วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ผู้นำต้องรอบคอบ

ผู้นำต้องรอบคอบ
การทํางานทุกอย่างไม่ว่างานเล็กหรืองานใหญ่ จะเป็น ภาครัฐหรือเอกชน ต่างต้องการความสําเร็จด้วยกันทั้งนั้น การประสบความสําเร็จนํามาซึ่งความปลื้มปีติยินดี ทําให้องค์กรเจริญรุ่งเรือง และทําให้หน้าที่การงานของบุคคลเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปอีกด้วย

ผู้ที่ทําหน้าที่เป็นหัวหน้าจึงควรทํา หน้าที่ดูแลหมู่คณะโดยรอบคอบ บุคคลผู้มีปัญญาจึงพิจารณา หาเหตุผลก่อนตัดสินใจ ยิ่งกว่านั้นหัวหน้ายังต้องเป็นผู้ที่รอบรู้ และละเอียดถี่ถ้วนในทุกขั้นตอน ถ้าหน่วยงานใดได้บุคคลเช่นนี้ เป็นหัวหน้าย่อมมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ผู้ร่วมงานก็จะมีกําลังใจ สบายใจ และภาคภูมิใจ

แต่หากได้หัวหน้าที่หย่อนประสิทธิภาพ โอกาสที่องค์กรจะประสบความสําเร็จนั้นก็ย่อมมีน้อย ผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีสติปัญญาก็ไม่ปรารถนาจะทํางานด้วย องค์กรก็ไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน คาถาธรรมบท ว่า
“อุฏฺฐานวโต สติมโต
สุจิกมฺมสฺส นิสมฺมการิโน
สุญฺญตสฺส จ ธมฺมชีวิโน
อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒติ

ยศย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีความหมั่น
มีสติ มีการงาน สะอาด ใคร่ครวญแล้วจึงทํา
ระวังดีแล้ว เป็นอยู่โดยธรรม และไม่ประมาท”

ยศถาบรรดาศักดิ์ ความมีโภคทรัพย์สมบัติ การยอมรับ นับถือ เกียรติยศ ชื่อเสียง และการสรรเสริญ เป็นสิ่งที่พึ่ง ปรารถนาของทุกคน อีกทั้งอิสริยยศ คือ ความเป็นใหญ่ด้วยยศศักดิ์อันสูงส่ง เกียรติยศ คือชื่อเสียง ความยกย่องนับถือ ความมีหน้า และบริวาร

ยศ คือพวกพ้องบริวารที่แวดล้อมคอย ช่วยเหลือ ยศทั้ง ๓ ประการนี้เป็นที่ต้องการของบุคคลทั่วไป เพราะเมื่อมียศย่อมได้รับความสะดวกสบาย และสมปรารถนา มากกว่าผู้อื่น แต่การที่จะได้มาซึ่งยศศักดิ์ การรักษายศ หรือ ทําให้มียศเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย

พระบรมศาสดา ให้หลักในการที่จะทําให้ยศนั้นเจริญยิ่งขึ้นไป คือต้องมีคุณธรรม ๗ ประการด้วยกัน
๑. ต้องเป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียรไม่เกียจคร้านใน หน้าที่การงาน
๒. ต้องมีสติ ระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ควบคุมสติอารมณ์ ไว้ได้ ไม่ฟุ้งซ่าน
๓. ต้องมีการงานสะอาด คืองานที่ทําต้องเป็นงานสุจริต ไม่ก่อทุกข์ก่อโทษทั้งต่อตนเอง และผู้อื่น
๔. ต้องพิจารณาให้รอบคอบถี่ถ้วนก่อนทํากิจการงานต่างๆ
๕. ต้องสํารวมระวัง มีศีล มีกิริยามารยาทสงบเสงี่ยม เรียบร้อย
๖. ต้องเป็นอยู่โดยธรรมคือเป็นคนมั่นคงอยู่ในศีลในธรรม ยึดธรรมเป็นหลักในการดําเนินชีวิต
๗. ต้องเป็นผู้ไม่ประมาทในการทํางาน อย่าให้ผิดพลาดหรือเสียหาย

หากต้องการมียศบริวารเป็นที่ยกย่องนับถือ ต้องหมั่น ปฏิบัติตนตามหลักธรรมข้างต้นให้ได้ เมื่อทําได้เช่นนี้ ยศที่ยังไม่มีก็จะมี เมื่อมีแล้วจะรักษาไว้ได้ และจะเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป และเมื่อได้ยศมาโดยชอบธรรมแล้ว ยศจะตั้งอยู่ได้นาน ทั้งเป็นที่ยอมรับของบุคคลทั้งหลาย ส่วนยศที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม ไม่เป็นไปตามหลักธรรม ย่อมไม่ยั่งยืนถาวร และไม่เป็นที่ยอมรับของบัณฑิตผู้รู้ทั้งหลาย

เมื่อหมดยศลงเมื่อไร ย่อมตกอับทันที ถึงตอนนั้นจะรู้ว่ายศที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรมนั้น ก่อทุกข์ให้อย่างไร เพราะยศไม่เข้าใครออกใคร อยู่กับคนดี ก็มีแต่ทําให้ดียิ่งๆ ขึ้น อยู่กับคนพาล ก็ทําให้เสื่อมลง และยังนําความหายนะมาให้ จึงไม่ควรประมาทมัวเมาชะล่าใจในคราวที่มียศมีตําแหน่ง ดังเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตกาล เรื่องมีอยู่ว่า

“ในสมัยพระราชาพระนามว่าเรณุราช ครองราชสมบัติ อยู่ในอุตตรปัญจาลนคร วันหนึ่งพระดาบสชื่อมหารักขิต มีบริวาร ๕๐๐ ออกจากป่าหิมพานต์ และเที่ยวจาริกมาจนถึง อุตตรปัญจาลนคร ได้พักอยู่ที่พระราชอุทยาน รุ่งขึ้นต่างพากัน ออกภิกขาจารจนถึงประตูพระราชวัง พระเจ้าเรณุราชเห็นหมู่ดาบสเดินด้วยความสงบเรียบร้อย ก็ทรงมีจิตเลื่อมใส ได้นิมนต์มาที่ท้องพระโรงอันประดับตกแต่งอย่างดีเลิศ

จากนั้นทรงนิมนต์ให้พระดาบสทั้งหลายอยู่จําพรรษาในพระราชอุทยาน เมื่อหมู่ดาบสรับนิมนต์แล้ว จึงทรงรับสั่งให้ราชบุรุษสร้างที่พักอาศัยถวาย พร้อมทั้งทรงถวายสมณบริขารอีกด้วย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฤาษีทั้งหลายก็ไปฉันที่พระราชนิเวศน์ทุกวัน

พระราชาไม่มีพระราชโอรสแม้แต่พระองค์เดียว ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าจะได้พระโอรส แต่ก็หามีพระโอรสมาอุบัติไม่ จนฤดูฝนผ่านไป มหารักขิตดาบส จึงมาทูลลาพระราชากลับป่าหิมพานต์ ขณะที่ดาบสทั้งหลาย กําลังนั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้ในระหว่างเดินทางนั้น ได้พูดคุยกันว่า “พระราชาไม่มีพระราชโอรสสืบราชสกุลเลย หากพระราชาได้พระโอรสก็คงจะดีไม่น้อย”

มหารักขิตดาบสได้ยินดังนั้น จึงตรวจดูว่า พระราชาจะได้พระโอรสหรือไม่ เมื่อรู้ว่าจะได้ จึงพูดขึ้นว่า “ท่านทั้งหลายอย่าวิตกไปเลย วันนี้เทพบุตรองค์หนึ่งจะจุติถือ ปฏิสนธิในพระครรภ์ของอัครมเหสี” ดาบสโกงคนหนึ่งได้ยินเข้า จึงคิดจะเป็นดาบสประจําตระกูลของพระราชา ดังนั้นเมื่อดาบส ทั้งหลายจะเดินทางต่อไป เขาแสร้งทําเป็นไข้ นอนพักอยู่ ไม่ยอมร่วมเดินทางไปด้วย

มหารักขิตดาบสรู้เหตุการณ์ทุกอย่าง ได้แต่เดือนดาบสโกงว่า “เมื่อใดที่มีกําลังวังชาแล้ว ขอให้รีบตามมา” จากนั้นหมู่ดาบสพากันออกเดินทางกลับป่าหิมพานต์ ส่วนดาบสโกง รีบย้อนกลับพระราชวัง บอกราชบุรุษให้ไปกราบทูลพระราชาว่า “ดาบสอุปัฏฐากของมหารักขิตดาบสมาเฝ้า” ครั้นพระราชาทูล นิมนต์แล้ว จึงไปเข้าเฝ้า พระราชาตรัสถามว่า “พระคุณเจ้า รีบด่วนมา มีธุระอันใดหรือ”

ดาบสโกงรีบตอบว่า “อาตมาได้ฟังคําสนทนาของดาบส ทั้งหลายถึงเรื่องที่พระองค์ไม่มีพระโอรส จึงได้ตรวจดูด้วย ทิพยจักษุ ก็รู้ว่าเทวดาผู้มีฤทธิ์มากจะมาบังเกิดในพระครรภ์ของพระมเหสี ที่มานี้เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับพระครรภ์ จึงรีบมากราบทูลพระองค์”

จากนั้นก็ทําที่ขอลากลับป่าหิมพานต์ พระเจ้าเรณุราชทรงปีติโสมนัส เลื่อมใสในดาบสนั้นได้ทูลทัดทานและให้ดาบสนั้นพักอยู่ในอุทยาน ดาบสก็ได้เป็นผู้คุ้นเคย ในราชสกุลดังใจปรารถนา

ต่อมา พระโพธิสัตว์ได้ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของ พระนางสุธรรมาราชเทวี เมื่อประสูติออกมาแล้วได้พระนามว่า โสมทัตกุมาร ฝ่ายดาบสโกงได้ปลูกผักสวนครัว ส่วนหนึ่ง ปรุงเป็นอาหาร อีกส่วนหนึ่งได้จําหน่ายแก่ประชาชนชาวเมือง ครั้นพระโพธิสัตว์มีอายุครบ ๗ ชันษา ทางชายแดนเกิด กระด้างกระเดื่องก่อจราจลขึ้น พระเจ้าเรณุราชจึงยกทัพไปปราบ ก่อนไปได้รับสั่งพระกุมารให้ปรนนิบัติดาบสเป็นอย่างดี

วันหนึ่ง พระกุมารเดินทางไปเยี่ยมดาบส เห็นดาบส กําลังถกเขมรถือหม้อน้ำข้างละหม้อ รดน้ำพืชผักอยู่ ทรงดําริว่า ดาบสโกงนี้ไม่บําเพ็ญสมณธรรม มัวแต่ปลูกผักสวนครัว เพื่อจะให้ดาบส สํานึกจึงทักว่า “ท่านพ่อค้าขายผัก ทําอะไรอยู่หรือ” และมิได้ทรงกราบไหว้ดาบสแต่อย่างใด ฝ่ายดาบสโกงคิดว่า หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ตัวเองจะเสื่อมจากลาภที่เคยได้ จึงคิดจะกําจัดพระกุมารทันที

ครั้นพระราชาเสด็จกลับจากปราบชายแดนแล้ว ดาบส ได้โยนแผ่นหินไปรวมกันไว้ ทุบหม้อให้แตกกระจาย เกลี่ยหญ้า ทําให้เรียราดบนบรรณศาลา เอาน้ำมันทาตัวนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง

เมื่อพระราชาเสด็จมาถึง ทรงทําประทักษิณพระนคร และยังไม่ได้เสด็จกลับพระราชนิเวศน์ พระองค์ทรงเสด็จไป เยี่ยมดาบสก่อนด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นอาการของดาบส ได้ตรัสถามว่า “ทําไมท่านเป็นเช่นนี้ ใครมาทําให้ท่านเดือดร้อน” ดาบสตอบว่า “ช่วงที่พระองค์ไม่อยู่ อาตมาถูกพระราชโอรส ทําร้าย” พระราชายังไม่ทันพิจารณาใคร่ครวญ ทรงหลงเชื่อ และกริ้วพระโอรสมาก จึงทรงให้สําเร็จโทษพระกุมารทันที

เมื่อราชบุรุษไปจับพระโอรสเพื่อจะนําไปประหาร พระโอรสได้ขอร้องว่า "ให้พาไปเข้าเฝ้าพระบิดาก่อน” พระโอรส ได้ตรัสถามถึงความผิดของตน พระราชาจึงได้เล่าเรื่องความผิด ที่พระโอรสได้กระทํา พระโอรสเล่าเรื่องที่ตนเห็นดาบสโกง รดน้ำปลูกผักสวนครัวให้พระราชาฟังเช่นกัน และทูลว่า “ถ้าพระองค์ไม่เชื่อก็ให้ไปถามพวกพ่อค้าแม่ค้าในตลาดดูเถิด พระเจ้าข้า” พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษไปสอบถามชาวตลาด และให้ไปค้นบรรณศาลาก็เห็นห่อกหาปณะ

เมื่อความจริงปรากฏ พระราชกุมารคิดว่า การที่เรา อาศัยอยู่ในสํานักของพระราชาที่โง่เขลา ตัดสินโดยไม่รู้จัก พิจารณา คงจะต้องมีโทษสักวันหนึ่ง จึงทูลลาออกบวชเป็นดาบส บําเพ็ญพรตอยู่ในป่าหิมพานต์ตามลําพัง ได้ยังฌานและอภิญญา ให้เกิดขึ้น เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ส่วนดาบสโกง ถูกมหาชนโบยตีจนสิ้นชีวิต

เราจะเห็นว่า การจะตั้งใครให้มียศมีตําแหน่ง หรือให้ เป็นใหญ่ จะนับถือยกย่องใคร จะต้องเลือกให้ดี ใคร่ครวญ ให้รอบคอบก่อน จะได้ไม่ผิดหวังในภายหลัง และถ้าได้ยศมาแล้ว อย่ามัวเมาในยศ และไม่พึงแสวงหายศโดยไม่ถูกทาง เพราะยศ เช่นนั้นทําให้ตนต้องเดือดร้อนในภายหลัง

เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น ก่อนตัดสินใจ ควรไตร่ตรอง ให้ดีก่อน อย่าเพียงได้ยินข่าวลือที่เขาพูดกัน แล้วด่วนตัดสินใจ เราเป็นชาวพุทธต้องหนักแน่น พยายามทบทวนดูเหตุและผลให้ดี และวิธีการที่ดีที่สุด คือ ต้องรู้จักไตร่ตรองด้วยปัญญา อันบริสุทธิ์ที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนานั่นเอง

ธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓ หน้า ๒๐๑-๒๐๙
อ้างอิง ....พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๖๑
หน้า ๑๖๘



วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2562

เทวดาเตือนภัย

เทวดาเตือนภัย


ทุกชีวิตที่เกิดมา ล้วนปรารถนาให้ตนเองมีความสุข มีความปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ มีอายุยืนยาว แต่ส่วนใหญ่ กลับ ดําเนินชีวิตด้วยความประมาท หลงไปก่อทุกข์ให้กับตนเอง ความสุขที่ปรารถนา จึงเป็นเพียงแค่ความฝัน คล้ายกับพยับแดดที่หาตัวตนแท้จริงไม่ได้ สุดท้ายเมื่อผลแห่งความประมาทมาถึงชีวิตของบุคคลเหล่านั้น ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความทุกข์ไปได้

ความไม่ประมาทเป็นเสมือนเกราะคุ้มภัยอันวิเศษ ที่ยากจะหาเกราะใด ๆ เทียบได้ ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่มีการเตรียม พร้อม มัวหลงเพลิดเพลินในการใช้ชีวิตไปกับสิ่งไร้สาระ ย่อมจะหนีผลแห่งเหตุที่ตนทําไว้ไม่พ้น เพราะเหตุในวันนี้คือผลในวันหน้า เหตุดี ผลย่อมดี ถ้าเหตุไม่ดี ผลย่อมไม่ดี ไม่มีผู้ใดสามารถหนี ผลที่ตนทําไว้ ไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความชั่วก็ตาม

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน สมุททวาณิช ชาดก ว่า.....

“อนาคตํ ปฏิกยิราถ กิจฺจํ
มา มํ กิจฺจํ กิจฺจกาเล พฺยเธสิ
ตํ ตาทิสํ ปฏิกตกิจฺจการิํ
น ตํ กิจฺจํ กิจฺจกาเล พฺยเธสิ

บัณฑิต พึงรีบทํากิจที่ควรทําก่อน อย่าให้กิจที่ต้องทํา
เบียดเบียนตัวได้ในเวลาที่ต้องการ
กิจนั้นไม่เบียดเบียน บุคคลผู้รีบทํากิจที่ควรทําเช่นนั้น
ในเวลาที่ต้องการ”


การดําเนินชีวิตเพื่อไปสู่หนทางที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่สําคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้นําประเทศ จนถึงผู้นําสถาบันครอบครัว ล้วนมีความสําคัญทั้งสิ้น เพราะจุดแปรเปลี่ยนของความเจริญ และความเสื่อมอยู่ที่ผู้นํา ผู้นําที่ดีย่อมจะนําไปสู่ความเจริญ ความผาสุก ตรงกันข้ามหากผู้นําไม่ดี ย่อมนําไปสู่ความหายนะ นําไปสู่ภัยพิบัติ หากเราได้ผู้นําที่ดีไม่ประมาท มีสติปัญญาเห็นโทษภัยแม้เพียงเล็กน้อย แม้อยู่ในห้วงวิกฤตก็สามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสที่ดีได้

บุคคลผู้ไม่ประมาทในชีวิตนั้น หากมีกิจการงานใดๆ ที่ต้องทํา บุคคลนั้นจะรีบกระทํา อีกทั้งไม่ดูเบา แม้ภัยเพียงเล็กน้อย เมื่อทําแล้วประโยชน์สุขย่อมบังเกิดขึ้นกับหมู่คณะของตนด้วย

เพราะฉะนั้น การฝึกฝนตนเองให้เป็นผู้นําที่ดีเป็นสิ่งที่สําคัญยิ่ง เราจะปล่อยให้เพื่อนร่วมโลกของเราถูกแนะนําโดยคนพาล แล้วไปพบกับความหายนะ พบกับความทุกข์ทรมาน หรือ บางครั้งแต่ละคนที่ใช้ชีวิตของตนอย่างประมาทอยู่แล้วนั้น ยังถูกชักนําไปในทางเสื่อมอีก บุคคลเหล่านั้นจะพบกับความทุกข์ ความลําบากสักเพียงใด ดังมีตัวอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตดังนี้

ครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี ไม่ไกลจากตัวเมือง มีหมู่บ้านช่างไม้ ๑,๐๐๐ ครอบครัว พวกช่างไม้ ได้กู้หนี้ยืมสินไว้มาก ไม่สามารถใช้คืนเจ้าหนี้ได้ จึงพากันหนี ไปอยู่ที่อื่น ได้ชวนกันเข้าป่าเพื่อไปตัดไม้ มาต่อเป็นเรือขนาดใหญ่
ครั้นตกกลางคืนต่างพาบุตรและภรรยาของตนขึ้นเรือ เรือถูกกระแสลมพัดพาไป จนถึงเกาะแห่งหนึ่ง ท่ามกลางมหาสมุทร เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยผลไม้นานาชนิด ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

บนเกาะนั้นมีชายคนหนึ่งอาศัยอยู่เนื่องจากเรืออับปางระหว่างทาง บนเกาะนี้เขาเลี้ยงชีวิตด้วยข้าวสาลี เคี้ยวกินอ้อย เป็นต้น จึงมีร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่เปลือยกาย มีผมและ หนวดเครารกรุงรัง เมื่อพวกช่างไม้ไปถึง ต่างคิดว่า ถ้าเกาะนี้ มีรากษสคุ้มครอง พวกเราทั้งหมดต้องถึงความพินาศเป็นแน่แท้ พวกเราต้องสํารวจเกาะนี้ให้ดีเสียก่อน จึงส่งบุรุษ ๗-๘ คน ที่กล้าหาญแข็งแรง ให้ตระเตรียมอาวุธครบมือ เพื่อไปสํารวจให้ทั่วทั้งเกาะ
ขณะเดียวกัน บุรุษคนนั้นกําลังบริโภคอาหารเช้า แล้วดื่มน้ำอ้อย นอนร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์บนพื้นทราย อันน่ารื่นรมย์ พวกที่สํารวจเกาะได้ยินเสียงเพลงจึงเดินตามเสียงนั้นไป พบบุรุษนั้นเข้า ก็ตกใจกลัวคิดว่าต้องเป็นยักษ์แน่ ๆ ต่างง้างธนูเตรียมจะยิง
เมื่อบุรุษนั้นเห็นคนง้างธนู ด้วยความกลัว จะถูกฆ่า จึงวิงวอนว่า “ฉันไม่ใช่ยักษ์ ฉันเป็นคนธรรมดา โปรดไว้ชีวิตฉันเถิด” อ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนคนเหล่านั้นแน่ใจว่า เป็นมนุษย์
คนเหล่านั้นได้พูดคุยซักถามถึงสาเหตุที่มาอาศัยอยู่บนเกาะนี้ เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พลางพูดว่า “พวกท่านมา ถึงที่นี้ได้ด้วยบุญของตน เพราะเกาะนี้เป็นเกาะอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องลงมือทําการงานใด ๆ ก็มีชีวิตอยู่ได้อย่างสบาย ข้าวสาลี เกิดขึ้นเอง ขอเชิญพวกท่านอยู่กันอย่างสบายใจเถิด”

ครั้นถูก ถามว่า... แล้วอันตรายอย่างอื่นไม่มีหรือ เขาตอบว่า “ภัยอย่างอื่น ไม่มีหรอก แต่เกาะนี้มีอมนุษย์ครอบครอง หากพวกอมนุษย์เห็น อุจจาระและปัสสาวะของพวกท่านเลอะเทอะ พวกอมนุษย์จะโกรธมาก ฉะนั้นเวลาจะขับถ่าย จึงขุดหลุมทรายแล้วเอา ทรายกลบด้วย ภัยบนเกาะนี้มีเพียงเท่านี้แหละ พวกท่านอย่า เผลอเรอล่ะ”
ตั้งแต่นั้นมา พวกช่างไม้อาศัยอยู่บนเกาะนั้นอย่างสุข สบาย ในบรรดาช่างไม้ทั้ง ๑,๐๐๐ ครอบครัว มีช่างไม้ ๒ คน เป็นหัวหน้า แบ่งเป็นฝ่ายละ ๕๐๐ ครอบครัว หัวหน้าทั้งสองนั้น คนหนึ่งเป็นพาลมัวเมาในรส คนหนึ่งเป็นบัณฑิต
วันหนึ่งพวก ฝ่ายพาลคิดว่า ...พวกเราไม่ได้ดื่มสุรามานานแล้ว เรามาทําเมรัย ด้วยน้ำอ้อยดื่มกันเถิด จากนั้น พวกเขาช่วยกันทําสุราเมรัยดื่มกัน พากันร้องรําทําเพลงขับถ่ายแล้วไม่กลบ ทําให้เกาะนั้นสกปรก เหล่าเทวดาโกรธคนพวกนี้ที่ทําสถานที่ให้สกปรก จึงคิดจะให้น้ำทะเลท่วมเกาะ โดยกําหนดเอาวันเพ็ญอุโบสถ อีก ๑๕ วัน จากนี้ไป จะให้น้ำทะเลท่วมฆ่าพวกมนุษย์ให้หมดทีเดียว
เทพบุตรองค์หนึ่งเป็นผู้ทรงธรรม มีความเมตตาสงสาร จึงประดับกายด้วยอาภรณ์ทั้งปวง ทําเกาะให้สว่างทั่วทั้งเกาะ ยืนอยู่กลางอากาศด้านทิศเหนือ กล่าวว่า... “ช่างไม้เอ๋ย พวก เทวดาพากันโกรธพวกท่าน พวกท่านอย่าอยู่ที่นี่เลย เพราะล่วงไม่ถึงเดือนนับจากนี้ไป พวกเทวดาจะบันดาลให้น้ำทะเลท่วมเกาะ เพื่อฆ่าพวกท่านทั้งหมด พวกท่านจงพากันออกจากเกาะนี้ หนีไปเสียเถิด”
เมื่อกล่าวแล้วเทพบุตรก็กลับไป ครั้นเทพบุตร ไปแล้ว เทพบุตรอีกองค์หนึ่งซึ่งมีใจเหี้ยมโหดคิดว่า ถ้าพวกนี้เชื่อถ้อยคําของเทพบุตรองค์นี้ จะพากันหนีไปหมด เราต้องห้ามพวกเขาไว้ เพื่อให้พวกเขาถึงความพินาศกันทั้งหมด เทพบุตรจึงประดับเครื่องประดับที่อลังการอันเป็นทิพย์ ยืนอยู่กลางอากาศด้านทิศทักษิณ ถามพวกช่างไม้ว่า “เทพบุตรองค์หนึ่งมา ที่นี่หรือ”

ครั้นพวกนั้นตอบว่ามาจริงๆ เทพบุตรรีบถามว่า “เขา พูดอะไรกับพวกเธอเล่า” พวกช่างไม้ตอบว่า “มาบอกเรื่องน้ำจะท่วมเกาะ” เทพบุตรพูดว่า “เพราะเขาไม่อยากให้พวกเธออยู่ที่นี่ จึงพูดด้วยความเคียดแค้น พวกเธอไม่ต้องไปที่อื่นหรอก อยู่ที่นี่ เหมือนเดิม ไม่ต้องไปไหนหรอก” จากนั้นก็อันตรธานจากไป
หัวหน้าช่างไม้ที่เป็นพาลฟังถ้อยคําของเทพบุตร ผู้เหี้ยมโหดก็เชื่อ จึงบอกพวกช่างที่เหลือว่า “เทพบุตรในทิศอุดร กลัวพวกเราจะสบายเกินไป จึงหาทางแกล้งพวกเรา ส่วนเทพบุตรด้านทิศทักษิณนี้ อยากให้พวกเราสบาย พวกเราอยู่ที่นี้ ต่อไปเถิด” พวกช่างไม้ ๕๐๐ คนที่หมกมุ่นในรส ต่างเชื่อถ้อยคํา ของหัวหน้าช่างไม้นั้น

ฝ่ายช่างไม้ที่เป็นบัณฑิต ไม่ยอมเชื่อ ถ้อยคําของช่างไม้ที่เป็นพาล จึงเรียกช่างไม้ของตนมาพลาง กล่าวว่า “เทพยดาเหล่านี้พูดไม่ตรงกัน ตนหนึ่งบอกว่าจะมีภัย ตนหนึ่งบอกว่าปลอดภัย เพื่อความไม่ประมาท พวกเราจงช่วยกัน ต่อเรือใหญ่ให้มั่นคง เพราะถ้าเทพบุตรในทิศทักษิณพูดจริง เทพบุตรในทิศอุดรก็พูดผิด หากไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น เรือของพวกเราก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่หากเทพบุตรในทิศอุดร พูดจริง เราทุกคนจะได้ลงเรือข้ามไปฝั่งโน้นได้โดยปลอดภัย พวกเราไม่ควรเชื่อคําของใครง่ายๆ เพราะบุคคลใดไม่ประมาท เลือกเส้นทางสายกลางไว้ ย่อมได้ฐานะอันประเสริฐ
พวกช่างไม้ผู้ฉลาดจึงชวนกันต่อเรือ พวกเขาบรรทุก เครื่องอุปกรณ์พร้อมสรรพ แล้วมาพักอยู่ในเรือ ครั้นถึงวันเพ็ญ คลื่นได้ชัดขึ้นจากท้องทะเล เริ่มจากมีประมาณเพียงเข่า ซัดล้างเกาะก่อน ช่างไม้ผู้บัณฑิตรู้ถึงอันตรายแห่งท้องทะเล รีบปล่อย เรือออกทะเลไป แต่ครอบครัวอีก ๕๐๐ ซึ่งเป็นพวกช่างไม้พาล ต่างพากันพูดว่า คลื่นจากท้องทะเลซัดสาดมาเพื่อจะล้างเกาะเท่านั้นเอง

หลังจากนั้นคลื่นในท้องทะเลได้ชัดสาดจนถึงสะเอว เพียงชั่วคน เพียงชั่วลําตาล น้ำทะเลได้พัดพาคนพาลเหล่านั้น ถึงแก่ความตายทั้งหมด ส่วนช่างไม้ผู้เป็นบัณฑิต และหมู่คณะ สามารถหนีรอดไปได้โดยปลอดภัย ช่างไม้ที่ถึงความย่อยยับ เพราะประมาท มองไม่เห็นภัยในเบื้องหน้า จึงพากันพินาศ หมดสิ้น
จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า ความไม่ประมาท เตรียมตัวให้ พร้อมที่จะรับมือกับทุกสถานการณ์นั้น นอกจากจะได้ชื่อว่า เป็นอยู่อย่างผู้มีสติปัญญาแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่ด้วยความสุข มีความสมหวัง และปลอดภัยอีกด้วย การเตรียมพร้อมที่ดี เป็นการรับประกันความสําเร็จในชีวิต ชีวิตจะมีความสุข และสมหวังได้นั้น ต้องมีการเตรียมพร้อมไว้เสมอ โดยเฉพาะ ความพร้อมในการเดินทางไกลในวัฏสงสาร ยิ่งต้องมีความพร้อมเสมอ เพราะการเดินทางในวัฏสงสารไม่ใช่เรื่องพอดีพอร้าย แต่เป็นความทุกข์ปนความสุขที่ยาวนานมากๆ
ถ้าเราเตรียมพร้อมเสมอ นั่นหมายถึงเราจะได้พบกับ ความสุข และความสําเร็จตลอดกาลนาน แต่หากเราประมาท ไม่เตรียมตัวให้พร้อม เมื่อถึงคราวหลับตาลาโลก นั่นหมายถึง เราจะต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสในสัมปรายภพยาวนาน การเตรียมตัวให้พร้อมในการเดินทางไกลในวัฏสงสาร คือการสร้างบุญบารมีนั่นเอง
การสร้างเรือของกลุ่มคนผู้ช่างไม้ผู้ไม่ประมาท แล้วรอดพ้นจากการถูกน้ำท่วมได้ฉันใด การสร้างบารมีด้วยการ ทําทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาเป็นต้นก็ฉันนั้น เพราะบารมีเหล่านี้เปรียบเสมือนนาวาแห่งธรรม ที่จะนําพาเรา ไปสู่ฝั่งอันปลอดภัย คือนิพพานนั่นเอง
********************************************
จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓ หน้า ๑๙๑-๑๙๙
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๖๐ หน้า ๑๓๕



วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2562

สุกร...พระโพธิสัตว์

สุกร...พระโพธิสัตว์

ทุกคนที่มีชีวิตในสังสารวัฏ ต่างผ่านการเกิดในทุกภพ ทุกภูมิมาแล้ว ทั้งชีวิตในระดับสูง ระดับกลาง และระดับล่าง ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หรือยาจกเข็ญใจ ชีวิตมีการขึ้น และลงไปตามอํานาจแห่งบุญและบาปที่ได้ก่อขึ้นในภพชาตินั้น ๆ ถ้าทําบุญไว้มากจะได้รับผลที่ดี เสวยสุขในสุคติภูมิ ชีวิตจะประสบแต่สิ่งที่ดีงาม ถ้าทําบาปอกุศลไว้มากก็ต้องไปเสวย วิบากแห่งกรรมในอบายภูมิ ไม่มีผู้ใดหลีกหนีกฎแห่งกรรมไปได้

ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาแล้ว ต้องสร้างบารมีอย่างเต็มที่เต็มกําลัง เพื่อเพิ่มพูนความบริสุทธิ์บริบูรณ์ให้แก่ตนเอง วิธีที่จะทําความบริสุทธิ์ได้ดีที่สุด คือ ต้องหมั่นปฏิบัติธรรมอย่าให้ขาดแม้แต่วันเดียว ทําใจหยุดใจนิ่งบ่อยๆ ทําซ้ำแล้วซ้ำอีก ชีวิตของเราจะ สมหวัง เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์บริบูรณ์ที่แท้จริง

มีวาระพระบาลีใน ตุณฑิลชาดก ความว่า....

“ธมฺโม รหโท อกทฺทโม
ปาปํ เสทมลนฺติ วุจฺจติ
สีลญฺจ นวํ วิเลปนํ
ตสฺส คนฺโธ น กทาจิ ฉิชฺชติ

ธรรม..บัณฑิต กล่าวว่า เป็นห้วงน้ำ ไม่มีโคลนตม
บาป.. บัณฑิต เรียกว่าเหงื่อไคลและมลทิน
ศีล..บัณฑิต เรียกว่าเครื่องลูบไล้ใหม่
แต่ไหนแต่ไรมา กลิ่นของศีลนั้นไม่เคยจางหายไป”

สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ดํารงชีวิตอยู่บนโลกนี้ ในอดีตดั้งเดิม ล้วนมีดวงจิตที่เป็นประภัสสรหมายถึงธรรมชาติของจิตดั้งเดิมนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “มีความสว่างไสวเป็นนิตย์ ที่หม่นหมอง ก็เพราะธาตุธรรม เห็น จํา คิด รู้ ถูกอาสวกิเลส และอวิชชา เอิบอาบ ซึมซาบ ปนเป็น ทําให้ เห็น จํา คิด รู้ ที่เคยสะอาด บริสุทธิ์สว่างไสว ต้องพลอยหมองหม่นไปด้วย

เมื่อถูกกิเลสบีบคั้น หนักเข้า ทําให้ต้องพลั้งพลาดไปสร้างบาปอกุศลซ้ำแล้วซ้ำอีก เมื่อสร้างกรรมชั่ว ก็ต้องมาเสวยวิบากกรรม” ดังนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “สังสารวัฏของสรรพสัตว์ผู้ไม่รู้พระสัทธรรม ยาวนานนับกัปกัลป์”

เพราะห้วงน้ำ คือพระสัทธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ สามารถชําระล้างโคลนตมคือกิเลสได้ สิ่งที่เป็นมลทินจะถูกขจัด ให้สะอาดหมดจด บัณฑิตทั้งหลายเรียกบาปอกุศลว่า.. เป็นเหงื่อไคล ที่ทําให้สกปรกน่ารังเกียจ และเครื่องลูบไล้ที่มีกลิ่นหอม ยาวนานทนทานที่สุดก็คือ กลิ่นแห่งศีล ผู้มีธรรมะอยู่ในใจ จะอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความสุข ชีวิตจะถูกยกให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ว่าจะมี เหตุการณ์ใดๆขึ้น บางครั้งอาจถึงขั้นสูญเสียชีวิต

แต่ผู้มีธรรมะ จะไม่หวั่นไหว แม้ความตายจะมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็ตาม ต่างกับผู้ที่มีจิตใจไม่หนักแน่นในธรรม ใจไม่แช่อิ่มอยู่ในธรรม เวลาเกิดเหตุอะไรขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ก็อดสะดุ้งหวั่นไหวไม่ได้ ชีวิตจึงไม่มีความสบายอย่างที่ควรจะเป็น

ดังชีวิตของพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรของชาวเมือง สาวัตถี ตั้งใจออกบวชในพระพุทธศาสนา แต่เป็นผู้ที่มีจิตใจ หวั่นไหว หวั่นกลัวต่อมรณภัย คือความตายอย่างยิ่ง แค่ได้ยินเสียง กิ่งไม้สั่นไหว กิ่งไม้แห้งถูกลมพัดตกลงมา หรือแม้ได้ยินเสียงนก หรือสัตว์เดินมาเท่านั้นก็กลัวจนตัวสั่น จนเพื่อนสหธรรมิก รู้กันทั่ว แล้วจับกลุ่มสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า... “อาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่าภิกษุรูปนี้ กลัวตายจับจิตจับใจเลยทีเดียว ได้ยินเสียง อะไรนิด อะไรหน่อย ก็ไม่ใคร่ครวญให้แจ่มแจ้ง ตะโกนร้องดังลั่น แล้ววิ่งหนีไป อะไรจะกลัวตายขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการตายเป็น เรื่องธรรมดาของชีวิต เธอน่าจะหมั่นพิจารณาบ่อยๆ จิตใจจะ ได้ตั้งมั่นอยู่ในธรรม”

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถามเจ้าตัวว่า... “ที่สหธรรมิกพากันพูดเช่นนั้นเป็นความจริงหรือ” ภิกษุรูปนั้นยอมรับ โดยดุษณี พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ไม่ใช่แต่ภพชาตินี้เท่านั้น ที่เธอเป็นคนที่หวั่นไหวง่าย แม้ในอดีตชาติก็เป็นเหมือนกัน”

จากนั้นพระองค์ทรงตรัสเล่าว่า ชาติหนึ่ง พระโพธิสัตว์เกิดในท้องของแม่สุกร เมื่อแม่สุกรท้องแก่ ได้คลอดลูกออกมา ๒ ตัว วันหนึ่งแม่สุกรได้พาลูกทั้งสอง ไปนอนที่หลุมแห่งหนึ่ง วันนั้นหญิงชราคนหนึ่งเดินผ่านมา เมื่อแม่สุกรได้ยินเสียงที่ผิดสังเกตเช่นนั้นก็กลัวตายวิ่งหนีไปทันที โดยไม่คํานึงถึงลูกทั้งสองของตน

หญิงชราเห็นลูกสุกรทั้งสอง เกิดความรัก ความเอ็นดู เสมือนลูกของตน จึงนําไปเลี้ยงที่บ้าน แล้วตั้งชื่อตัวพี่ว่า มหาตุณฑิละ ตัวน้องว่า จุลตุณฑิละ หญิงชราได้เลี้ยงดูอย่างดี รักเหมือนลูก มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม จนกระทั่งเติบโตขึ้น ลูกสุกรทั้งสองมีร่างกายที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ ทําให้เป็นที่หมายปองของพวกพ่อค้าและเหล่านักดื่มสุราทั้งหลาย

วันหนึ่ง หลังจากที่นักดื่มได้พยายามขอซื้อสุกรทั้งสอง หลายครั้งหลายครา ด้วยความรักและผูกพันกับลูกสุกร หญิงชรา ไม่ยอมขายให้ เมื่อพวกนักเลงเห็นว่าขอซื้อดีๆ ไม่ได้ผล จึงพากัน มอมเหล้าหญิงชราผู้นั้น ครั้นเหล้าล่วงลําคอ สติที่เคยสมบูรณ์ก็หายไป ทําให้พวกนักดื่มได้ช่อง เมื่อเห็นหญิงชรานั้นเมาได้ที่ ก็เอ่ยปากขอซื้อว่า ... “ยาย ยายทนเลี้ยงหมูมาอย่างนี้ ไม่ไว้กินแล้ว จะเลี้ยงไว้ทําไม ขายให้พวกฉันดีกว่า” ว่าแล้วก็เอาเงินวางไว้ในมือของหญิงชรา ด้วยความที่สลึมสลือ นางจึงเอ่ยปากอนุญาตไป

เมื่อนักดื่มเหล่านั้นเข้าไปไม่เห็นสุกรจึงถามว่า “ไม่เห็นสุกรสักตัวเลย” ฝ่ายหญิงชราจึงได้ขอเงิน เพื่อจะได้จัดแจงอาหาร เทไว้จนเต็มราง แล้ววางไว้ใกล้ประตูบ้าน เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกนักเลงสุราประมาณ ๓๐ คน ต่างถือบ่วงเตรียมคล้องอยู่ในที่ใกล้ๆ

หญิงชราตะโกนเรียกจุลตัณฑิละว่า “ลูกจุลตัณฑิละ มานี่หน่อย” ด้วยความที่ยังไม่สร่างเมา ได้ตะโกนออกไปด้วย น้ำเสียงแข็ง ๆ ทําให้มหาตุณฑิละผู้พี่ได้ยินอย่างนั้น ความที่ตัวท่านเป็นสัตว์มีปัญญาก็ฉุกใจคิดว่า แม่ไม่เคยเรียกพวกเรา ด้วยถ้อยคําที่ห้วนๆ เช่นนี้ สงสัยวันนี้จะมีภัยเกิดขึ้นกับเราแน่ จึงเรียกน้องมาบอกว่า “น้องเอ๋ย แม่เรียกเจ้า เจ้าจงออกไปดูเถิด อย่าได้ประมาท”
จุลตุณฑิละรับคําพี่แล้ว ได้เดินออกไปดู เห็นพวกนักดื่ม ยืนถือบ่วงรออยู่ ก็รู้ว่า วันนี้เห็นที่จะต้องเป็นวันตายของตนแน่ จึงวิ่งกลับมาหาพี่ชายแล้วยืนสั่น ไม่อาจทรงกายไว้ได้ เนื้อตัวสั่นจนควบคุมตนเองไม่ได้ เมื่อมหาตุณฑิละเห็นน้องยืนสั่นเช่นนั้น ก็ถามว่า “เจ้าเห็นอะไรมาหรือ ” จุลตุณฑิละ เล่าเหตุการณ์ที่ตนเองเห็นให้ฟัง ด้วยความที่พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีใจตั้งมั่นไม่หวั่นไหวเหมือนสัตว์ทั่วๆ ไป แม้จะรู้ว่าความตายรออยู่เบื้องหน้า แต่จิตใจของท่านนั้นยังเป็นปกติสุขอยู่เช่นเดิม

พระโพธิสัตว์ได้ตั้งเมตตาจิตไว้เบื้องหน้ารําลึกถึงคุณงามความดี และบารมีที่ได้บําเพ็ญมา แล้วพูดกับน้องว่า “น้องรัก การที่แม่เลี้ยงเรามา ก็เพื่อการนี้เท่านั้น น้องอย่ากลัวเลย เจ้าลงสู่ ห้วงน้ำที่ไม่มีเปลือกตม ชําระล้างเหงื่อไคล แล้วลูบไล้ด้วยเครื่องลูบไล้ที่มีหอมเถิด”

ด้วยอํานาจแห่งการระลึกถึงคุณความดีของพระโพธิสัตว์ เสียงของท่านที่กล่าวสอนน้อง ได้ดังไปทั่วทั้งเมือง ทําให้ผู้คนทั้งหลาย นับตั้งแต่พระราชา อุปราชเป็นต้น ได้ยินเสียงนั้น ต่างพากันมาตามเสียง ผู้คนทั้งหลายพากันมายืนฟัง เหมือนต้องมนต์สะกด ส่วนนักเลงที่ถือบ่วงรออยู่ ต่างพากันทิ้งบ่วง แล้วมายืนฟังเสียงของพระโพธิสัตว์

จุลตุณฑิละได้ยินพี่ชายกล่าวเช่นนั้นก็สงสัย เพราะว่าตระกูล สุกรไม่มีการอาบน้ํา จึงถามว่า “ที่พี่พูดเช่นนั้นหมายถึงอะไร”
พระมหาสัตว์จึงตอบว่า “พระธรรมเป็นห้วงน้ำที่ไม่มีโคลนตม บาปเรียกว่าเหงื่อไคล ศีลเรียกว่าเครื่องลูบไล้ที่มีกลิ่น ไม่จางหาย น้องจุลตัณฑิละ เธออย่าเศร้าโศกไปเลย ขึ้นชื่อว่า ความตาย ไม่ใช่มีเฉพาะพวกเราเท่านั้น แม้สัตว์ที่เหลือทุกๆ ชีวิต ก็ต้องตายทั้งนั้น

สัตว์ผู้ที่ไม่มีธรรมและศีลเป็นต้น อยู่ภายในตน ย่อมจะกลัวความตาย แต่เราทั้งสองเป็นผู้มีศีล และอาจาระ ไม่มีเหงื่อไคล คือบาปอกุศล ดังนั้นสัตว์เช่นเราแม้ตายก็ไม่หวั่นไหวต่อมรณภัย”

เมื่อมหาชนได้ยินน้ำเสียงของพระโพธิสัตว์ที่กล่าวให้ ข้อคิดแก่น้องเช่นนั้น ต่างปลาบปลื้มปีติยินดี เปล่งวาจา สาธุการเสียงดังลั่นทั่วทั้งเมือง พระราชาได้รับสุกรทั้งสองนั้นไว้ในอุปการะ และทรงพระราชทานยศให้กับหญิงชรานั้น ทรงให้ประดับประดาพระโพธิสัตว์และน้องชาย แล้วให้นําเข้าเมือง ได้สถาปนาไว้ในตําแหน่งราชบุตร
พระโพธิสัตว์ได้ให้ศีล ๕ กับข้าราชบริพารทั้งหลาย ชาวเมืองทั้งหมดมีชาวพาราณสี และชาวกาลิกรัฐ ต่างอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ แล้วยังตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม รักษา ศีล ๕ ไม่ขาดแม้แต่คนเดียว พระมหาสัตว์ได้แสดงธรรมแก่มหาชนทุกวันอุโบสถ ทําให้บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็นถึง ๖๐,๐๐๐ ปี เมื่อพระศาสดาแสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว ภิกษุผู้กลัวตาย ก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล

จะเห็นได้ว่า หัวใจของผู้ที่ดํารงอยู่ในศีลนั้น เป็นจิตใจที่ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว แม้จะมีเหตุการณ์ใดผ่านเข้ามาในชีวิตหนักหนาสาหัสสักปานใด จะมีบุญเป็นเครื่องคุ้มครองเสมอ ผู้ที่ทําได้เช่นนี้ สมควรเรียกว่าผู้ไม่มีเหงื่อไคล คือบาปอกุศล ชีวิตของผู้นั้นย่อมประสบแต่สิ่งที่ดีงามทุกภพทุกชาติ

เราทั้งหลาย เป็นนักสร้างบารมี ต้องหมั่นทําความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นกับตัวของเรา ด้วยการชําระศีลให้บริสุทธิ์ ปฏิบัติธรรมให้ได้ทุก ๆ วัน ให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ เพราะชีวิตที่เข้าถึงธรรมกาย เป็นชีวิตที่ตั้งอยู่ในธรรมอย่างสมบูรณ์ และไม่มีเหงื่อไคล คือ บาปอกุศลเกิดขึ้นในกาย วาจา ใจ แน่นอน

จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓ หน้า ๑๘๐-๑๘๙

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๕๙ หน้า ๑๓๗



ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...