วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561



อานุภาพของความเลื่อมใส

มัฏฐกุณฑลี เป็นลูกชายเศรษฐีตระกูลพราหมณ์พ่อแม่รวยมาก แต่พ่อขี้เหนียว มาก จนใครก็ให้สมญาว่า ...ไม่เคยให้อะไรกับใครเลย ...  แต่ก็ยังมีใจรักลูกมาก  จึงให้ตุ้มหูทอง ผิวเกลี้ยงคู่หนึ่ง แก่ลูกชายของตน  จึงได้ชื่อว่ามัฏฐกุณฑลี 

                       ลูกชายอายุ 16 เกิดป่วยหนัก   แม่เฝ้าอ้อนวอนพ่อ  ให้เอาหมอมารักษาลูกชาย แต่ด้วยความขี้เหนียวของพ่อ จึงไม่ยอม  กลัวเสียเงินเยอะ   ก็ไปถามหมอว่า  เวลาคนเป็นอย่างนี้   หมอจะจัดยาอย่างไร .. เสร็จแล้วก็ไปหารากไม้  ใบไม้  อย่างที่หมอบอก   เอามาให้ลูกชายกิน    ลูกชายจึงไม่หาย  จากเป็นเล็กน้อย  จนเป็นมากขึ้น   พราหมณ์จึงยอมพาไปหาหมอ   แต่หมอเห็นแล้วว่า ไม่สามารถรักษาได้  จึงปฏิเสธ   พราหมณ์รู้ว่าลูกชายต้องตายแน่ ๆ  จึงหามลูกออกมานอนนอกระเบียงเพราะ กลัวคนมาเยี่ยม  จะเห็นทรัพย์สมบัติ ของตน    

พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลก  เห็นมัฏฐกุณฑลี ในข่ายพระญาณ  จึงเสด็จมา โปรด  ตอนที่พระองค์เสด็จมาถึง   เด็กหนุ่มกําลังนอนตะแคง หันหน้า เข้าฝาบ้าน   เห็นแสงจากรัศมีของพระองค์กระทบฝาบ้าน  จึงแปลกใจว่าแสงอะไร จึงหันหน้าออกมาดู เห็นพระพุทธเจ้า ก็คิดว่า เพราะพ่อเราเป็นอันธพาล ไม่ได้ถวายทาน ไม่ได้ฟังธรรม เราเลยไม่เคยได้เฝ้าพระพุทธเจ้า มาตอนนี้ แม้แต่จะยกมือไหว้พระพุทธเจ้าก็ยกไม่ไหว  คิดอย่างนี้แล้ว  เขาก็ทําใจให้เลื่อมใสในพระพุทธองค์

 พระพุทธองค์ทรงทราบว่า  มัฏฐกุณฑลี ทําจิตให้เลื่อมใสในพระองค์แล้ว  ก็เสด็จออกไป   พอลับตาเท่านั้น  เขาก็สิ้นลมลง แล้วไปเกิดในวิมานทอง สูง 30 โยชน์  เมื่อได้เห็นสมบัติ     ก็พิจารณาว่า  ทําไมถึงได้สมบัติอันมีประมาณนี้    ก็เลยรู้ว่าเป็นเพราะทําใจเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า   หลังจากนั้นก็มองลงมาจากเทวโลก  ...เห็นพ่อยืนร้องไห้ที่ป่าช้า เกิดความสงสาร  อยากจะช่วยให้พ่อคลายทุกข์   จึงแปลงกายเป็นชายหนุ่มมายืนร้องไห้อยู่ใกล้ๆ พราหมณ์  

พราหมณ์ได้ยินเสียงคนร้องไห้จึง เข้ามาถามว่า  "มาร้องไห้ นี่มีทุกข์อะไรหรือ "ชายหนุ่มก็ถามกลับว่า  "ท่านเล่า มีทุกข์อะไรล่ะ" พราหมณ์จึงบอกว่า  "ข้าพเจ้าทุกข์ถึงลูกชายที่ตายไป"   ชายหนุ่มจึงเล่าว่า "ข้าพเจ้ามีรถคันหนึ่ง เป็นรถทองคําล้วน   สวยมาก แต่ยังหาล้อรถไม่ได้ทุกข์ใจมาก" พราหมณ์ตกตะลึง พอบอกว่าเป็นรถทองคํา จึงบอกว่า "พ่อหนุ่ม จะต้องการล้อเงินหรือล้อทอง หรือแก้วมณีอะไร เราจะจัดหาให้ท่าน"

ชายหนุ่มคิดว่า  "ดูสิ ตอนเราป่วยจนตาย  ไม่ยอมเสียเงินค่าหมอแม้นิดหน่อย ตอนนี้   เห็นเรามีรถทอง จะยอมจ่ายล้อทองให้" คิดแล้วแกล้งพูดว่า "ไม่มีอะไรเหมาะกับรถของข้า  เท่ากับ ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์    "  พราหมณ์คิดว่า ชายหนุ่มคนนี้บ้า  จึงพูดว่า "เกิดตายแล้ว เกิดอีกเท่าไหร่ก็เอาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์มาทําล้อไม่ได้หรอก"   

ชายหนุ่มย้อนว่า "แต่เรายังอยากได้ในสิ่งที่เห็นได้อยู่ ท่านซิ....ร้องไห้คร่ำครวญ  ในสิ่งที่ใครๆ ก็มองไม่เห็น  ท่านว่าใครโง่กว่ากัน"    พราหมณ์ก็เลยได้สติ "   พูดชมเชย ชายหนุ่มที่มาทำความเห็นถูก...  ทำความเศร้าโศกถึงลูกชาย ให้คลายลง   แล้วถามว่าชายหนุ่มเป็นใคร ...ได้รับคำตอบว่าเป็นลูกชายของพราหมณ์นั่นเอง

พราหมณ์เกิดความสงสัยว่า ลูกชายของตนไม่เคยได้ทำบุญเลย  แล้วเป็น  เทพบุตรได้อย่างไร ชายหนุ่มก็เล่าเรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดให้ฟัง  พราหมณ์ฟังแล้วปีติมาก จึงไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  ปฏิญาณว่าจะรักษาศีล  ให้ทาน และเลื่อมใสในพระรัตนตรัย แล้วทูลอาราธนาไปเสวยที่บ้านในวันรุ่งขึ้น

เมื่อพระพุทธองค์เสวยกระยาหารเสร็จแล้ว พราหมณ์ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "บุคคลไม่ได้ถวายทานแก่ พระองค์   ไม่ได้บูชาพระองค์   ไม่ได้รักษาอุโบสถ   เพียงแค่ทําจิตเลื่อมใสในพระองค์อย่างเดียวก็ได้ไปเกิดในสวรรค์" มีจริงหรือพระเจ้าข้า

พระพุทธองค์ตรัสว่า "ท่านถามทําไม ในเมื่อมัฏฐกุณฑลี ได้บอกความจริงนั้น แล้ว"    พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า ผู้คนที่มาชุมนุมยังไม่หายสงสัย จึงทรงอธิษฐานให้มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรลงมา พร้อมด้วยวิมาน  ตอบความจริงทุกอย่าง  ผู้คนทั้งหลายอุทานออกมาด้วยความเลื่อมใสว่า  "ดูเถอะลูกชายพราหมณ์ไม่ได้ทําอย่างอื่นเลย  นอกจากทําใจ  ให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าเท่านั้น ยังได้สมบัติขนาดนี้ พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณอันสูงยิ่งน่าอัศจรรย์แท้"  หลังจากนั้น พระศาสดาจึงตรัสพระภาษิตว่า

มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปสนฺเนน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ สุขมเนฺวติ ฉายาว อนุปายินี”

ธรรมทั้งหลาย 
มีใจเป็นหัวหน้า 
มีใจเป็นใหญ่ 
สำเร็จแล้วด้วยใจ 
ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว
พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา 
เพราะเหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัวฉะนั้น
……………………..

#ธรรมะดีดี  #ข้อคิด #สาระดีดี #มีประโยชน์  #คนจริง #รักจริง  #จริงใจ #กรรม




วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561



...กรรม...


                   กรรม  คือการกระทำ  มี 2 อย่างคือ กุศลกรรม  คือการกระทำดี   และอกุศลกรรม  คือ การกระทำชั่ว   ทุก ๆ การกระทำ  ย่อมมีผลทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม ดังนั้น  ท่านที่ทำความดี  ผลย่อมตอบแทนดี  ท่านที่ทำกรรมชั่ว  ก็ย่อมได้รับผลชั่วตอบแทน   เพราะฉะนั้น สัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นของตน.. เป็นทายาทแห่งกรรม... มีกรรมเป็นกำเนิด ...มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ...มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย .. ใครทำกรรมใดไว้  ..จะดีหรือชั่วก็ตาม ตนจะต้องรับผลของกรรมนั้น 

                  ในทางโลก คนทำผิดสามารถเลี่ยงกฏหมายได้บ้าง โดยสร้างหลักฐานที่เป็นเท็จ เพื่อมาอ้างให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองถูก    แต่สำหรับกฏแห่งกรรม ยุติธรรมเสมอ  จะไม่สามารถหลบหลีกได้เลย   และเมื่อกรรมส่งผล  จะหนีไปทางอากาศ  ทางน้ำ  หรือทางภูเขา  ก็ไม่สามารถพ้นจากกรรมที่ตนเองเคยทำไว้ได้  ดังคำที่ว่า ใครทำกรรมใดไว้  ตนจะต้องรับผลของกรรมนั้น  

                 เรื่องที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องในธรรมบท  เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล  เมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภเรื่องมีอยู่ว่า มีภิกษุ 3 กลุ่มประสบพบเห็นเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน  ในขณะที่ภิกษุทั้ง 3 กลุ่มนี้ เดินทางมาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา  เรื่องมีดังนี้

                 กลุ่มที่หนึ่ง  ขณะเดินทางเพื่อเข้าเฝ้าพระศาสดา ในระหว่างทางได้ไปแวะพักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ขณะที่พวกชาวบ้านกำลังตระเตรียมปรุงอาหารบิณฑบาตถวายพระสงฆ์อยู่นั้น มีบ้านหลังหนึ่งเกิดไฟไหม้ และมีเสวียนไฟ (ลักษณะเป็นวงกลม) ปลิวขึ้นสู่ท้องฟ้า และมีอีกาตัวหนึ่งบิน  สอดคอเข้าไปในวงเสวียนไฟ  ตกลงมาตายที่กลางหมู่บ้าน   ภิกษุทั้งหลายเห็นอีกา  บินสอดคอเข้าไปในเสวียนตกลงมาตายเช่นนั้น   ก็กล่าวว่า จะมีก็แต่พระศาสดาเท่านั้นที่จะทรงทราบบุพกรรมของกาตัวนี้ที่ต้องมาประสบชะตากรรมเสียชีวิตอย่างสยดสยองครั้งนี้

ภิกษุกลุ่มที่สอง โดยสารเรือเพื่อไปเข้าเฝ้าพระศาสดา เมื่อเรือลำนั้นเดินทาง  มาถึงกลางมหาสมุทร เกิดการหยุดนิ่งอยู่กับที่ พวกผู้โดยสารมากับเรือต่างปรึกษาหารือกันถึงสาเหตุที่ทำให้เรือหยุด  เห็นว่าในเรือน่าจะมีคนกาลกิณี จึงได้ทำสลากแจกให้แต่ละคนจับ  เพื่อค้นหาคนกาลกิณี คนนั้น  

ปรากฏว่าสลากได้ถึงแก่ภรรยาของนายเรือถึงสามครั้ง นายเรือจึงกล่าวขึ้นว่า คนทั้งหลายจะมาตายเพราะ  หญิงกาลกิณี คนนี้ไม่ได้ จึงจับภรรยาของนายเรือ ใช้กระสอบทรายมัดที่คอแล้วผลักตัวลงไปในน้ำทะเล  เมื่อหญิงภรรยาของนายเรือถูกจับถ่วงน้ำไปแล้ว เรือก็สามารถเคลื่อนตัวได้  อย่างปกติ  เมื่อภิกษุเหล่านั้นเดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ก็ขึ้นฝั่งจะเดินทางต่อไปเฝ้าพระศาสดา ตั้งใจทูลถามถึงบุพกรรมของภรรยาของนายเรือ ที่ถูกใช้กระสอบทรายมัดที่คอแล้วผลักตัวลงไปในน้ำทะเลนี้


ภิกษุกลุ่มที่สาม  ขณะเดินทางเพื่อเข้าเฝ้าพระศาสดา แต่ในระหว่างทาง ได้เข้าไปสอบถามที่พระภิกษุวัดแห่งหนึ่งว่าพอจะมีที่พักค้างแรมสักคืนในบริเวณใกล้เคียง  เมื่อได้รับแจ้งว่ามีถ้ำแห่งหนึ่งพอจะพักค้างแรมได้ จึงได้เดินทางไปพัก ณ ที่นั้น แต่พอถึงช่วงกลางดึกก็มีหินใหญ่ก้อนหนึ่ง   กลิ้งมาปิดที่ปากถ้ำ ในตอนเช้าพวกภิกษุจากวัดที่อยู่ใกล้ๆเดินทางมาที่ถ้ำ เมื่อเห็นหินใหญ่กลิ้งมาปิดอยู่ที่ปากถ้ำเช่นนั้น ก็ได้ไปตระเวนขอแรงชาวบ้านจากเจ็ดหมู่บ้านให้มาช่วยกันผลักหินก้อนนั้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้พระภิกษุ 7 รูปจึงถูกขังอยู่ในถ้ำโดยไม่ได้ฉันอาหารฉันเป็นเวลา 7 วัน พอถึงวันที่ 7 หินใหญ่ที่ปิดปากถ้ำก็เคลื่อนตัวออกมาเองราวปาฏิหาริย์ ภิกษุกลุ่มนี้ก็ตั้งใจว่า เมื่อเดินทางไปเฝ้าพระศาสดาแล้วก็จะทูลถามว่าเป็นวิบากกรรมอะไรที่ทำให้ต้องถูกขังอยู่ในถ้ำนานถึง 7 วันเช่นนี้

ภิกษุทั้งสามกลุ่มได้เดินทางมาพบกันระหว่างทาง จึงเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาพร้อมกัน ภิกษุแต่ละกลุ่มก็ได้กราบทูลถึงสิ่งที่กลุ่มตนได้ประสบพบเห็นมา ให้พระศาสดา ทรงทราบ   พระองค์ทรงตรัสตอบ ถึงบุพกรรมของคนทั้ง 3 กลุ่ม ที่พระภิกษุได้เห็นมาดังนี้

กลุ่มแรก       “ ภิกษุทั้งหลาย กานั้นได้เสวยกรรมที่ตนทำแล้วนั่นแหละโดยแท้  เรื่องมีอยู่ว่า มีชาวนาผู้หนึ่ง    ในกรุงพาราณสี ฝึกโคของตนอยู่   แต่ไม่อาจฝึกได้   ด้วยว่าโคของเขาเดินไปได้หน่อยเดียวก็นอน   แม้เขาจะตีให้ลุกขึ้น   ให้เดินไปได้หน่อยเดียว   ก็ล้มตัวลงนอน   เหมือนอย่างเดิม   

ชาวนานั้น แม้พยายามแล้วก็ไม่สามารถฝึกโคได้สำเร็จ   จึงมีความโกรธ กล่าวกับมันว่า อยากนอนนัก ก็นอนอยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปไหนอีก ว่าแล้วก็เอาฟ่อนฟางมามัดที่คอโค   แล้วจุดไฟเผา  โคถูกไฟคลอกตาย   ภิกษุทั้งหลาย กรรมอันเป็นบาปนั้น ชาวนานั้นกระทำแล้วในครั้งนั้น ทำให้เขาหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นกาลนาน   เพราะวิบากของกรรมอันเป็นบาปนั้น   เกิดแล้วในกำเนิดกา 7 ครั้ง  ถูกไฟไหม้ตายในอากาศอย่างนี้ ด้วยเศษวิบากกรรม"


 กลุ่มที่สอง “ภิกษุทั้งหลาย ครั้งหนึ่งมีหญิงผู้หนึ่ง เลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง นางพาสุนัขตัวนี้ไปไหนมาไหนด้วย จนพวกเด็กๆเห็น  พากันล้อเลียน   นางทั้งโกรธและรู้สึกอับอายมาก  จึงได้วางแผนฆ่าสุนัขนั้น   นางได้เอาหม้อมาใส่ทรายจนเต็ม  แล้วผูกหม้อทรายนั้นที่คอของสุนัข   แล้วถ่วงสุนัขนั้นลงในน้ำ   จนสุนัขนั้นจมน้ำตาย จากผลของกรรมชั่วครั้งนั้น  นางตกนรกอยู่เป็นเวลานาน ในร้อยชาติสุดท้าย นางถูกมัดถ่วงด้วยกระสอบทรายที่คอก่อนจะถูกผลักลงน้ำจนเสียชีวิต”

กลุ่มที่สาม  “ภิกษุทั้งหลาย ครั้งหนึ่งเด็กเลี้ยงโค 7 คนเห็นเหี้ยตัวหนึ่งเดินเข้าไปในช่องจอมปลวก จึงช่วยกันปิดทางออกทั้ง 7 ช่องของจอมปลวกด้วยกิ่งไม้  และก้อนดินเหนียว หลังจากปิดช่องทางไม่ให้เหี้ยออก   พวกเด็กก็ต้อนโคไปเลี้ยง ณ ที่อื่น  หลังจากนั้นอีกเจ็ดวัน เมื่อต้อนโคกลับมาที่เดิมจึงนึกขึ้นมาได้ และได้ไปช่วยกันเปิดช่องจอมปลวกให้เหี้ยนั้นออกมา ก็เพราะวิบากกรรมครั้งนั้น ทำให้ทั้ง 7 คนถูกขังอยู่ในถ้ำนานถึง 7 วันโดยไม่ได้รับประทานอาหารแบบนี้ ในช่วง 14 ชาติสุดท้าย”


พระศาสดาตรัสว่า ....

น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ       น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวิสฺส
น วิชฺชเต โส ชคติปฺปเทโส        ยตฺรฏฺฐิโต มุจเจยฺย ปาปกมฺมา.

คนที่ทำกรรมชั่วไว้ หนีไปแล้วในอากาศ   หนีไปในท่ามกลางมหาสมุทร หนีเข้าไปสู่ซอกแห่งภูเขา  เพราะเขาอยู่แล้วในประเทศแห่งแผ่นดินใด  ประเทศแห่งแผ่นดินนั้น ไม่พึงพ้นจากกรรมชั่วได้

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง ภิกษุเหล่านั้น บรรลุอริยผลทั้งหลายมี โสดาปัตติผลเป็นต้น พระธรรมเทศนามีประโยชน์แม้แก่มหาชนผู้มาประชุมกัน

.................................
เพราะฉะนั้น  ขึ้นชื่อว่ากรรม  แม้แต่เพียงเล็กน้อย  อย่ากระทำเลยจะดีกว่า   พระพุทธองค์ ตรัสว่า กรรมทุกกรรมจะส่งผลหมดทุกกรรม ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่ว   เพียงแต่การส่งผลไม่ได้เรียงตามลำดับเท่านั้นเอง   ดังนั้น หน้าที่ของเรามีสิทธิ์เลือกว่า เราอยากได้ความสุขหรือความทุกข์  ถ้าอยากได้ความสุข ก็ทำกรรมดี  ถ้าอยากได้ความทุกข์  ก็ทำชั่ว  ชีวิตคนเราก็มีเท่านี้เอง 


#ธรรมะดีดี  #ข้อคิด #สาระดีดี #มีประโยชน์  #คนจริง #รักจริง  #จริงใจ #กรรม

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561


การทะเลาะกัน 
 เป็นทางมาซึ่งความพินาศ  
..............................

                   ความสามัคคี  ....  เป็นคุณธรรมพื้นฐานที่ทุกคนในสังคมยอมรับว่า เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น หน่วยสังคมขนาดเล็ก ระดับครอบครัว ระดับองค์กร หรือขนาดใหญ่ระดับชุมชน ระดับประเทศ และระดับโลก หากขาดความสามัคคี ย่อมขาดพลังในการทำสิ่งต่าง ๆ และยิ่งหากปัญหาความขัดแย้งมีมาก ย่อมสามารถลุกลามไปสู่ความรุนแรงได้ในที่สุด
เหมือนเรื่องในสัมโมทมาชาดก ดังนี้ 

                   มีป่าแห่งหนึ่ง…มีพญานกกระจาบ เป็นผู้ดูแลฝูง  วันหนึ่ง  . มีนายพรานคนหนึ่งถือตาข่ายไปจับเอาไปกิน เอาไปขาย  ก็ไปแอบที่พุ่มไม้ ทำเสียงเหมือนนกกระจาบ ... นกกระจาบเมื่อได้ยินก็บินลงมาคิดว่าเพื่อนเรียก  แต่เมื่อลงมาไม่เห็นเพื่อน  นายพรานเห็นเป็นจังหวะ เลยเหวี่ยงแหไป ได้นกเป็นจำนวนมาก  

                     สิ่งเหล่านี้อยู่ในสายตาของพญานกกระจาบ  คิดว่า เราจะทำอย่างไรดี  เพื่อให้บริวารของเรามีความปลอดภัย  เมื่อโดนจับไปคิดไปคิดมา  คิดได้ จึงเรียกนกกระจาบบริวารมาประชุมกัน...บอกว่า  มีวิธีการอย่างนี้นะ   พวกเจ้าโดนจับได้เมื่อไหร่ ให้พวกเจ้าเอาหัวสอดเข้าไปที่ตาข่าย แล้วบินขึ้นไปพร้อม ๆ กัน  แล้วเอาตาข่ายไปไว้บนยอดไม้สูง ๆ  ลูกนกกระจาบ ได้รับทราบโอวาทและวิธีการของพญานกเรียบร้อยแล้ว 

                        วันต่อมา นายพรานก็ทำเหมืือนเดิิม  มาแอบ และเรียเสียงเหมือนนกกระจาบ  นกกระจาบก็ลงไปเหมือนเดิม   นกทั้งหลาย ช่วงแรกก็ตกใจ  แต่เมื่อตั้งสตินึกถึงโอวาทของพญานกกระจาบได้ จึงบอกให้นกทุกตัวทำอย่างโอวาทของพญานกกระจาบ  ทุกตัวเอาหัวลอดตาข่าย   แล้วบินพร้อม ๆ กัน   กลายเป็นตาข่ายบินได้   บินไปถึงยอดไผ่แห่งหนึ่ง เอาตาข่ายไปวางไว้  แล้วตัวนกกระจาบก็บินจากไป  
                           

                         เมื่อนายพรานกลับบ้าน ภรรยาแปลกใจและต่อว่านายพรานว่าทำไมไม่ได้นกสักตัวเลย  นายพรานก็เล่าให้ฟังว่านกกระจาบทำอย่างนี้  แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี่๋ยวนกก็แตกสามัคคีกัน   เราก็จับนกได้อีกครั้งหนึ่ง  

                          ผ่านไปหลายวัน  ภายในฝูงของนกระจาบ เกิดการทะเลาะกัน  ตอนแรกก็ทะเลาะกัน 2 ตัว   ต่อมา เริ่มทะเลาะกันในวงกว้างมากขึ้น  สิ่งเหล่านี้ก็อยู่ในสายตายของพญานกกระจาบ ซึ่งเป็นหัวหน้า  พญานกคิดว่า หากเป็นอย่างนี้  ความสามัคคีไม่มีแล้ว ความหายนะก็จะเกิดขึ้นกับหมู่คณะเรา  ก็เลยชวนบริวารที่ยังเชื่อฟัง บินหนีไป  ย้ายไปอยู่ที่อื่น  ทิ้งตัวที่ทะเลาะกันอยู่ที่เดิม  

                          วันต่อมานายพรานก็มาจับเหมือนเดิม  เหวี่ยงแหสำเร็จเหมือนเดิม  แต่นกแบ่งออกเป็น 2 พวก  คือพวกที่ 1 จะทำตามโอวาทของพญานก  แต่อีกพวกหนึ่งบอกว่าทำไมต้องทำตาม  ก็ทะเลาะกันใหญ่    เมื่อไม่มีความเป็นหนึ่งเดียว ก็ทำให้ไม่สามารถบินพาตาข่ายขึ้นไปได้   จึงโดนนายพรานโดนจับได้อย่างง่ายดาย   ส่วนนกที่ตามพญานกไปก็อยู่อย่างมีความสุข  

                           จะเห็นว่า ความสามัคคี  มีพลังและมีอานุภาพมาก  เพราะฉะนั้น องค์กรใดที่ยังมีความรัก ความสามัคคีกัน  ใคร ๆ ก็จะมาทำลาย ไม่ได้    ในทางตรงกันข้าม  หากไม่มีความสามัคคีแล้ว  สักวันหนึ่งองค์กรนั้นก็จะถูกทำลายได้โดยง่าย  การทะเลาะกัน ไม่ดีเลย  จะนำมาซึ่งความพินาศ  

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ข้อคิดดี ในวันพระ 

                 วันนี้  ตรงกับวันพุธที่ 7 พฤศจิกายน 2561 แรม ๑๔ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด(๑๑) ปีจอ  
                 
วันนี้วันพระละกิเลส
ดับต้นเหตุแห่งทุกข์จึงสุขศรี
เพิ่มสติปัญญาบารมี
ทุกนาทีทวีบุญมีคุณจริง

ศีลข้อหนึ่งไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ทำพูดคิดมีเมตตาหรรษายิ่ง
ได้พึ่งพิงพระไตรรัตน์พัฒนา
ละความโกรธโหดร้ายหมายชังชิง

ศีลข้อสองไม่ลักทรัพย์ดับโลภะ
มีจาคะสละได้ไร้ตัณหา
สร้างสัมมาอาชีวะประจำตน
รวยน้ำใจไมตรีชื่นชีวา

ศีลข้อสามห้ามใจใฝ่ราคะ
กามต้องละชนะได้ไม่หมองหม่น
สำรวมกายวาจาใจไร้ทุกข์ทน
เป็นยอดคนพึ่งตนพ้นโลกีย์

ศีลข้อสี่มีสัจจะละมุสา
ต้องแกร่งกล้าจริยธรรมนำสุขศรี
ไม่เพ้อเจ้อส่อเสียดมีเกียรติดี
คำหยาบนี้ละเถิดประเสริฐมา

ศีลข้อห้าสุรายาเสพติด
อย่าใกล้ชิดคิดชั่วมั่วมิจฉา
บุหรี่หวยซวยซ้ำอย่านำพา
จึงก้าวหน้าคว้าชัยใจพอเพียง

วันนี้วันพระมหากุศล
มาฝึกตนเป็นคนดีไม่มีเกี่ยง
ถือศีลห้าหรรษาอย่าลำเอียง
ไม่สุ่มเสี่ยงเสื่อมทรุดพึ่งพุทธธรรม.....
( เจริญธรรม )

ขอบคุณข้อมูลกลอนจาก  ครูบาแสนจน  https://bit.ly/2PH1lh8
  

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...