วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2562


เมื่อหมดบุญ....  ทองคำ... เปลี่ยนเป็นถ่านได้ 

                  ชีวิตคนเราเกิดมา...บางคนร่ำรวย  บางคนยากจน  บางคนสวย  บางคนขี้เหร่ บางคนสูง บางคนต่ำ  บางคนดำ  บางคนขาว บางคนแข็งแรง  บางคนอ่อนแอ สิ่งเหล่านี้มีอะไรที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง  จึงทำให้ชีวิตต้องแตกต่างกันอย่างนี้   
                 พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่า ...เรามีกรรมเป็นของๆตน     เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ุ   เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย  เราทำกรรมใดไว้  เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น 

                    การกระทำของเรา ทุก ๆ อย่าง จะส่งผลต่อตัวเราเองทั้งสิ้น   เพราะฉะนั้น ก่อนทำอะไรจะต้องคิดให้ดี   ถ้าเป็นกรรมดีก็ให้รีบทำ  ถ้าเป็นกรรมชั่ว  แม้เพียงเล็กน้อยก็อย่าไปทำดีกว่า  เพราะกรรมทุกกรรมจะส่งผลถึงเราทั้งสิ้น  เราไม่ควรประมาทในเรื่องเหล่านี้  ชีวิตคนเราสั้นนัก  โดยเฉลี่ยจะมีอายุ 75 ปี   ก่อนที่เราจะหมดโอกาส หรือหมดอายุขัย  ให้เราหมั่นสั่งสมบุญเอาไว้   ดังภาษิตที่ว่า ...ปุญญญฺเจ ปุริโส กยิรา  ...กยิราเถนํ ปุนปฺปุนํ   ...ตมฺหิ ฉนฺทํ กยิราถ  ...สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย.  (แปลว่า)  หากบุคคลจะทำบุญ ...ก็ควรทำบุญนั้นบ่อยๆ  ...ควรทำความพอใจในบุญนั้น ...เพราะการสั่งสมบุญ...เป็นเหตุให้เกิดสุข.

                   เมื่อจังหวะบุญส่งผล  ชีวิตของเราก็จะมีแต่ความสุข  แต่เมื่อใด บุญหมด ... เมื่อนั้น ชีวิตจะตกต่ำ   จากร่ำรวย  กลายเป็นยากไร้ได้  เหมือนดังเศรษฐีในสมัยพุทธกาล  เมื่อยามมีบุญ ก็เสวยสมบัติอย่างมีความสุข  แต่เมื่อหมดบุญ  สมบัติต่าง ๆ ก็กลายเป็นถ่านในทันที   ดังมีเรื่องราวดังนี้   

                     ในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีในเมืองสาวัตถี  เสวยสุขอยู่ดี ๆ วันหนึ่ง ทองที่มีทั้งหมดได้กลายเป็นถ่าน สร้างความตกใจแก่เศรษฐีเป็นอย่างมาก ทำให้เศร้าโศกเสียใจ  กินไม่ได้นอนไม่หลับ  




                     เพื่อนเศรษฐีที่รู้เรื่องราวก็พากันมาปลอบโยน เพื่อนคนหนึ่งกล่าวว่า "ลองเอาถ่านทั้งหมดไปกองไว้ที่ตลาดนัดที่คนเดินผ่านไปมาดูซิ อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็ได้   ในขณะที่นั่งเฝ้ากองถ่านอยู่นั้น  มีหญิงคนหนึ่ง  ชื่อนางกีสาโคตมี  เข้ามาถามว่า "คุณพ่อ คนอื่นเขาขายผ้า ขายน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นต้น แต่ทำไมคุณพ่อนำทองมาขาย"




                     คำพูดของนางกีสาโคตมีทำให้เศรษฐี    เศรษฐีถามด้วยความตื่นเต้นว่า "ทองที่ไหนแม่หนู"  


                      ".อ้าว ก็กองอยู่หน้าคุณพ่อนั่นไง" นางกีสาโคตมีตอบ


                      " ไหนแม่หนูลองหยิบให้พ่อดูซิ"  เศรษฐีกล่าวเชิญ



                       นางกีสาโคตมีจึงหยิบถ่านขึ้นมาก้อนหนึ่ง มันกลายเป็นทองจริงๆ เศรษฐีจึงขอร้องให้หญิงสาวเอามือสัมผัสกองถ่านทั้งหมด แล้วมันก็คืนสภาพเป็นทองตามเดิม เศรษฐีรู้ว่านางยังไม่แต่งงาน จึงไปสู่ขอนางกับพ่อแม่ของนางเพื่อให้แต่งงานกับบุตรชายของตนและรับนางมาอยู่กินที่ตระกูลสามี


                        อยู่มาไม่นาน นางกีสาโคตมี ก็ได้กำเนิดบุตรชายน่ารักคนหนึ่งแก่ตระกูลสามี นำความปลาบปลื้มแก่สมาชิกทั้งหมดในตระกูล


                        แต่ความปลาบปลื้มยินดีนั้นมีอยู่ได้ไม่นาน บุตรน้อยของนางได้เสียชีวิตกระทันหัน นางกีสาโคตมีร่ำไห้เสียใจ จนสติพั่นเฟือน ไม่ยอมให้ใครเผาศพลูกชาย คิดเข้าข้างตัวเองว่าลูกชายของตนยังไม่ตาย เพียงสลบไปเท่านั้น แม้ใครเขาจะบอกว่าลูกของนางตายแล้วก็ไม่ฟัง


                         นางผู้น่าสงสาร วันๆ ไม่ทำอะไร ได้แต่อุ้มศพลูกน้อยเดินไปเดินมา พบใครก็เอ๋ยปากถามว่า " มียาให้ลูกฉันฟื้นไหม ขอยาให้ลูกฉันด้วย"  ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่มี  แต่มีบุคคลหนึ่ง บอกว่า รู้จักคนมียา  แล้วบอกให้ไปหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน นอกเมืองสาวัตถีนี่เอง  

                   


                  นาง อุ้มศพลูกน้อยรีบเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่เชตวัน พลางกราบทูลถามยารักษาลูกชายพระพุทธองค์  กล่าวว่า 

                 “ เธอไปเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาสักกำมือหนึ่ง เราตถาคตจะทำยาให้” พระพุทธองค์ตรัสบอก เมื่อเห็นนางรีบไปจึงตรัสกำชับว่า “เมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นจะต้องเอาจากบ้านเรือนที่ไม่มีใครตายเลยนะถึงจะทำยาได้”

                   นางเที่ยวขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากชาวบ้านทุกครัวเรือนไม่ได้แม้แต่เมล็ดเดียว เพราะทุกบ้านล้วนมีคนเคยตาย  นางเดินจนเข่าอ่อน ก็ยังไม่ได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดแม้แต่เมล็ดเดียว ทันใดนั้นนางก็ “ได้คิด” และ “คิดได้”  ว่า ความตายเป็นสัจจะแห่งชีวิต สิ่งใดมีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นก็มีการแตกดับไปในที่สุด

                    เมื่อคิดได้ดั้งนี้ แสงสว่างแห่งปัญญาก็โพลงขึ้นกลางใจ ความเศร้าโศกที่แบกรับมาจนหนักอึ้งก็ผ่อนคลายเบาบางจิตใจสดชื่น โปร่งโล่งเหมือนได้วางภาระนักลง นางจัดการเผาศพลูกชายตัวเองแล้วเดินเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์

                   เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถามว่า “ได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดหรือเปล่า” ก็กราบทูลว่า “ไม่ได้พระเจ้าข้า เพราะแต่บ้านล้วนมีคนเคยตายแล้วทั้งนั้น บัดนี้หม่อมฉันนึกได้แล้วพระเจ้าข้า ทุกคนที่เกิดมาล้วนต้องตาย หม่อมฉันปลงได้แล้ว ไม่เศร้าโศกเสียใจแล้ว”

                  พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดีละ ก่อนนี้เธอเข้าใจว่าลูกชายของเธอเท่านั้นตาย บัดนี้เธอรู้แล้วใช่ไหมว่าคนที่เกิดมาต้องตายทุกคน มัจจุราชไม่ละเว้นใครๆ มันฉุดคร่าเหล่าสัตว์ไปสู่ความตายทั้งนั้น” แล้วตรัสโศลกธรรมสั้นๆว่า

                “มฤตยูย่อมพาชีวิตของคนที่ยึดติดมัวเมาในบุตรและในทรัพย์สินไป ดุจเดียวกับกระแสน้ำหลากมาพัดพาเอาชีวิตของประชาชนผู้นอนหลับใหลไป ฉะนั้นแล”

                สิ้นสุดพระธรรมเทศนา นางกีสาโคตมี ก็ได้บรรลุ โสดาปัตติผล กราบทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุณี พระองค์ทรงส่งเธอไปบวชในสำนักภิกษุณีสงฆ์ เมื่อบวชแล้วได้นามตามเดิมว่าพระกีสาโคตรมีเถรี

                  วันหนึ่ง ขณะพระกีสาโคตรมีเถรีตามประทีป (ถือตะเกียง) ให้สว่างในวิหาร เห็นเปลวประทีปลุกแล้วก็หรี่ลง ลุกแล้วก็หรี่ลง เช่นนี้ตลอด จึงได้กำหนดเอาแสงประทีปเป็น “อารมณ์กรรมฐาน” (คือถือเอาเป็นเครื่องกำหนดจิตให้เกิดสมาธิ) แล้วเกิดความรู้ขึ้นว่า ชีวิตสัตว์ทั้งหลายดุจเดียวกับแสงประทีป เกิดขึ้นแล้วก็ดับ ดับแล้วก็เกิดขึ้นใหม่ เวียนว่ายอยู่ในวงจรแห่งการเกิดดับ อยู่ไม่รู้นานเท่าไร จนกว่าจะบรรลุพระนิพพานนั้นแหละ จึงจะหยุดวงจรแห่งการเกิดดับนี้ได้

                 ฉับพลันแสงสว่างเรืองรองก็ฉายวาบมายังเธอ ปรากฏประหนึ่งว่าพระพุทธองค์เสด็จมาประทับต่อหน้านาง พระสุรเสียงกังวานแว่วมาว่า

                  “ถูกแล้ว กีสาโคตรมี ผู้ใดเห็นแจ้งในพระนิพพาน แม้จะมีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวก็ยังประเสริฐกว่าผู้มีอายุตั้งร้อยปีแต่ไม่เห็นแจ้ง”

                   สิ้นสุดพระพุทธภาษิต พระกีสาโคตรมีเถรีก็ได้บรรลุพระอรหันตผลพร้อมปฏิสัมภิทา

                  พระกีสาโคตรมีเถรีได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตอันข่มขืนมาแล้ว รู้รสชาติแห่งความทุกข์จากการสูญเสียลูกดีว่ามันสาหัสเพียงใด เมื่อมาอยู่ในร่มเงาพระพุทธศาสนา ได้พบสุขที่แท้จริงแล้ว ก็มีความสงสารเห็นใจผู้ยังอยู่ห้วงความทุกข์นั้น จึงมักเทศน์สอนผู้คนผู้กำลังทุกข์ให้หาทางแก้ทุกข์ในทางที่ถูกต้อง วิธีเอาชนะทุกข์ได้เด็ดขาด คือ หันหน้ามาเผซิญกับมัน รับรู้ความจริงว่ามันเป็นทุกข์เพราะเหตุใด แล้วพยายามแก้ที่ต้นเหตุ ด้วยวิธีเท่านั้นจึงจะแก้ได้

                     พระกีสาโคตรมีเถรีได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าเป็น “เอตทัคคะ”  (ความเป็นเลิศกว่าผู้อื่น) ในทางทรงจีวรเศร้าหมอง เป็นผู้ถือธุดงควัตรเคร่งครัด มีความเป็นอยู่เรียบง่ายอย่างยิ่ง เป็นสตรีที่มีบทบาทในความจรรโลงพระพุทธศาสนาอย่างดียิ่งท่านหนึ่ง
                     
 ( มก. เล่ม ๓๓ หน้า ๕๐)

สรุปข้อคิดที่ได้ ....

1.บุญ ...เป็นเรื่องสำคัญ  ที่จะต้องทำบ่อย ๆ 
2.คนมีบุญเท่านั้น  มีสิทธิ์ใช้ทรัพย์  ถ้าบุญหมด ก็หมดสิทธิ์
3.คนหมดบุญ  สมบัติก็วิบัติไปด้วย  
4.ทุกอย่างในโลก  มีเกิด แล้ว มีดับ 
5.ผู้ใดเห็นแจ้งในพระนิพพาน แม้จะมีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวก็ยังประเสริฐกว่าผู้มีอายุตั้งร้อยปีแต่ไม่เห็นแจ้ง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...