วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2561




เรื่องพาหิยทารุจิริยะ


พาหิยทารุจิริยะเกิดในตระกูลพ่อค้าในพาหิยรัฐ เขาเจริญวัยแล้วก็ประกอบอาชีพโดยเอาเรือบรรทุกสินค้ามากมายแล่นไปค้าขายยังคาบสมุทรอื่น กลับไปกลับมา สำเร็จความประสงค์ ๗ ครั้งจึงกลับนครของตน ครั้นครั้งที่ ๘ คิดจะไปสุวรรณภูมิ จึงขนสินค้าแล่นเรือไป เรือแล่นเข้ามหาสมุทรยังไม่ทันถึงถิ่นที่ตั้งใจ เรือก็ต้องพายุอับปางลงในท่ามกลางสมุทร ผู้คนที่เหลือ ก็เสียชีวิตไปทั้งหมดเหลือเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

 เขาได้เกาะไม้กระดานแผ่นหนึ่ง ลอยตัวอยู่ท่ามกลางคลื่น ในวันที่ ๗ ก็เข้าถึงฝั่งใกล้ท่าสุปปารกะ นอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาดเพราะเสื้อผ้าถูกน้ำซัดไปหมด ด้วยความละอายเขาจึงได้ลุกขึ้นเข้าไประหว่างพุ่มไม้มองไม่เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่จะใช้มาเป็นเครื่องนุ่งห่มได้ จึงหักก้านกิ่งไม้ เอาเปลือกพันกาย ทำเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดไว้ (จึงได้ชื่อใหม่ว่า พาหิยทารุจีริยะ เพราะนุ่งผ้าทำด้วยเปลือกไม้)

เขานั้นก็เที่ยวถือชามกระเบื้องอันหนึ่ง เดินขอข้าวที่ท่าสุปปารกะ ชาวบ้านเห็นเข้าจึงคิดว่าเป็นพระอรหันต์  แม้มีคนมาถวายผ้าให้ แต่ก็ไม่ยอมรับเพราะกลัวจะไม่ได้ลาภสักการะ  ใช้สอยเฉพาะผ้าเปลือกไม้อย่างเดียว พวกชาวบ้านก็เกิดความเลื่อมใสว่า เป็นผู้มีความมักน้อย   จึงทำสักการะเป็นอันมาก   เขาจึงทำตัวเป็นผู้มีความมักน้อย   เมื่อถูกคนเหล่านั้นยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ ก็เลยสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ จนเพื่อนเก่าที่ไปเกิดเป็นพรหมมาเตือน ว่า “ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์”  พาหิยะ คิดว่า “ เราได้กระทำกรรมหนักหนอ”  จึงถามเพื่อนว่ามีพระอรหันต์ที่ไหนบ้าง  เพื่อนบอกว่าตอนนี้มีพระศาสดามาประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี

พาหิยะมีความสังเวชสลดใจ ได้ออกจากท่าสุปปารกะ แล้วเดินทางไปยังเมือง สาวัตถีระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ ภายในคืนเดียวด้วยอานุภาพแห่งเทวดา ถึงกรุงสาวัตถี เวลารุ่งเช้า ในเวลานั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า พาหิยะมาถึง ทรงพระดำริว่า ชั้นแรก อินทรีย์ของท่านพาหิยะยังไม่แก่กล้า แต่ในระหว่างชั่วครู่หนึ่งจักถึงความแก่กล้า  จึงรอคอยให้พาหิยะมีอินทรีย์แก่กล้าเสียก่อน จึงเสด็จทรงบาตรยังกรุงสาวัตถีในขณะนั้น พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่

ส่วนพาหิยะนั้น ก็เข้าไปยังพระเชตวัน เห็นภิกษุเป็นอันมากฉันภัตตาหารเช้าแล้วจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้ง จึงถามว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ไหน ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบาตรยังกรุงสาวัตถี ... ภิกษุถามว่า ท่านมาจากไหน ? …พาหิยะตอบว่า มาจากท่าสุปปารกะ ...ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่านมาไกล เชิญนั่งก่อน จงล้างเท้า ทาน้ำมัน แล้วพักสักหน่อยหนึ่ง ในเวลาพระองค์กลับมา ก็จะเห็นพระองค์

พาหิยะกล่าวว่า  กระผมไม่รู้ว่าชีวิตของกระผมจะสิ้นไปเมื่อใด กระผมเดินทางมาโดยไม่พักนานตลอดระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ เพียงขอให้ได้เฝ้าพระศาสดาแล้วจึงจะพักผ่อน
เขาพูดอย่างนั้นแล้วก็รีบร้อน เดินทางเข้าไปยังกรุงสาวัตถี ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งกำลังเสด็จจาริกไป เมื่อพาหิยะได้แลเห็นพระพุทธเจ้า ด้วยพระพุทธสิริอันหาที่เปรียบมิได้ ก็บังเกิดปีติท่วมท้น แล้วก็น้อมสรีระไปแล้ว กราบลงที่ระหว่างถนน ด้วยเบญจางคประดิษฐ์จับที่ข้อพระบาทไว้มั่นแล้ว กราบทูลว่า อาราธนาพระพุทธองค์ให้แสดงธรรมโปรด

พระศาสดาทรงตรัสห้าม  ด้วยเหตุว่ามิใช่เวลาเหมาะสม เพราะเป็นเวลาที่พระพุทธองค์จะทรงบิณฑบาต   พาหิยะ ก็ได้กราบทูลวิงวอนซ้ำอีก  พระพุทธองค์ทรงตรัสห้ามอีกเป็นครั้งที่สอง ในครั้งที่สามเมื่อท่านพาหิยะทูลวิงวอนอีก พระศาสดาได้มีพระดำริว่า ที่พระองค์ห้ามพาหิยะถึงสองครั้งก็ด้วยเหตุว่า นับตั้งแต่เวลาที่พาหิยะเห็นพระพุทธองค์แล้ว เขาก็มีปีติท่วมท้นไปทั้งร่างกาย ในช่วงเวลาที่ปีติมีกำลังมากนี้ แม้จะได้ฟังธรรม ก็ไม่ทำให้สามารถบรรลุธรรมได้

 อีกประการหนึ่งเป็นเพราะทรงเห็นว่าพาหิยะมีความกระวนกระวายในการฟังธรรมมาก ซึ่งเป็นเหตุทำให้ไม่สามารถบรรลุธรรมเช่นกัน เพราะเหตุนั้นพระศาสดาจึงตรัสห้ามถึง ๒ ครั้ง ครั้นเมื่อเขาทูลขอในครั้งที่ ๓ ทรงพิจารณาเห็นความแกร่งกล้าในอินทรีย์ของพาหิยะพร้อมแล้ว จึงทรงประทับยืนอยู่ในระหว่างทางและได้ทรงแสดงธรรมโดยย่อว่า

“ดูกรพาหิยะ  ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เมื่อท่านเห็นสักแต่ว่าเห็น  ... เมื่อท่านฟัง สักแต่ว่าฟัง ...  เมื่อท่านทราบ  สักแต่ว่าทราบ  ...เมื่อท่านรู้แจ้ง สักแต่ว่ารู้แจ้ง  ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล”

เมื่อพาหิยะกำลังฟังธรรมของพระศาสดาอยู่นั้น ได้หมดกิเลส บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔ จึงได้ทูลขอบรรพชากับพระผู้มีพระภาคเจ้าในขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท่านว่า ท่านมีบาตรและจีวรครบแล้วหรือ ? ท่านพาหิยะกราบทูลว่า ยังไม่มี พระเจ้าข้า  พระศาสดาจึงตรัสให้ไปแสวงหาบาตรและจีวรมาก่อน พระองค์ก็เสด็จหลีกไป
ส่วนพาหิยะ ได้เดินไปตามหาบาตรและจีวร เจอแม่โค  ได้ขวิดพาหิยะ เสียชีวิตทันที

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า บาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ จักไม่เกิดขึ้นแก่พาหิยะแน่  จึงมิได้ประทานการบรรพชาด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา

(สาเหตุที่ไม่มีบาตรและจีวร  ในอรรถกถา กล่าวไว้ 2 นัยยะคือ...                    1.ในอดีตที่ท่านพาหิยะบำเพ็ญสมณธรรมมาสิ้น ๒ หมื่นปี ท่านไม่ได้ทำการสงเคราะห์บาตรหรือจีวรแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่ง 
2. ในอดีต เมื่อสมัยโลกว่างจากพระพุทธศาสนา ท่านเป็นโจร เที่ยวไปในป่า เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เพราะความโลภในบาตรและจีวร จึงใช้ธนูยิงท่านแล้วถือเอาบาตรและจีวรไป  )

ข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ ......
1.ชีวิตเป็นของน้อย ทุกคนรู้วันเกิด  แต่ไม่สามารถรู้วันตายของตนเองได้  เพราะฉะนั้นให้หมั่นสั่งสมบุญเอาไว้ อย่าประมาทว่า...เรายังอายุน้อย ...เรายังไม่มีเวลา  ...เราจะสั่งสมบุญในวันหน้า  แต่เราควรรีบสั่งสมบุญทุกครั้งเมื่อโอกาสมาถึง  
2.การได้เป็นนักบวช เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก  ดูจากพาหิยะ  แม้ได้เป็นพระอรหันต์ แต่ก็ยังไม่ได้บวช เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสก็ให้รีบบวชเป็นพระภิกษุ  เพื่ออานิสงส์อันยิ่งใหญ่
             3. ควรสร้างอานิสงส์การทำทานไว้ให้เป็นนิสัย มีอะไรก็แบ่งปันกัน เพื่อได้รับอานิสงส์ในวันข้างหน้าบ้าง   วัฏฏะสงสารยังอีกยาวไกล
                 4.ใกล้เทศกาลบวชเข้าพรรษา  มาถวายบาตรและจีวร เพื่อสร้างอานิสงส์ใหญ่ติดตามตัวไปในภพชาติเบื้องหน้ากันค่ะ 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...