วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

คนจะดีอยู่ที่การกระทำ

คนจะดีอยู่ที่การกระทำ

                 เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี เพราะการสร้างบารมีเป็นงานที่แท้จริงของมวลมนุษยชาติ พระบรมโพธิสัตว์ในกาลก่อนท่านก็ทำอย่างนี้ คือสร้างบารมีไปจนกว่าบารมีจะเต็มเปี่ยม ได้บรรลุจุดหมายปลายทางของชีวิต เราเกิดมาภพชาติหนึ่งเพื่อสั่งสมบุญบารมีเท่านั้น บุญที่เราทำไว้ดีแล้ว จะเป็นเสบียงในการเดินทางไกลในสังสารวัฏ ทำให้เรามีความสุขตลอดเส้นทางของชีวิต จนกระทั่งเข้าถึงบรมสุขอันเป็นนิรันดร์ คือได้ถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อัคคิภารทวาชสูตร ความว่า...
     “บุคคลไม่ได้เป็นคนเลวเพราะชาติ ไม่ได้เป็นคนดีเพราะชาติ แต่เป็นคนเลวเพราะการกระทำ เป็นคนดีเพราะการกระทำ”

          ชาติแปลว่า การเกิด คนจะดีหรือไม่ดีนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชาติกำเนิด แต่อยู่ที่การกระทำ ไม่ว่าจะเกิดเป็นคนยากดีมีจน ถ้าหากคิดดีพูดดีทำดี ก็สามารถเป็นคนดีได้ เหมือนอย่างพระบรมโพธิสัตว์ บางชาติท่านพลาดพลั้งไปเกิดในตระกูลที่มีแต่คนดูหมิ่นเหยียดหยาม ใครได้พบเห็นก็สบประมาทหาว่าเป็นอัปมงคล 

             แต่ในความเป็นจริง สิริมงคลเกิดจากการประพฤติปฏิบัติอยู่ในทำนองคลองธรรม ใครทำความดี ผลแห่งความดีย่อมเกิดกับผู้นั้น ดังนั้นท่านจึงตั้งหน้าตั้งตาทำความดีอย่างไม่ย่อท้อ จนกลายมาเป็นต้นแบบในการทำความดีของชาวโลก

        ครั้งหนึ่ง พระบรมโพธิสัตว์ถือกำเนิดในวรรณะจัณฑาล มีชื่อว่า มาตังคะ มีฐานะยากจน รูปร่างหน้าตาผิวพรรณไม่เป็นที่เจริญตา  วันหนึ่ง ในเมืองมีเทศกาลดื่มสุราและงานมหรสพ บรรดานักดื่มทั้งหลายต่างมาประชุมรวมกันเพื่อสังสรรค์ ลูกสาวของพราหมณ์คนหนึ่งชื่อ ทิฏฐมังคลิกา ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาสวยงามกว่าหญิงทั้งหลายในเมืองนั้น ได้นั่งบนยานพาหนะเทียมด้วยม้าขาว มุ่งหน้าเข้าไปในเมือง

         ขณะที่บริวารของนางกำลังกันฝูงชนให้พ้นออกไปจากทางเดินอยู่นั้น  นางเหลือบไปเห็นมาตังคะ กำลังยืนถือกะลาอยู่ที่หน้าประตูพระนคร ตามปกติถ้าลูกสาวของพราหมณ์ได้พบเห็นสิ่งที่ไม่เจริญตา นางเกิดความรังเกียจขึ้นมาทันที วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อเหลือบเห็นมาตังคะ นางรีบบอกบริวารว่า “วันนี้ได้เห็นสิ่งที่เป็นอัปมงคล ผู้ที่เห็นชายคนนี้จะหาความเจริญได้อย่างไรกัน” ว่าแล้วก็พาบริวารกลับบ้านด้วยความขุ่นเคืองใจยิ่งนัก

        ชาวเมืองที่รอคอยการมาของนาง เมื่อไม่เห็นนางมา และรู้ว่ามาตังคะเป็นต้นเหตุ ก็พากันโกรธเคือง ต่างช่วยกันรุมทุบตีมาตังคะจนบาดเจ็บสาหัส และสลบไป แล้วนำร่างไปทิ้งที่กองขยะ  เมื่อมาตังคะรู้สึกตัวขึ้นมา รู้ว่าลูกสาวพราหมณ์เป็นต้นเหตุให้ตนถูกชาวเมืองรุมประชาทัณฑ์ จึงตรงไปที่บ้านของพราหมณ์ แล้วนอนขวางหน้าประตูบ้านประกาศว่า “ถ้าไม่ได้ลูกสาวพราหมณ์มาเป็นภรรยาก็จะไม่ยอมลุกขึ้น จะนอนตายอยู่ที่ตรงนี้แหละ”

         คนในสมัยนั้นเชื่อกันว่า ถ้าคนจัณฑาลมานอนตายอยู่หน้าประตูบ้านของใคร คนในบ้านหลังนั้น และบ้านใกล้เคียงโดยรอบอีก ๗ หลังคาเรือน ต้องกลายเป็นคนวรรณะจัณฑาลหมด พ่อของนางกลัวนายมาตังคะจะมานอนตายอยู่หน้าบ้าน จึงสั่งให้คนรับใช้ขนเงินทองเป็นจำนวนมากมาให้เขา  แล้วอ้อนวอนให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น

          แต่เขาก็ไม่ยอม และไม่สนใจที่จะรับของมีค่าเหล่านั้น ยังคงนอนอยู่ที่เดิมไม่ยอมไปไหน จนผ่านไปถึง ๗ วัน เพื่อนบ้านรอบๆ ทนไม่ไหว เพราะ ๗ วันแล้ว มาตังคะยังไม่ได้กินอะไรเลย วันนี้เขาต้องตายแน่ ต่างบีบคั้นให้พราหมณ์ยกลูกสาวให้ เพื่อเรื่องจะได้จบลง

       ในที่สุดพราหมณ์จำต้องยอมยกลูกสาวสุดที่รักให้มาตังคะ แต่พระโพธิสัตว์ไม่มีเจตนาจะได้นางมาเป็นภรรยา เพียงแต่ต้องการขจัดทิฐิมานะของนางที่ดูถูกดูหมิ่นคนจัณฑาลเท่านั้น ความรู้สึกโกรธแค้นนางก็ไม่มี กลับนึกสงสารนางที่ต้องมาอยู่อย่างลำบาก และเป็นที่รังเกียจของชาวเมือง ในฐานะที่เป็นภรรยาของคนจัณฑาลเช่นนี้

       ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน พระโพธิสัตว์ไม่เคยกระทำสิ่งใดที่ล่วงเกินนาง  เมื่ออยู่ด้วยกันได้ครึ่งเดือน จึงคิดที่จะสงเคราะห์นาง ท่านตัดสินใจเข้าป่าไปบวชเป็นดาบส และตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนา ไม่นานก็ได้บรรลุฌานสมาบัติ และคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะเป็นที่พึ่งให้นาง จึงเหาะมาหาพร้อมกับบอกกุศโลบายที่จะให้คนทั่วทั้งชมพูทวีปมาทำการสักการบูชา เพื่อนางจะได้เป็นที่รักที่เคารพเลื่อมใสของมหาชนเหล่านั้น

         พระโพธิสัตว์สั่งให้นางประกาศทั่วเมืองว่า “ท้าวมหาพรหมเป็นสามีของนาง มิใช่นายมาตังคะ แล้วในคืนวันเพ็ญที่ใกล้จะถึงนี้ พระองค์จะแหวกมณฑลของพระจันทร์มาปรากฏตัว ทั่วทั้งชมพูทวีปจะได้เห็นกัน”  นางได้ทำตามคำพระโพธิสัตว์ แต่ถูกชาวเมืองหัวเราะเยาะ

         นางก็ไม่ย่อท้อ เที่ยวป่าวประกาศไปทั่วเมืองทุกวัน จนถึงวันที่ ๗ ชาวเมืองเริ่มลังเล คิดว่าอาจเป็นจริงตามที่นางประกาศ ครั้นพูดตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกชาวเมืองจึงเชื่อ แล้วพากันสร้างมณฑปที่ประตูเรือน และตกแต่งเครื่องประดับอย่างดีให้นาง เพื่อให้คู่ควรแก่ท้าวมหาพรหม

       เมื่อถึงคืนวันเพ็ญ พระจันทร์กำลังลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า พระโพธิสัตว์ก็ปรากฏตัวออกมาจากพระจันทร์ เหาะลงมาให้ชาวเมืองได้เห็น ชาวเมืองต่างบูชาพระองค์เป็นการใหญ่ พระองค์เหาะไปที่มณฑป และเอามือลูบท้องของนางเพื่อให้นางตั้งครรภ์ แล้วเหาะกลับไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่าตามเดิม

        มหาชนเห็นเหตุการณ์อัศจรรย์เช่นนั้น จึงพร้อมใจกันทำสักการบูชาด้วยทรัพย์สินเงินทองมากมาย ได้สร้างปราสาทอันวิจิตรสวยงามให้อยู่ และบำรุงเลี้ยงดูอย่างดี เพราะเชื่อว่านางเป็นภรรยาของท้าวมหาพรหมผู้ให้กำเนิดพราหมณ์ทั้งหลาย

           ต่อมานางคลอดบุตร และได้ตั้งชื่อว่า มัณฑัพยกุมาร เพราะเกิดในมณฑป เมื่อเติบโตขึ้นเขาเป็นเด็กฉลาดแต่มีทิฐิมานะ ให้ทานเฉพาะพวกพราหมณ์เท่านั้น ส่วนนักบวชที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบอื่นๆ ตลอดจนคนกำพร้าหรือยาจกเข็ญใจกลับไม่ยอมให้

        พระโพธิสัตว์ล่วงรู้ด้วยวาระจิต ประสงค์จะสั่งสอนบุตร เพื่อให้ทานแก่ทุกๆ คนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้รู้จักให้ทานกับผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญที่แท้จริง จึงเหาะมาที่หน้าบ้านเพื่อเป็นเนื้อนาบุญ ทันทีที่เขาเห็นพระโพธิสัตว์เท่านั้น เขาโกรธมาก และด่าว่าเป็นนักบวชนอกรีต ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่ควรที่จะมารับทานอันประณีต แล้วให้คนรับใช้ขับไล่ และทุบตีพระโพธิสัตว์

              พวกเทวดาที่คุ้มครองรักษาพระโพธิสัตว์ เห็นเหตุการณ์นั้นโดยตลอด รู้สึกโกรธเคืองมัณฑัพยะมาก จึงจับมัณฑัพยกุมารเอาขาชี้ฟ้าแล้วบิดคอจนลูกตาเหลือกถลน น้ำลายฟูมปากหายใจไม่ออก

       เมื่อมารดาเห็นบุตรมีอาการประหลาดอย่างนั้น จึงอ้อนวอนพระโพธิสัตว์ให้ช่วยเหลือ ท่านจึงคายข้าวต้มที่อยู่ในปากให้นางไปหน่อยหนึ่ง แล้วให้นำไปผสมกับน้ำ เอาไปหยอดใส่ตาใส่หูของลูกชาย ครั้นลูกชายหายเป็นปกติแล้ว นางก็พาไปกราบขอขมาพระบรมโพธิสัตว์ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ตั้งใจให้ทานกับทุกคนอย่างสม่ำเสมอม รวมทั้งกับสมณพราหมณ์ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบด้วยความเคารพเลื่อมใส

       เราจะเห็นว่า การจะตัดสินว่าใครเป็นคนดี เป็นพาลหรือบัณฑิต ไม่ได้ดูแค่ผิวเผินภายนอก แต่ต้องดูกันเข้าไปถึงคุณธรรมภายใน ดูที่การประพฤติปฏิบัติ ว่ามีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจเพียงไร เพราะคนดีที่แท้จริงไม่ต้องไปหาดูที่ไหน ให้ดูที่ในตัวของเรา

             ถ้าเราทำใจหยุดนิ่งได้ เราจะพบกับสรณะภายในคือพระธรรมกายที่มีความบริสุทธิ์ และเป็นคนดีที่แท้จริง  ดังนั้น ให้หมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่งตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ ให้รักษาใจให้ผ่องใส อย่าให้ขุ่นมัวไปตามกระแสโลก ประคับประคองใจให้หยุดนิ่งกันให้ได้ทุกๆ คน


จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๒๖๙-๒๗๖

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ

(ภาษาไทย) เล่มที่ ๖๑   หน้า 

4 ความคิดเห็น:

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...