วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ผู้รักในการทำความดี

ผู้รักในการทำความดี




การสั่งสมบุญบารมีไว้ดีแล้ว ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัย อันนํามาซึ่งความสุขความสําเร็จ และความสมปรารถนาในชีวิต การที่เราได้โอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น จะต้องอาศัยบุญบารมี ที่ได้สั่งสมไว้ดีแล้วในชาติปางก่อน จึงจะได้อัตภาพที่สมบูรณ์ มีอวัยวะที่ครบถ้วนเหมาะแก่การงานทั้งปวง

เมื่อเรามีร่างกาย ที่สมบูรณ์แข็งแรง ควรที่จะขวนขวายสร้างบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ควรประมาทเลินเล่อ ให้หมั่นทําทาน รักษาศีล และเจริญ ภาวนา ซึ่งจะเป็นเหตุให้เราถึงพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และมรรคผลนิพพานในภพต่อๆ ไป ชีวิตที่เกิดมาในภพชาตินี้ ย่อมสมหวัง ไม่เปล่าประโยชน์ เป็นชีวิตที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง



สุดยอดของบุญ คือการฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง แม้ว่าใจคนเรา จะไม่ค่อยอยู่นิ่ง พร้อมที่จะท่องเที่ยวตลอดเวลา บางครั้งล่องลอยไปจนตามไม่ทัน ผู้ที่ไม่ระวังรักษาใจปล่อยให้ฟุ้งซ่าน ไปเช่นนั้น จะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายและไม่มี ความสุขเลย หากเรารู้เท่าทันธรรมชาติของใจ เราก็ไม่ควร ท้อถอย ให้หมั่นนําใจให้มาหยุด มานิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เราจะพบกับความสุขที่เราไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต และการหยุดนิ่งนี้ยังทําให้ชีวิตของเราเจริญรุ่งเรืองไม่มีตกต่ำอีกด้วย

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุทฺทกนิกาย คาถา ธรรมบท ว่า
“อนุปุพฺเพน เมธาวี โลกํ โลกํ ขเณ ขเณ
กมฺมาโร รชตสฺเสว นิทฺธเม มลมตฺตโน

ผู้มีปัญญา ทํากุศลอยู่คราวละน้อย ๆ ทุก ๆ ขณะโดย ลําดับ จึงกําจัดมลทิน คือกิเลสของตนได้ เหมือนช่างทอง ขจัดมลทินของทองให้หมดไปได้ฉะนั้น”

บุคคลที่ได้ชื่อว่า เมธาวี เพราะประกอบด้วยปัญญา อันรุ่งเรืองในธรรม ทํากุศลเนืองนิตย์ บัณฑิตทํากุศลบ่อย ๆ ย่อมได้ชื่อว่า กําจัดมลทิน คือกิเลสมีราคะเป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้ บัณฑิตย่อมเป็นผู้ชื่อว่า มีมลทินอันขจัดแล้ว คือปราศจากกิเลส เหมือนช่างทองที่หลอมทองแล้วทุบเพียงครั้งเดียว ย่อมไม่อาจ ขจัดมลทินให้หมดสิ้นไป และไม่สามารถนํามาทําเครื่องประดับ ต่างๆ ได้ แต่เมื่อหลอมบ่อยๆ ทุบบ่อยๆ จึงจะขจัดมลทินออกได้ และยังเหมาะแก่การทําเครื่องประดับต่างๆ ได้ด้วย

บุคคลผู้ประกอบด้วยปัญญาอันเป็นเครื่องรักษาตน มี ปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาทนั้น สามารถพิจารณาเห็นโทษภัย ในวัฏสงสารอันยาวไกลซึ่งหาเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดมิได้ ให้หมั่นทํากุศลคุณความดีทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น

กุศลความดีที่ตนเองได้สั่งสมไว้ดีแล้วนี้ จะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ได้ เสมือนกับหยาดน้ำที่ตกลงมาทีละหยด ๆ ยังทําให้เต็มภาชนะได้ บุญกุศลก็เช่นเดียวกัน แม้สั่งสมทีละเล็ก ทีละน้อยเป็น ประจําสม่ำเสมอ โดยไม่ขาดเลยแม้แต่วันเดียว ก็สามารถเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ได้เช่นกัน

ผู้รักในการสั่งสมบุญบารมีนั้น แม้เห็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นประโยชน์แล้ว จะไม่มองข้าม จะรีบทําความดีนั้นด้วยจิตใจ ที่เบิกบานแจ่มใส โดยไม่เห็นแก่ความลําบากหรือความเหน็ดเหนื่อย จนความดีนั้นสําเร็จสมปรารถนา บุญกุศลที่เกิดขึ้นก็จะติดตัวไปทุกภพทุกชาติ

ดั่งเรื่องที่เกิดขึ้นกับพราหมณ์ท่านหนึ่ง ซึ่งหมั่นสร้างบุญ ทีละเล็กทีละน้อย จนสามารถสร้างบุญบารมีที่ยิ่งใหญ่ไปตามลําดับสมความปรารถนาของตนได้

เรื่องมีอยู่ว่า “วันหนึ่งพราหมณ์ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เห็นเหล่าภิกษุกําลังยืนห่มจีวรอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยหญ้าที่มีน้ำค้างเกาะอยู่ ทําให้ชายจีวรของท่าน เปียกน้ำค้าง

เนื่องจากพราหมณ์เป็นคนที่รักในการทําความดีเป็นชีวิตจิตใจ มีใจใฝ่ในการสร้างบุญกุศล เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ จึงคิดที่จะแสวงบุญให้กับตนเองว่า เราควรถางหญ้าในสถานที่แห่งนี้ให้เตียน ไม่ให้มีหญ้า เพื่อพระภิกษุจะได้ห่มจีวรได้สะดวก อีกทั้งจีวรจะได้ไม่เปียกน้ําค้างด้วย

วันรุ่งขึ้น พราหมณ์ถือจอบออกจากบ้าน ได้ถากหญ้าใน สถานที่นั้นจนสะอาด แล้วยังถากหญ้าขยายออกไปให้เป็นลานกว้างยิ่งขึ้นไปอีก พอรุ่งขึ้นวันถัดมา เมื่อพราหมณ์เห็นภิกษุ มายังสถานที่แห่งนั้น เขาสังเกตเห็นชายจีวรของภิกษุรูปหนึ่ง ตกลงไปบนพื้นดินเกลือกกลั้วฝุ่น ทําให้เกิดความคิดขึ้นว่า เราน่าจะเกลี่ยทรายบนสถานที่นี้ คิดดังนั้นแล้วจึงขนทรายมา เกลี่ยลงบนสถานที่นั้น

ธรรมดาของคนมีปัญญารักในการสร้างบุญบารมี ย่อม ขวนขวายแสวงหาบุญและบารมีอยู่เสมอ เพราะรู้ว่าบุญเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย เรานักสร้างบารมีก็เช่นกัน ต้องเป็น ผู้ที่ไวต่อการสร้างบารมี เห็นอะไรที่เป็นบุญกุศล ไม่ว่าจะเป็นบุญเล็กบุญน้อยอย่าได้มองข้าม ไม่ว่าจะเป็นบุญจากการเก็บ เพชรพลอยรักษาความสะอาด หรือจะเป็นบุญจากการรักษาบรรยากาศในการประพฤติปฏิบัติธรรม เพียงแค่เรานั่งให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นแถวเป็นแนว บุญกุศลก็เกิดขึ้นแล้ว เพราะเมื่อภาพแห่งความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเราที่ประพฤติ ปฏิบัติธรรมอยู่นี้ ได้ปรากฏสู่สายตาของชาวโลก

เมื่อเขาเห็นความเป็นระเบียบและความสงบ เขาจะเกิด ความรู้สึกอยากจะทําตาม จะทําให้เขาเห็นว่าพระพุทธศาสนา ต้องมีอะไรดีแน่ๆ จึงสามารถสอนให้คนเป็นหมื่นเป็นแสนสงบ นิ่งได้ ในที่สุดเขาจะมาดูเรา แล้วจะปฏิบัติตามเรา สันติสุขที่แท้จริงจะเกิดขึ้นกับโลกได้ โดยที่เราไม่ต้องทําอะไรมากมาย เพราะตัวอย่างที่ดีมีค่ายิ่งกว่าคําสอน หรือภาพหนึ่งภาพจะแทน คําพูดได้เป็นพันคําเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ให้เราขวนขวาย ในการสร้างบุญทุกๆ บุญให้ครบถ้วนบริบูรณ์กัน

วันต่อมา ช่วงที่แสงแดดแผดกล้านั้น พราหมณ์สังเกต เห็นเหงื่อได้ไหลออกจากกายของพระภิกษุผู้กําลังห่มจีวรอยู่นั้น ทําให้เกิดความคิดขึ้นมาอีกว่า เราควรให้คนช่วยกันสร้าง มณฑปในที่นี้ดีกว่า คิดอย่างนั้นแล้ว เขาได้บอกให้คนมาช่วยกัน สร้างมณฑป รุ่งขึ้นวันต่อมามีฝนตกแต่เช้าตรู่ ขณะเหล่าพระภิกษุกําลังยืนห่มจีวรท่ามกลางสายฝนที่สาดเข้ามาในมณฑป เขาเกิดความคิดใหม่ขึ้นมาว่า เราจะให้เขามาช่วยกันสร้างศาลา ในสถานที่นี้ คิดเช่นนี้แล้ว ก็รีบชักชวนชาวบ้านให้ช่วยกันสร้างศาลาถวายพระภิกษุ

หลังจากสร้างศาลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเกิดความคิด ที่จะฉลองศาลา จึงนิมนต์ภิกษุสงฆ์ให้มาเป็นเนื้อนาบุญโดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ทั้งได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดที่ตนเองได้บําเพ็ญมา พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดูก่อน พราหมณ์ ธรรมดาบัณฑิตทั้งหลายทํากุศลคราวละน้อย ๆ ย่อมสามารถขจัดมลทิน คือกิเลสของตนได้โดยลําดับ เหมือนช่างทองปัดเป่ามลทินทองให้หมดไปฉะนั้น” เมื่อตรัสพระธรรม เทศนาจบลง พราหมณ์ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคลทันที

จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า พราหมณ์คนนี้เป็นผู้มีปัญญา รักในการสร้างบุญ เห็นสิ่งใดที่เป็นบุญเป็นกุศลก็ไม่ได้ปล่อยผ่าน แม้เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็รีบขวนขวายทํา โดยไม่ต้องให้ใคร มาคอยบอกหรือชี้แนะ รีบทําด้วยตนเอง ด้วยท่านคิดในใจ เสมอว่า เราต้องเอาบุญติดตัวไปในภพชาติเบื้องหน้าให้ได้

ในที่สุดก็ได้สร้างบุญใหญ่ด้วยการชักชวนผู้คนทั้งหลาย ให้ช่วยกันสร้างศาลา แล้วได้ร่วมใจกันฉลองศาลาถวายภัตตาหาร แด่พระภิกษุสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน นับว่าเป็นบุญที่ยิ่งใหญ่มาก ที่จะติดตัวไปข้ามภพข้ามชาติ

บัณฑิตผู้มีปัญญาจะเป็นเช่นนี้ จิตใจจะมีแต่ความใส สะอาดบริสุทธิ์ รักในการสั่งสมความดีเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อได้ฟัง พระธรรมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แค่เพียงเล็กน้อย ก็สามารถทําใจให้หยุดนิ่ง จนกระทั่งมีดวงตาเห็นธรรม เป็นพระอริยบุคคลในบวรพระพุทธศาสนา

ขอให้เราหมั่นสร้างบุญบารมีให้เป็นประจําสม่ำเสมอ โดยทําตามแบบอย่างของบัณฑิตในกาลก่อนมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน เพื่อกําจัดความตระหนี่ การรักษาศีลเพื่อป้องกันสิ่งที่ไม่ดีไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเอง และ การเจริญภาวนา เพื่อชําระกาย วาจา ใจของเราให้สะอาด บริสุทธิ์ผุดผ่อง อันเป็นหนทางโปสู่ความหลุดพ้น เข้าถึงความสุข ภายใน จนกระทั่ง สามารถกําจัดมลทินภายในใจของเราให้หมดสิ้นไปได้ ดังนั้น อย่ามองข้ามในการสั่งสมบุญ แม้จะเป็นบุญเล็กน้อยก็ตาม ให้รีบขวนขวายทํากันทุกคน



จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓ หน้า ๒๑๑-๒๑๘

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๔๓ หน้า ๑๓


4 ความคิดเห็น:

  1. กราบอนุโมทนาบุญกับ Dhamma Story ในวันนี้ด้วยค่ะ สาธุๆๆค่ะ

    ตอบลบ
  2. กราบอนุโมทนาสาธุครับ

    ตอบลบ
  3. ขอกราบขอบพระคุณและขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ

    ตอบลบ
  4. กราบอนุโมทนาบุญเจ้าค่ะสาธุๆๆ

    ตอบลบ

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...