หิริ...โอตตัปปะ
ธรรมะคุ้มครองโลก
สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนมีพื้นฐานของชีวิตเหมือนกัน คือ
ความทุกข์ เช่นเดียวกับโลกที่มีความมืดเป็นพื้นฐาน แต่ที่เรา
มองเห็นคน สัตว์ สิ่งของหรือสิ่งต่างๆ ได้ เพราะมีแสงสว่าง
จากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์หรือจากดวงไฟ หากเราเข้าใจความ
เป็นจริงของชีวิต ว่าเป็นทุกข์แล้ว จะได้เกิดความเบื่อหน่ายใน
ทุกข์ทั้งหลาย และรีบขวนขวายหาทางหลุดพ้นออกจากทุกข์
แสวงหาความสุขที่แท้จริง
ถ้าสัตว์เหล่าใด ไม่มีหิริและโอตตัปปะในกาลทุกเมื่อ
แล้วสัตว์เหล่านั้นก็เป็นผู้ปราศจากสุกกธรรมอันเป็นรากเหง้า
เป็นผู้เข้าถึงชาติและมรณะ ส่วนสัตว์เหล่าใด เข้าไปตั้งหิริ
และโอตตัปปะไว้โดยชอบในกาลทุกเมื่อ สัตว์เหล่านั้นมี
พรหมจรรย์งอกงาม เป็นผู้สงบ มีภพใหม่สิ้นไปแล้ว"
โลกจะร่มเย็น เป็นสุขได้ ต้องอาศัยหิริโอตตัปปะเป็นคุณธรรมขั้นพื้นฐาน
หิริคือความละอายต่อบาป มีจิตสำนึกในตัวเอง แม้ไม่มีใครเห็น
โอตตัปปะคือความเกรงกลัวต่อบาป เกรงกลัวต่อโทษหรือบาปอกุศลที่จะตามมา ตั้งแต่กลัว ถูกตำหนิติเตียน กลัวถูกทำโทษ กลัวตกนรก จึงไม่กล้าทำบาป
"มีเรื่องเล่าว่า ภิกษุรูปหนึ่งบวชด้วยความศรัทธาเลื่อม
ใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ได้ไม่นานก็อยากจะลาสิกขา
พระพุทธองค์ทรงรู้วาระจิต จึงตรัสสอนว่า "ดูก่อนภิกษุ เมื่อ
ครั้งพระพุทธเจ้ายังไม่เกิดขึ้น โบราณกบัณฑิตได้บวชในลัทธิ
นอกพุทธศาสนา ไม่มีความยินดี ยังประพฤติพรหมจรรย์อยู่ได้
กว่า ๕๐ ปี โดยไม่แสดงความที่ตนกระสันให้ปรากฏแก่ใครๆ
เพราะมีหิริโอตตัปปะ
เธอบวชในศาสนาที่จะนำสัตว์ออกจากทุกข์เห็นปานนี้ เหตุไรจึงคิดอยากจะออกไปแสวงหาทุกข์ให้ปรากฏในท่ามกลางบริษัท ๔ ทำไมเธอไม่รักษาหิริโอตตัปปะของตนไว้" จากนั้นพระองค์ทรงนำเรื่องในอดีตมาเล่าเพื่อเป็นเครื่องสอนใจว่า
ในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกของพราหมณ์ ซึ่งมีสมบัติ
มากมายมหาศาล เป็นผู้มีชื่อว่ ทีปายนกุมาร เมื่อเรียนจบ
ศิลปศาสตร์แขนงต่างๆ แล้ว ไม่ปรารถนาจะอยู่ครองเรือน จึง
ขนสมบัติที่มีอยู่ทั้งหมด ออกบริจาคเป็นทาน อำลาหมู่ญาติ
ออกบวช แสวงหาทางเป็นเครื่องพ้นทุกข์ บำเพ็ญภาวนาอยู่ใน
ป่าหิมพานต์เป็นเวลานานถึง ๕๐ปี
วันหนึ่งดาบสได้ออกจากป่า เพื่อไปเสพรสเค็มรสเปรี้ยวในเมือง ท่านเที่ยวภิกขาจารไปตามสถานที่ต่างๆ จนไปถึงบ้านของเพื่อนที่เคยรู้จักกันมาตั้งแต่ครั้งยังไม่ได้บวช ครอบครัวของเพื่อนได้ต้อนรับเป็นอย่างดีอุปัฏฐากไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
ลูกชายของเพื่อนชื่อ ยัญญทัตตกุมาร ถูกอสรพิษร้ายกัดไม่สามารถทนพิษได้จึงสลบไป พ่อแม่รู้ว่าลูกถูกอสรพิษกัด จึงรีบอุ้มลูกไปหาพระดาบสให้ช่วยเยียวยา โดยอ้อนวอนว่า "ท่านเจ้าขา ธรรมดาบรรพชิตย่อมจะรู้โอสถหรือธรรมปริตร ขอท่านได้โปรดช่วยบุตรของข้าพเจ้าให้หายด้วยเถิด"
พระดาบสกล่าวว่า "เราไม่รู้โอสถ เราเป็นบรรพชิต ไม่ทำ
เวชกรรมรักษาโรค" เมื่อถูกอ้อนวอนหนักเข้า ท่านหลับตาทำ
ภาวนาแผ่เมตตาจิตไปยังเด็กน้อยผู้เหลือแต่ลมหายใจที่แผ่วเบา
เมื่อใจเป็นสมาธิดีแล้ว ก็วางมือลงบนศีรษะของเด็ก พลางตั้ง
ทำสัจอธิษฐานว่า ..."เราเป็นผู้ต้องการบุญ มีจิตเลื่อมใสตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์อยู่เพียง ๗ วันเท่านั้น แม้เราจะไม่มีความใคร่บรรพชา อยากลาสิกขากลับไปใช้ชีวิตในเพศคฤหัสถ์อยู่ทุกวัน แต่ก็ยังทนประพฤติพรหมจรรย์ได้ถึง ๕๐ ปี ด้วยความสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่ยัญญทัตตกุมาร ขอพิษจงคลายออก ให้เด็กรอดชีวิตเถิด"
ทันใดนั้นเอง พิษในกายของเด็กไหลออกมา แล้วตกลงชึม หายไปในแผ่นดินส่วนหนึ่ง เมื่อเด็กน้อยรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมองดูผู้เป็นมารดาแล้วเรียก "แม่" เขาทำได้เพียงแค่พลิกตัว แต่ยังลุกขึ้นไม่ได้
กัณหทีปายนดาบสบอกเพื่อนว่า "กำลังบุญของเรา ทำได้แค่นี้ ท่านจงทำด้วยกำลังของตนบ้างเถิด"
เพื่อนได้ฟังคำแนะนำเช่นนั้น จึงวางมือบนหน้าอกของลูก ตั้งจิตอธิษฐานทำสัจกิริยาว่า "เพราะเหตุที่เราเห็นแขกที่มาถึงบ้านเพื่อจะพักบางครั้งเราไม่พอใจจะให้พักเลย แม้สมณพราหมณ์ก็ไม่รู้ความไม่พอใจของเรา เพราะแม้เราไม่ประสงค์จะให้แต่พยายามตัดใจให้ ด้วยเราเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ ด้วยความสัตย์นี้ ขอความสวัสดี
จงมีแก่ยัญญทัตตกุมาร ขอพิษจงคลายออก ขอให้กุมารจงรอด
ชีวิตด้วยเถิด"
เมื่อบิดาทำสัจกิริยาเช่นนี้แล้ว พิษในกายก็ไหลออก
มาอีก ฝ่ายมารดาก็เช่นเดียวกัน ได้ตั้งสัจกิริยาด้วย เมื่อหมด
พิษแล้ว ลูกชายสามารถลุกขึ้นพูดคุยกับพ่อแม่และหมู่ญาติที่มา
ห้อมล้อมได้เป็นปกติ เพื่อนของท่านดาบสถามด้วยความสงสัยว่า
"นักพรตทั้งหลายเป็นผู้สงบระงับ ฝึกฝนตนดีแล้ว นอกจาก
ท่านกัณหะ จะหาผู้ที่มีคุณธรรมเสมอเหมือนท่านนั้นยากยิ่งนัก
ดูก่อนท่านกัณหทีปายนะ ท่านเกลียดชังอะไร จึงสู้ฝืนใจ
ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ได้"
ท่านดาบสเปิดผยความในใจว่า "บุคคลออกบวชด้วย
ศรัทธาแล้วกลับเข้าบ้านอีก เป็นคนเหลวไหล เป็นคนกลับกลอก
เราเกลียดต่อถ้อยคำเช่นนี้ จึงสู้ฝืนใจประพฤติพรหมจรรย์
อยู่ในฐานะที่วิญญูชนสรรเสริญ และเป็นฐานะของสัตบุรุษ
ทั้งหลาย เพื่อนเอ่ย เราเป็นผู้ทำบุญ หนประพฤติพรหมจรรย์
เพราะอาศัยหิริโอตตัปปะ"
ท่านดาบสย้อนถามว่า "ท่านเลี้ยงดูสมณพราหมณ์ และ
คนเดินทาง ให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวน้ำและภิกษาหาร บ้าน
ของท่านบริบูรณ์ด้วยข้าวและน้ำ เป็นเหมือนบ่อน้ำ ท่านคิด
อย่างไรแม้ไม่ประสงค์จะให้ทาน ยังสามารถให้ทานด้วยความ
เคารพ" เพื่อนตอบว่า "บิดามารดาและปูย่าตายายของเรา
เป็นคนมีศรัทธ เป็นทานบดี เราประพฤติตามธรรมเนียมของ
ตระกูล ถ้าไม่ทำก็จะถูกตำหนิ เป็นคนทำลายธรรมเนียมของ
วงศ์ตระกูล เราเกลียดถ้อยคำเช่นนี้ ดังนั้นแม้ไม่ประสงค์จะให้
เราก็ต้องให้ทานไม่เคยขาด"
พระดาบสแนะนำเพื่อนว่า "เพื่อนเอ่ย การที่ท่านหา
ทรัพย์ได้มาโดยลำบาก แล้วบริจาคทานโดยไม่มีศรัทธา เป็นสิ่ง
ไม่สมควร แต่นี้ไป ท่านจงเชื่อกรรมและผลแห่งกรรม และให้
ทานด้วยศรัทธาเถิด" เพื่อนก็รับคำ แล้วแนะนำท่านดาบสบ้างว่า
"ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นเนื้อนาบุญของโลก แต่ไม่มีความยินดี
ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นการไม่สมควรเช่นกัน ตั้งแต่นี้ไป
ขอท่านจงทำจิตให้เลื่อมใสยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์เถิด"
จากนั้นสามีภรรยาพากันนมัสการลาท่านดาบสกลับไป ตั้งแต่นั้นมา พระดาบสโพธิสัตว์ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมจนสามารถ
ทำฌานและอภิญญาให้เกิดขึ้นได้ในที่สุดจะเห็นได้ว่าหิริโอตตัปปะสามารถรักษาคุณธรรมความดี ให้ดำรงอยู่ได้ตลอดไป
อานุภาพของการมีหิริโอตตัปปะมีอานุภาพถึงเพียงนี้ ทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสงบสุข ที่สำคัญคือ เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้เราเข้าถึงธรรมได้โดยง่าย ดังนั้นขอให้ทุกท่านมีหิริโอตตัปปะอยู่ในใจ หากจะทำสิ่งไม่ดีก็ให้ ละอายใจตนเอง และเกรงกลัวผลของกรรม ที่จะตามมาในภายหลัง ให้หมั่นทำใจหยุดใจนิ่งกันให้ได้ตลอดเวลา จนกว่าจะได้ที่พึ่งภายในคือพระธรรมกายกันทุกๆ คน
คัดลอกบางส่วนจากหนังสือ ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับ สารธรรม 3
สาธุ ขอกราบขอบพระคุณคณะทำงานที่ได้เรียบเรียงชาดกและเนื้อหาธรรมะที่ดีและมีประโยชน์ต่อชีวิตอย่างยิ่ง มาให้สาธุชนได้ศึกษาเรียนรู้และนำไปปฏิบัติ ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ
ตอบลบ