บุคคลผู้ทรงธรรมพระบรมศาสดาทรงเข้าถึงความเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า เพราะได้บรรลุกายธรรมอรหัต เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัทธรรมคำสอนของพระองค์จึงเป็นความรู้อันบริสุทธิ์ กลั่นออกมาจากใจที่หยุดอย่างสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นผู้ที่จะศึกษาพระสัทธรรมอันประเสริฐ ต้องมีจิตใจที่หยุดนิ่ง เข้าถึงความบริสุทธิ์ภายในเช่นเดียวกัน
หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเลิกทรมานพระวรกาย ที่เรียกว่าอัตตกิลมถานุโยคแล้ว ทรงหันมาปฏิบัติตามหนทางสายกลาง ที่เรียกว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" จนได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ทรงเปล่งอุทานว่า"เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์ย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ชัดธรรมพร้อมทั้งเหตุ"พระสัทธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของจริง คนจริงเท่านั้นจึงจะคู่ควรกับของจริง หากตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจัง มีความเพียรไม่ลดละ ปฏิบัติตามพุทธวิธีที่ทรงแนะนำไว้ ย่อมจะรู้แจ้งเห็นจริง หมดความสงสัยในพระรัตนตรัย จะเข้าใจความเป็นจริงของโลกและชีวิต เพราะธรรมะเป็นเรื่องของการปฏิบัติ ลำพังอาศัยการนึกคิดตรึกตรองด้วยปัญญาของปุถุชน ย่อมไม่สามารถที่จะเข้าใจได้แจ่มแจ้งดังนั้น ความสงสัย หรือความเคลือบแคลงในธรรมทั้งหลาย จะหมดไปได้ต้องอาศัยการประพฤติปฏิบัติธรรมเท่านั้น ไม่ได้อยู่ที่การมานั่งถกเถียงกัน หรือโต้แย้งในสมมติฐาน วิจารณ์ความคิดเห็นของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือสรุปด้นเดาเองว่าควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเป็นการเสียเวลาเปล่า บัณฑิตควรจะพิสูจน์ โดยลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ให้รู้แจ้งเห็นจริงไปตามความเป็นจริงในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยกย่องพระอรหันตเถระ องค์หนึ่ง ชื่อพระเอกุทานเถระ ว่าเป็นผู้ทรงธรรมที่แท้จริง เนื่องจากได้เข้าถึงคำสอนของพระพุทธองค์ด้วยการลงมือปฏิบัติอย่างถูกวิธี ทำให้ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เรื่องมีอยู่ว่า พระเอกุทานเถระ หลังจากศึกษาด้านพระปริยัติแล้ว ท่านได้ปลีกวิเวกเพื่อมุ่งเข้าสู่การปฏิบัติ ท่านสอนตนเองว่า พระธรรมของพระบรมศาสดาจะรู้แจ้งได้ด้วยการปฏิบัติเท่านั้น ไม่สามารถทำให้หลุดพ้นได้ด้วยการท่องจำพุทธพจน์แต่อย่างใดท่านจึงไม่ประมาท ทำความเพียรอย่างจริงจัง เมื่อว่างเว้นจากภารกิจของการคณะสงฆ์ จะเข้าไปอาศัยอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่งเพียงลำพัง ปกติท่านจะระลึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์อยู่บทหนึ่ง แล้วท่านมักจะกล่าวสาธยายหัวข้อธรรมบทนี้ เพื่อเตือนสติตนเองเสมอๆ ว่า...“ความโศกทั้งหลายย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท เป็นผู้รู้ ผู้ศึกษาในทางแห่งการปฏิบัติ เพื่อความเป็นผู้รู้ เป็นผู้มีจิตตั้งมั่น สงบระงับแล้ว มีสติในทุกเมื่อ”โดยเฉพาะในวันอุโบสถ พระเอกุทานเถระจะกล่าวหัวข้อธรรมบทนี้เป็นประจำ เหตุอัศจรรย์ก็จะบังเกิดขึ้นทุกครั้ง คือเมื่อพระเถระกล่าวธรรมบทนี้จบลง จะได้ยินเสียงสาธุการของเทวดาที่สิงสถิตอยู่บริเวณนั้น เสียงสาธุการดังกังวานไปทั่วบริเวณ และดังลั่นประหนึ่งว่าแผ่นดินจะทรุดฉะนั้นวันหนึ่งในวันอุโบสถ มีพระเถระ ๒ รูปเป็นพระผู้ทรงพระไตรปิฎก แตกฉานและเชี่ยวชาญในหัวข้อธรรมต่างๆ ได้พาลูกศิษย์ของท่านจำนวน ๑,๐๐๐ รูป เดินทางมาขอพักอยู่ในราวป่าแห่งนั้นด้วย พระเอกุทานเถระเห็นคณะพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่มาถึง ก็ออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ และกล่าวว่า “ในวันนี้นับว่าเป็นบุญลาภของกระผม ที่ท่านทั้งหลายมาพำนักในที่นี้ กระผมได้ยินกิตติศัพท์อันดีงามของท่าน ว่าเป็นผู้ชำนาญในพระไตรปิฎก แสดงธรรมได้ลึกซึ้ง วันนี้กระผมใคร่จะขอฟังธรรมของท่านทั้งสอง ขอกราบอาราธนาแสดงธรรม เพื่อเป็นมงคลแก่กระผมด้วยเถิด”พระเถระจึงถามพระเอกุทานว่า “แล้วปกติในที่นี้ มีใครมาฟังธรรมกันบ้างล่ะ เพราะสถานที่แห่งนี้อยู่ในป่า ห่างไกลจากบ้านเรือนผู้คน” พระเอกุทานตอบว่า “ปกติธรรมดา ในวันอุโบสถ กระผมมักจะกล่าวธรรมอยู่เพียงบทเดียวตามลำพัง เมื่อกล่าวจบ ก็จะมีเสียงเทวดาทั้งหลายในบริเวณนี้ให้สาธุการ กระผมจึงเข้าใจว่า มีเทวดามาฟังธรรมทุกวันอุโบสถ แต่กระผมเป็นผู้ศึกษาพุทธพจน์มาน้อย จึงกล่าวธรรมที่คล่องปากขึ้นใจได้เพียงบทเดียว” แล้วพระเถระทั้ง ๒ รูป ซึ่งเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกก็ได้แสดงธรรม แต่มิได้ยินเสียงสาธุการของเหล่าเทวาเลย แม้เทวดาตนเดียวก็ไม่ได้ให้สาธุการเมื่อเป็นเช่นนั้น พระเถระทั้ง ๒ จึงถามพระเอกุทานว่า “เราทั้ง ๒ รูป ได้แสดงธรรมพร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะเป็นเอนกปริยาย แต่ไม่มีเสียงสาธุการของเหล่าเทวดาทั้งหลายในราวป่านี้เลย นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน”พระเอกุทานตอบว่า “ในวันที่กระผมกล่าวธรรม จะมีเสียงสาธุการของเหล่าเทวดาทุกครั้งไป แต่ในวันนี้มิทราบว่าเป็นด้วยเหตุอันใด” พระเถระทั้ง ๒ รูป จึงได้กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ผู้อาวุโสจงแสดงธรรมแก่พวกเราดูบ้างเถิด” เมื่อได้รับนิมนต์แล้ว ท่านจึงกล่าวแสดงธรรมบนอาสนะ ด้วยธรรมบทเดิมนั่นเองทันทีที่กล่าวธรรมจบลง เหล่าเทวดาทั้งหลายก็ได้ให้สาธุการด้วยเสียงดังกึกก้อง ประหนึ่งว่าแผ่นดินจะทรุด พระเถระทั้ง ๒ รูป ได้ยินเสียงเทวดาเปล่งสาธุการเช่นนั้น จึงคิดว่า เรานี้เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก มหาชนทั้งหลายยกย่อง ว่าเป็นผู้แตกฉานและเชี่ยวชาญในพระธรรมอย่างยิ่ง แต่ทำไมเหล่าเทวดาจึงไม่ให้สาธุการแก่พวกเราเลย เป็นเพราะเทวดาลำเอียงใช่หรือไม่หนอพวกศิษย์ของพระเถระทั้งสอง จึงได้กล่าวติเตียนเทวดาทั้งหลายว่า พวกเทวดาให้สาธุการแก่พระเอกุทานเพราะว่าเห็นแก่หน้า ครั้นพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดกลับไปถึงวัดพระเชตวันแล้ว ต่างพากันกราบทูลความนั้นแด่พระบรมศาสดา ทว่ากลับได้รับการตักเตือนจากพระพุทธองค์ว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกผู้เรียนมามากหรือพูดมาก ว่าเป็นผู้ทรงธรรม ส่วนผู้ใดเรียนคาถาแม้บทเดียว แล้วแทงตลอดในธรรมทั้งหลาย ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม”จากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสยกย่องพระเอกุทานว่า เป็นผู้ไม่ประมาท เป็นผู้ทรงธรรมที่แท้จริง เพราะท่านเป็นผู้หลุดพ้นจากอาสวกิเลสแล้ว ได้ตรัสย้ำอีกว่า “บุคคลไม่ชื่อว่าทรงธรรมเพราะเหตุที่พูดมาก ส่วนบุคคลใดฟังแม้นิดหน่อย ย่อมเห็นธรรมด้วยกาย เป็นผู้ไม่ประมาทในธรรม บุคคลนั้นแล เป็นผู้ทรงธรรม”เราจะเห็นว่า ลำพังความรู้ในทางปริยัติเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ ต้องนำความรู้เหล่านั้นมาปฏิบัติให้ได้ด้วย เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ ถ้าเราเข้าถึงธรรมกายได้เมื่อไร ความสงสัยทั้งปวงก็จะสิ้นไป จากผู้ไม่รู้ ก็จะกลายเป็นผู้รู้ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ สามารถรู้แจ้งได้ ถ้าทุกคนลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่มีข้อแม้ข้ออ้าง หรือเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ก็จะเข้าถึงธรรมกายได้อย่างแน่นอนทุกท่านเป็นผู้มีบุญลาภอันประเสริฐ ที่เกิดมาแล้วได้พบพระพุทธศาสนา ได้รู้จักวิธีการที่จะทำให้เข้าถึงธรรมกาย ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ ปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงธรรมกายให้ได้ มุ่งแสวงหาความเป็นผู้รู้แจ้งในธรรมทั้งหลาย จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรมอย่างแท้จริง
จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๑๔๒-๑๕๐
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ
(ภาษาไทย) เล่มที่ ๔๓ หน้า ๗๓
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุครับ
ตอบลบสาธุคะ
ตอบลบสาธุ สาธุ สาธุ
ตอบลบสาธุ ขอกราบอนุโมทนาบุญ
ตอบลบกราบสาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ
ตอบลบ