อานุภาพของความเลื่อมใส
มัฏฐกุณฑลี
เป็นลูกชายเศรษฐีตระกูลพราหมณ์พ่อแม่รวยมาก แต่พ่อขี้เหนียว มาก
จนใครก็ให้สมญาว่า ...ไม่เคยให้อะไรกับใครเลย ...
แต่ก็ยังมีใจรักลูกมาก จึงให้ตุ้มหูทอง
ผิวเกลี้ยงคู่หนึ่ง แก่ลูกชายของตน จึงได้ชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี
ลูกชายอายุ 16 เกิดป่วยหนัก แม่เฝ้าอ้อนวอนพ่อ ให้เอาหมอมารักษาลูกชาย แต่ด้วยความขี้เหนียวของพ่อ
จึงไม่ยอม กลัวเสียเงินเยอะ ก็ไปถามหมอว่า เวลาคนเป็นอย่างนี้ หมอจะจัดยาอย่างไร .. เสร็จแล้วก็ไปหารากไม้ ใบไม้ อย่างที่หมอบอก เอามาให้ลูกชายกิน ลูกชายจึงไม่หาย จากเป็นเล็กน้อย จนเป็นมากขึ้น พราหมณ์จึงยอมพาไปหาหมอ แต่หมอเห็นแล้วว่า ไม่สามารถรักษาได้ จึงปฏิเสธ
พราหมณ์รู้ว่าลูกชายต้องตายแน่ ๆ จึงหามลูกออกมานอนนอกระเบียงเพราะ
กลัวคนมาเยี่ยม จะเห็นทรัพย์สมบัติ ของตน
พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลก เห็นมัฏฐกุณฑลี ในข่ายพระญาณ จึงเสด็จมา โปรด
ตอนที่พระองค์เสด็จมาถึง เด็กหนุ่มกําลังนอนตะแคง หันหน้า เข้าฝาบ้าน เห็นแสงจากรัศมีของพระองค์กระทบฝาบ้าน จึงแปลกใจว่าแสงอะไร จึงหันหน้าออกมาดู
เห็นพระพุทธเจ้า ก็คิดว่า เพราะพ่อเราเป็นอันธพาล
ไม่ได้ถวายทาน ไม่ได้ฟังธรรม เราเลยไม่เคยได้เฝ้าพระพุทธเจ้า มาตอนนี้
แม้แต่จะยกมือไหว้พระพุทธเจ้าก็ยกไม่ไหว คิดอย่างนี้แล้ว เขาก็ทําใจให้เลื่อมใสในพระพุทธองค์
พระพุทธองค์ทรงทราบว่า มัฏฐกุณฑลี ทําจิตให้เลื่อมใสในพระองค์แล้ว ก็เสด็จออกไป พอลับตาเท่านั้น เขาก็สิ้นลมลง แล้วไปเกิดในวิมานทอง สูง 30 โยชน์ เมื่อได้เห็นสมบัติ ก็พิจารณาว่า ทําไมถึงได้สมบัติอันมีประมาณนี้ ก็เลยรู้ว่าเป็นเพราะทําใจเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
หลังจากนั้นก็มองลงมาจากเทวโลก ...เห็นพ่อยืนร้องไห้ที่ป่าช้า เกิดความสงสาร อยากจะช่วยให้พ่อคลายทุกข์ จึงแปลงกายเป็นชายหนุ่มมายืนร้องไห้อยู่ใกล้ๆ
พราหมณ์
พราหมณ์ได้ยินเสียงคนร้องไห้จึง
เข้ามาถามว่า "มาร้องไห้ นี่มีทุกข์อะไรหรือ "ชายหนุ่มก็ถามกลับว่า
"ท่านเล่า มีทุกข์อะไรล่ะ" พราหมณ์จึงบอกว่า
"ข้าพเจ้าทุกข์ถึงลูกชายที่ตายไป" ชายหนุ่มจึงเล่าว่า
"ข้าพเจ้ามีรถคันหนึ่ง เป็นรถทองคําล้วน
สวยมาก แต่ยังหาล้อรถไม่ได้ทุกข์ใจมาก" พราหมณ์ตกตะลึง พอบอกว่าเป็นรถทองคํา
จึงบอกว่า "พ่อหนุ่ม จะต้องการล้อเงินหรือล้อทอง หรือแก้วมณีอะไร
เราจะจัดหาให้ท่าน"
ชายหนุ่มคิดว่า "ดูสิ ตอนเราป่วยจนตาย ไม่ยอมเสียเงินค่าหมอแม้นิดหน่อย ตอนนี้ เห็นเรามีรถทอง จะยอมจ่ายล้อทองให้"
คิดแล้วแกล้งพูดว่า "ไม่มีอะไรเหมาะกับรถของข้า เท่ากับ ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ "
พราหมณ์คิดว่า ชายหนุ่มคนนี้บ้า จึงพูดว่า "เกิดตายแล้ว
เกิดอีกเท่าไหร่ก็เอาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์มาทําล้อไม่ได้หรอก"
ชายหนุ่มย้อนว่า
"แต่เรายังอยากได้ในสิ่งที่เห็นได้อยู่ ท่านซิ....ร้องไห้คร่ำครวญ ในสิ่งที่ใครๆ
ก็มองไม่เห็น ท่านว่าใครโง่กว่ากัน" พราหมณ์ก็เลยได้สติ " พูดชมเชย ชายหนุ่มที่มาทำความเห็นถูก... ทำความเศร้าโศกถึงลูกชาย ให้คลายลง แล้วถามว่าชายหนุ่มเป็นใคร ...ได้รับคำตอบว่าเป็นลูกชายของพราหมณ์นั่นเอง
พราหมณ์เกิดความสงสัยว่า
ลูกชายของตนไม่เคยได้ทำบุญเลย แล้วเป็น เทพบุตรได้อย่างไร
ชายหนุ่มก็เล่าเรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดให้ฟัง พราหมณ์ฟังแล้วปีติมาก จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ปฏิญาณว่าจะรักษาศีล ให้ทาน และเลื่อมใสในพระรัตนตรัย
แล้วทูลอาราธนาไปเสวยที่บ้านในวันรุ่งขึ้น
เมื่อพระพุทธองค์เสวยกระยาหารเสร็จแล้ว
พราหมณ์ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "บุคคลไม่ได้ถวายทานแก่
พระองค์ ไม่ได้บูชาพระองค์ ไม่ได้รักษาอุโบสถ เพียงแค่ทําจิตเลื่อมใสในพระองค์อย่างเดียวก็ได้ไปเกิดในสวรรค์" มีจริงหรือพระเจ้าข้า
พระพุทธองค์ตรัสว่า "ท่านถามทําไม
ในเมื่อมัฏฐกุณฑลี ได้บอกความจริงนั้น แล้ว" พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า
ผู้คนที่มาชุมนุมยังไม่หายสงสัย
จึงทรงอธิษฐานให้มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรลงมา พร้อมด้วยวิมาน ตอบความจริงทุกอย่าง ผู้คนทั้งหลายอุทานออกมาด้วยความเลื่อมใสว่า "ดูเถอะลูกชายพราหมณ์ไม่ได้ทําอย่างอื่นเลย นอกจากทําใจ ให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยังได้สมบัติขนาดนี้
พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณอันสูงยิ่งน่าอัศจรรย์แท้" หลังจากนั้น พระศาสดาจึงตรัสพระภาษิตว่า
“มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา
มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินี”
มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินี”
ธรรมทั้งหลาย
มีใจเป็นหัวหน้า
มีใจเป็นใหญ่
สำเร็จแล้วด้วยใจ
ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว
พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา
พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา
เพราะเหตุนั้น
เหมือนเงาไปตามตัวฉะนั้น
……………………..
#ธรรมะดีดี #ข้อคิด #สาระดีดี #มีประโยชน์ #คนจริง #รักจริง #จริงใจ #กรรม