะรักษาไว้ได้ และจะเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป และเมื่อได้ยศมาโดยชอบธรรมแล้ว ยศจะตั้งอยู่ได้นาน ทั้งเป็นที่ยอมรับของบุคคลทั้งหลาย ส่วนยศที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม ไม่เป็นไปตามหลักธรรม ย่อมไม่ยั่งยืนถาวร และไม่เป็นที่ยอมรับของบัณฑิตผู้รู้ทั้งหลาย

เมื่อหมดยศลงเมื่อไร ย่อมตกอับทันที ถึงตอนนั้นจะรู้ว่ายศที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรมนั้น ก่อทุกข์ให้อย่างไร เพราะยศไม่เข้าใครออกใคร อยู่กับคนดี ก็มีแต่ทําให้ดียิ่งๆ ขึ้น อยู่กับคนพาล ก็ทําให้เสื่อมลง และยังนําความหายนะมาให้ จึงไม่ควรประมาทมัวเมาชะล่าใจในคราวที่มียศมีตําแหน่ง ดังเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตกาล เรื่องมีอยู่ว่า

“ในสมัยพระราชาพระนามว่าเรณุราช ครองราชสมบัติ อยู่ในอุตตรปัญจาลนคร วันหนึ่งพระดาบสชื่อมหารักขิต มีบริวาร ๕๐๐ ออกจากป่าหิมพานต์ และเที่ยวจาริกมาจนถึง อุตตรปัญจาลนคร ได้พักอยู่ที่พระราชอุทยาน รุ่งขึ้นต่างพากัน ออกภิกขาจารจนถึงประตูพระราชวัง พระเจ้าเรณุราชเห็นหมู่ดาบสเดินด้วยความสงบเรียบร้อย ก็ทรงมีจิตเลื่อมใส ได้นิมนต์มาที่ท้องพระโรงอันประดับตกแต่งอย่างดีเลิศ

จากนั้นทรงนิมนต์ให้พระดาบสทั้งหลายอยู่จําพรรษาในพระราชอุทยาน เมื่อหมู่ดาบสรับนิมนต์แล้ว จึงทรงรับสั่งให้ราชบุรุษสร้างที่พักอาศัยถวาย พร้อมทั้งทรงถวายสมณบริขารอีกด้วย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฤาษีทั้งหลายก็ไปฉันที่พระราชนิเวศน์ทุกวัน

พระราชาไม่มีพระราชโอรสแม้แต่พระองค์เดียว ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าจะได้พระโอรส แต่ก็หามีพระโอรสมาอุบัติไม่ จนฤดูฝนผ่านไป มหารักขิตดาบส จึงมาทูลลาพระราชากลับป่าหิมพานต์ ขณะที่ดาบสทั้งหลาย กําลังนั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้ในระหว่างเดินทางนั้น ได้พูดคุยกันว่า “พระราชาไม่มีพระราชโอรสสืบราชสกุลเลย หากพระราชาได้พระโอรสก็คงจะดีไม่น้อย”

มหารักขิตดาบสได้ยินดังนั้น จึงตรวจดูว่า พระราชาจะได้พระโอรสหรือไม่ เมื่อรู้ว่าจะได้ จึงพูดขึ้นว่า “ท่านทั้งหลายอย่าวิตกไปเลย วันนี้เทพบุตรองค์หนึ่งจะจุติถือ ปฏิสนธิในพระครรภ์ของอัครมเหสี” ดาบสโกงคนหนึ่งได้ยินเข้า จึงคิดจะเป็นดาบสประจําตระกูลของพระราชา ดังนั้นเมื่อดาบส ทั้งหลายจะเดินทางต่อไป เขาแสร้งทําเป็นไข้ นอนพักอยู่ ไม่ยอมร่วมเดินทางไปด้วย

มหารักขิตดาบสรู้เหตุการณ์ทุกอย่าง ได้แต่เดือนดาบสโกงว่า “เมื่อใดที่มีกําลังวังชาแล้ว ขอให้รีบตามมา” จากนั้นหมู่ดาบสพากันออกเดินทางกลับป่าหิมพานต์ ส่วนดาบสโกง รีบย้อนกลับพระราชวัง บอกราชบุรุษให้ไปกราบทูลพระราชาว่า “ดาบสอุปัฏฐากของมหารักขิตดาบสมาเฝ้า” ครั้นพระราชาทูล นิมนต์แล้ว จึงไปเข้าเฝ้า พระราชาตรัสถามว่า “พระคุณเจ้า รีบด่วนมา มีธุระอันใดหรือ”

ดาบสโกงรีบตอบว่า “อาตมาได้ฟังคําสนทนาของดาบส ทั้งหลายถึงเรื่องที่พระองค์ไม่มีพระโอรส จึงได้ตรวจดูด้วย ทิพยจักษุ ก็รู้ว่าเทวดาผู้มีฤทธิ์มากจะมาบังเกิดในพระครรภ์ของพระมเหสี ที่มานี้เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับพระครรภ์ จึงรีบมากราบทูลพระองค์”

จากนั้นก็ทําที่ขอลากลับป่าหิมพานต์ พระเจ้าเรณุราชทรงปีติโสมนัส เลื่อมใสในดาบสนั้นได้ทูลทัดทานและให้ดาบสนั้นพักอยู่ในอุทยาน ดาบสก็ได้เป็นผู้คุ้นเคย ในราชสกุลดังใจปรารถนา

ต่อมา พระโพธิสัตว์ได้ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระนางสุธรรมาราชเทวี เมื่อประสูติออกมาแล้วได้พระนามว่า โสมทัตกุมาร ฝ่ายดาบสโกงได้ปลูกผักสวนครัว ส่วนหนึ่ง ปรุงเป็นอาหาร อีกส่วนหนึ่งได้จําหน่ายแก่ประชาชนชาวเมือง ครั้นพระโพธิสัตว์มีอายุครบ ๗ ชันษา ทางชายแดนเกิด กระด้างกระเดื่องก่อจราจลขึ้น พระเจ้าเรณุราชจึงยกทัพไปปราบ ก่อนไปได้รับสั่งพระกุมารให้ปรนนิบัติดาบสเป็นอย่างดี

วันหนึ่ง พระกุมารเดินทางไปเยี่ยมดาบส เห็นดาบส กําลังถกเขมรถือหม้อน้ำข้างละหม้อ รดน้ำพืชผักอยู่ ทรงดําริว่า ดาบสโกงนี้ไม่บําเพ็ญสมณธรรม มัวแต่ปลูกผักสวนครัว เพื่อจะให้ดาบส สํานึกจึงทักว่า “ท่านพ่อค้าขายผัก ทําอะไรอยู่หรือ” และมิได้ทรงกราบไหว้ดาบสแต่อย่างใด ฝ่ายดาบสโกงคิดว่า หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ตัวเองจะเสื่อมจากลาภที่เคยได้ จึงคิดจะกําจัดพระกุมารทันที

ครั้นพระราชาเสด็จกลับจากปราบชายแดนแล้ว ดาบส ได้โยนแผ่นหินไปรวมกันไว้ ทุบหม้อให้แตกกระจาย เกลี่ยหญ้า ทําให้เรียราดบนบรรณศาลา เอาน้ำมันทาตัวนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง

เมื่อพระราชาเสด็จมาถึง ทรงทําประทักษิณพระนคร และยังไม่ได้เสด็จกลับพระราชนิเวศน์ พระองค์ทรงเสด็จไป เยี่ยมดาบสก่อนด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นอาการของดาบส ได้ตรัสถามว่า “ทําไมท่านเป็นเช่นนี้ ใครมาทําให้ท่านเดือดร้อน” ดาบสตอบว่า “ช่วงที่พระองค์ไม่อยู่ อาตมาถูกพระราชโอรส ทําร้าย” พระราชายังไม่ทันพิจารณาใคร่ครวญ ทรงหลงเชื่อ และกริ้วพระโอรสมาก จึงทรงให้สําเร็จโทษพระกุมารทันที

เมื่อราชบุรุษไปจับพระโอรสเพื่อจะนําไปประหาร พระโอรสได้ขอร้องว่า "ให้พาไปเข้าเฝ้าพระบิดาก่อน” พระโอรส ได้ตรัสถามถึงความผิดของตน พระราชาจึงได้เล่าเรื่องความผิด ที่พระโอรสได้กระทํา พระโอรสเล่าเรื่องที่ตนเห็นดาบสโกง รดน้ำปลูกผักสวนครัวให้พระราชาฟังเช่นกัน และทูลว่า “ถ้าพระองค์ไม่เชื่อก็ให้ไปถามพวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาดดูเถิด พระเจ้าข้า” พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษไปสอบถามชาวตลาด และให้ไปค้นบรรณศาลาก็เห็นห่อกหาปณะ

เมื่อความจริงปรากฏ พระราชกุมารคิดว่า การที่เรา อาศัยอยู่ในสํานักของพระราชาที่โง่เขลา ตัดสินโดยไม่รู้จัก พิจารณา คงจะต้องมีโทษสักวันหนึ่ง จึงทูลลาออกบวชเป็นดาบส บําเพ็ญพรตอยู่ในป่าหิมพานต์ตามลําพัง ได้ยังฌานและอภิญญา ให้เกิดขึ้น เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ส่วนดาบสโกง ถูกมหาชนโบยตีจนสิ้นชีวิต

เราจะเห็นว่า การจะตั้งใครให้มียศมีตําแหน่ง หรือให้ เป็นใหญ่ จะนับถือยกย่องใคร จะต้องเลือกให้ดี ใคร่ครวญ ให้รอบคอบก่อน จะได้ไม่ผิดหวังในภายหลัง และถ้าได้ยศมาแล้ว อย่ามัวเมาในยศ และไม่พึงแสวงหายศโดยไม่ถูกทาง เพราะยศ เช่นนั้นทําให้ตนต้องเดือดร้อนในภายหลัง

เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น ก่อนตัดสินใจ ควรไตร่ตรอง ให้ดีก่อน อย่าเพียงได้ยินข่าวลือที่เขาพูดกัน แล้วด่วนตัดสินใจ เราเป็นชาวพุทธต้องหนักแน่น พยายามทบทวนดูเหตุและผลให้ดี และวิธีการที่ดีที่สุด คือ ต้องรู้จักไตร่ตรองด้วยปัญญา อันบริสุทธิ์ที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนานั่นเอง

ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓ หน้า ๒๐๑-๒๐๙
อ้างอิง ....พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๖๑
หน้า ๑๖๘



3 ความคิดเห็น:

  1. ขอกราบอนุโมทนาบุญกับชาดกที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต สาธุ

    ตอบลบ

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...