วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2563

เส้นทางจอมปราชญ์ (๘)


เส้นทางจอมปราชญ์ (๘)

     การสั่งสมบารมีให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ได้ ต้องอาศัยความเป็นมนุษย์เท่านั้นถึงจะสร้างบารมีได้เต็มที่ เมื่อเราเกิดมาแล้ว รู้ว่าจุดหมายปลายทางของชีวิต คือการสร้างบารมีเพื่อมุ่งไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรม ควรใช้เวลาที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดนี้ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่ามากที่สุด มองวันเวลาเป็นประดุจสมบัติอันล้ำค่าของชีวิตที่จะสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้อีกแล้ว การประพฤติปฏิบัติธรรมหมั่นฝึกฝนอบรมใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ เป็นจุดสูงสุดที่ทุกๆ คนต้องปฏิบัติควบคู่ไปกับการสร้างบารมี จะทอดทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งสำคัญกับเราทั้งหลาย เนื่องจากเราเกิดมาสร้างบารมี


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า...


     "ผู้ทำบุญแล้วย่อมบันเทิงในโลกนี้ ละไปแล้วย่อมบันเทิงในโลกหน้า ชื่อว่าย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง เมื่อมองเห็นความบริสุทธิ์แห่งกรรมของตนแล้ว ย่อมบันเทิงปราโมทย์ยิ่งๆ ขึ้นไป"


     บุญเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เมื่อใดที่เรานึกถึงบุญกุศลที่ได้ทำไว้  ย่อมมีความปีติเบิกบานใจ และบุญก็ทับทวีมากยิ่งขึ้น ส่วนบาปจะมีผลเผ็ดร้อน เป็นความทุกข์ทุกข์ทรมาน คนพาลผู้มีความเห็นผิดจะไม่ซาบซึ้งถึงผลของกรรมชั่วที่ตัวเองได้กระทำไว้จนกว่ากรรมนั้นจะผลิผล เมื่อบาปยังไม่ให้ผล ก็หลงเข้าใจผิดคิดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ความเข้าใจอย่างนี้ถือได้ว่าเป็นความหลงผิดอย่างร้ายแรง เพราะทำดีต้องได้ดีจริง ทำชั่วต้องได้ชั่วจริง นี้เป็นความจริงแท้แน่นอน


     ความสงสัยที่ทำให้เกิดความไขว้เขวนั้น ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้เท่านั้น แม้ในอดีตก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว คือคำถามที่เกิดขึ้นในใจของพระยามิลินท์ที่หลวงพ่อนำมาเล่าให้พวกเราฟังติดต่อกันหลายครั้ง  ในครั้งนี้ก็มีคำถามคำตอบที่น่าสนใจ คือ


     พระยามิลินท์ท่านได้ตั้งปัญหาถามพระนาคเสนว่า "ข้าแต่พระนาคเสน พระคุณเจ้าได้เคยบอกว่า กุศลกรรมมีกำลังกล้ากว่าอกุศล โยมได้ฟังและยังไม่อยากปลงใจเชื่อ เพราะโยมเชื่อว่า อกุศลน่าจะมีกำลังแรงกว่ากุศล


     เพราะพวกมนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้กระทำปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ฆ่าชาวบ้าน ฆ่าคนเดินทาง และลวงเขาเอาไปฆ่าเสีย ย่อมถูกลงโทษด้วยการถูกจองจำบ้าง ตัดมือตัดเท้าตัดศีรษะบ้าง หากทำอกุศลในกลางวัน บางครั้งก็ถูกจับในกลางคืน หรือบางทีวันสองวันก็ได้รับผลแห่งการกระทำความชั่วนั้นแล้ว


     พวกมนุษย์ทำอกุศลกรรมนั้นย่อมได้ผลเป็นทิฏฐเวทนียกรรม คือได้ผลทันตาเห็น ฝ่ายมนุษย์ผู้กระทำกุศล เช่นบางพวกถวายทานแก่ภิกษุหนึ่งรูป สองรูป จนกระทั่งเป็นหมื่นเป็นแสนรูป บางพวกก็รักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ เป็นประจำ บางกลุ่มรักษาอุโบสถศีล พวกมนุษย์เหล่านั้น ได้รับผลบุญปัจจุบันทันตาเห็นเช่นนี้มีอยู่หรือไม่"


     พระนาคเสนจึงตอบว่า "มหาราช ผู้ที่ตั้งใจทำความดีแล้วได้ผลปัจจุบันทันตาเห็นมีอยู่ ๔ คนคือ พระเจ้ามันตธาตุราช พระเจ้าเนมิราช พระเจ้าสาธินราช และนายติณบาล ขอถวายพระพร" 
     พระยามิลินท์ได้ฟังดังนั้นก็ยังไม่พอพระทัยจึงแย้งว่า "บุคคลที่พระคุณเจ้ากล่าวอ้างมานั้น เป็นเรื่องที่เกิดก่อนสมัยพุทธกาล ไม่รู้จะเท็จจริงสักแค่ไหน เอาเฉพาะในยุคสมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม์อยู่ มีใครบ้างที่ทำบุญแล้วได้ผลบุญปัจจุบันทันตาเห็น เป็นมหาเศรษฐีรวยอัศจรรย์ในชาตินั้นเลย"

 พระนาคเสนเถระจึงวิสัชนาแก้ไปว่า "เมื่อครั้งสมเด็จพระบรมศาสดายังทรงพระชนม์อยู่นั้น คนที่ทำบุญแล้วได้บุญปัจจุบันทันตาเห็นมีอยู่ ๖ คนด้วยกันคือ นายปุณณะได้ถวายภัตตาหารแด่พระสารีบุตรเถระ ก็ได้เป็นปุณณเศรษฐีในวันนั้น ... 
    มารดานายโคบาลเป็นหญิงผู้ประกอบด้วยศรัทธา เอาผมของตัวเองไปขายได้ทรัพย์ ๘ กหาปณะ แล้วเอาทรัพย์นั้นไปซื้ออาหารมาใส่บาตรพระมหากัจจายนเถระก็ได้ผลในปัจจุบัน บุญส่งผลให้นางได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าอุเทนในวันที่ถวายอาหารนั้น"


     นางสุปปิยาอุบาสิกาเอามีดเฉือนเนื้อขาของตนเองแกงถวายพระภิกษุไข้ ในวันรุ่งขึ้น บาดแผลที่เฉือนหายสนิท ไม่มีแม้กระทั่งรอยแผลเป็น 
    ส่วนนางมัลลิกาได้ถวายขนมถั่วเพียง ๔ ก้อนแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ได้เป็นอัครมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศลในวันนั้นเช่นกัน 
   นายสุมนมาลาการถวายดอกมะลิ ๘ กำมือ บูชาพระพุทธเจ้า ก็ได้สมบัติมากมายที่พระราชาพระราชทานให้ 
   ส่วนพราหมณ์เอกสาฎกได้ถวายผ้าห่มที่มีอยู่ผืนเดียว บูชาธรรมพระพุทธเจ้า ทำให้ได้รับพระราชทานสิ่งของมีค่าอย่างละ ๘ อย่างในวันนั้น คนกระทำกุศลแล้วได้รับผลประจักษ์รวม ๖ คนด้วยกัน ขอเจริญพร"


     พระยามิลินท์ได้ฟังเช่นนั้นก็นึกกระหยิ่มอยู่ในใจ เพราะมองเห็นช่องทางที่จะทำให้พระเถระจนด้วยคำพูด จึงตรัสว่า "ข้าแต่พระนาคเสน ขนาดในศาสนาของพระพุทธเจ้าของเรานี้ มีคนทำบุญได้ผลทันตาเห็นเพียงแค่ ๖ คนเท่านั้น โยมจึงมีความมั่นใจ ยิ่งขึ้นไปว่า อกุศลนี้มีกำลังกว่ากุศลแน่แท้ คนที่กระทำอกุศลเห็นผลทันตามีมากต่อมาก เพราะทำครั้งหนึ่ง ๑๐ คนก็มี ๑๐๐ คนก็มี เหมือนทหารของพระราชารบกัน ต่างคนก็ต่างอยากจะเข่นฆ่าประหัตประหารจึงเกิดความเสียหายมากมาย ก็เพราะว่าอกุศลให้ผลทันตา ข้าแต่พระนาคเสน ท่านเคยได้ยินหรือเปล่า ที่พระพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ถวายอสทิสทาน"


     พระนาคเสนจึงตอบไปว่า "อาตมาก็ได้ฟังอยู่มหาบพิตร" พระยามิลินท์จึงตรัสต่อไปว่า แล้วเป็นอย่างไรเล่า พระคุณเจ้า ขนาดถวายอสทิสทานที่ไม่มีทานใดเหนือกว่า ได้ผลในปัจจุบันทันตาเห็นหรือเปล่า" พระนาคเสนตอบว่า "ขอถวายพระพร มหาบพิตร พระเจ้าปเสนทิโกศลถวายอสทิสทานจะได้ผลทันตาเห็นก็มิได้" 
      พระยามิลินท์ได้โอกาสจึงรุกถามต่อไปว่า "อสทิสทานในครั้งนั้น ขึ้นชื่อลือชาปรากฏไปทั่วภพ แล้วเหตุไรเล่าจึงไม่ได้ผลทันที"


     พระนาคเสนได้ถวายวิสัชนาไปว่า "มหาบพิตร อกุศลมีผลน้อยจึงให้ผลเร็ว กุศลมีผลมากจึงให้ผลช้า เหมือนข้าวเบากับข้าวสาลี ข้าวเบานั้นมักอยู่ในปัจจันตชนบท หว่านลงในนาเดือนเดียวก็ได้ผล แต่ว่าได้ผลน้อย ส่วนข้าวสาลี ๖ เดือนหรือ ๕ เดือนจึงให้ผล แต่ได้ผลมากกว่ากันหลายเท่านัก"


     พระยามิลินท์เมื่อได้สดับเช่นนั้นก็ยังไม่หายสงสัย ได้ตรัสต่อไปว่า "พระคุณเจ้าทำไมแก้ปัญหาว่า อกุศลให้ผลเร็วแต่ได้น้อยเล่า โยมเห็นว่า คนทำอกุศลได้ผลเร็ว ก็เพราะมีกำลังแรง เหมือนนักรบลงสู่สงครามปราบปรามข้าศึกจนราบคาบ ย่อมมีชื่อเสียงเกียรติยศระบือไปว่า เก่งกล้าสามารถ ยากจะหาใครปราบได้ หมอคนใดรักษาโรคหายได้รวดเร็วฉับไว เป็นผู้เก่งกล้าสามารถ ย่อมได้รับการยกย่องว่าเป็นหมอชั้นเยี่ยม อกุศลมีผลเร็วเหมือนอุปมานั้น โยมจึงมีความเห็นว่า อกุศลมีผลเร็วแรงกว่า"


     พระนาคเสนจึงถวายวิสัชนาต่อว่า "มหาบพิตร กุศลกับอกุศลให้ผลเป็นทิฏฐธรรม และสัมปรายภพเหมือนกัน แต่กุศลแรงกว่า การที่คนทำความผิดแล้วถูกลงโทษจะสรุปว่าเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรมที่จะพึงเสวยในปัจจุบันนี้ยังไม่ได้ ด้วยว่าสิ่งนี้เป็นราชบัญญัติ เป็นกฎหมายสำหรับประชาชน ใครทำผิดก็ลงอาญา ถ้าจะตั้งกฎหมายบังคับว่า บุคคลใดก็ตาม ตั้งอยู่ในศีล ๕ เป็นประจำ จะมีการพระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ ใครรักษาอุโบสถศีล จะพระราชทานให้ยิ่งกว่านั้น กฎหมายอย่างนี้มีหรือไม่มหาบพิตร"


     พระยามิลินท์ตอบว่า "กฎหมายที่ว่านั้น ไม่มีหรอก พระคุณเจ้า" 
       พระนาคเสนจึงสรุปว่า "เพราะกฎหมายไม่มี คนที่ทำกุศลจึงไม่ได้ผลทันตาเหมือนคนที่ทำอกุศล ถ้าจะกล่าวถึงผลเป็นสัมปรายภพแล้ว กุศลนั้นมีกำลังมากกว่าอกุศลอย่างนี้แล" 
      พระยามิลินท์เมื่อได้สดับเช่นนั้นก็ให้สาธุการพระเถระว่า "สมเป็นนักปราชญ์ในพุทธศาสนาจริงๆ"


     เราจะเห็นว่ากุศลธรรมมีกำลังมากกว่าอกุศลธรรม ยิ่งถ้าตัวเราได้ทำบุญใหญ่ที่เป็นมหัคคตกุศลแล้ว ผลบุญก็จะเกิดขึ้นโดยเร็วพลัน แต่บางคนแม้ทราบว่ากุศลมีกำลังมากกว่าอกุศล คนส่วนใหญ่ก็มักจะใจร้อน เมื่อสั่งสมบุญอะไรไว้แล้ว มักอยากจะให้บุญส่งผลเร็ว 
   เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้บุญส่งผลเร็ว ก็ต้องทำให้ถูกหลักวิชา และต้องถูกเนื้อนาบุญ อู่แห่งทะเลบุญนั้นอยู่ในกลางตัวของเรา คือศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งจะเป็นแหล่งที่เชื่อมโยงกับกระแสธารแห่งบุญที่หลั่งไหลมาจากอายตนนิพพาน ถ้าหากเราหมั่นทำใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ หยุดนิ่งจนเข้าไปพบกับผู้มีความบริสุทธิ์ภายในคือพระธรรมกาย เวลาทำบุญอะไรก็จะได้ผลเกินควรเกินคาดเป็นอสงไขยอัปปมาณัง การทำใจให้ใสบริสุทธิ์เป็นประจำ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องฝึกฝนกันไปทุกวัน  ดังนั้น ให้หมั่นทำใจหยุดใจนิ่งกันทุกวัน จนกว่าจะเข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน


จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  
ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๕๐๖-๕๑๔


อ้างอิง.......มิลินทปัญหา 
(ฉบับแปลโดย ปุ้ย แสงฉาย)




วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2563

เส้นทางจอมปราชญ์ (๗)

เส้นทางจอมปราชญ์ (๗)

 

 วัฎจักรของโลก และมวลมนุษยชาติทั้งหลายล้วนตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เหมือนพระอาทิตย์เมื่อขึ้นสู่ขอบฟ้าในยามเช้าก็บ่ายหน้าไปอัสดงฉะนั้น ตราบใดที่เรายังไม่หมดสิ้นอาสวกิเลส ยังเวียนว่ายอยู่ในทะเลชีวิต ยังไม่เข้าถึงฝั่งคือพระนิพพาน ก็ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของชีวิตอยู่นั่นเอง ดังนั้น เมื่อเรามีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา และเป็นสัมมาทิฏฐิบุคคล จึงควรที่จะดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาท ใช้โอกาสทองของเราให้คุ้มค่ากับกาลเวลาที่สูญเสียไป มองวันเวลาเหมือนรัตนะของชีวิต ที่ไม่อาจจะปล่อยให้สูญเปล่า ตั้งใจมั่นที่จะตั้งใจทำความดี และประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจัง

มีวาระพระบาลีที่พระสิริมัณฑเถระกล่าวไว้ใน ขุททกนิกาย เถรคาถา ว่า

     “โลกถูกมัจจุแผดเผา และถูกชรารุมล้อม ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้ 
ย่อมเดือดร้อนอยู่เป็นนิตย์ เหมือนคนกระทำความผิด
ได้รับอาชญาเดือดร้อนอยู่ฉะนั้น"

     มวลมนุษย์ทั้งหลายที่ดำรงอยู่ในโลกปัจจุบัน หรือแม้แต่ที่เคยเกิดมาหลายภพหลายชาติ และที่กำลังจะเกิดในอนาคต บางคนมีอายุยืน บางคนมีอายุสั้น ความสั้นยาวของอายุมนุษย์เป็นธรรมชาติที่ไม่เท่ากัน สิ่งที่ไม่แน่นอนได้หยิบยื่นสิ่งที่คาดไม่ถึงให้กับเรามาโดยตลอด ความตายจึงเปรียบเสมือนมุมมืดที่น่าเกรงขามของสรรพสัตว์ ความตายของมนุษย์มีความแตกต่างกัน ความสงสัยในเรื่องนี้ ไม่ใช่จะพึ่งมีในยุคนี้ เคยเกิดขึ้นในสมัยก่อนเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ก็เกิดกับจอมปราชญ์แห่งยุคแล้วแก้ปัญหาโดยจอมปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนาเช่นกัน ก็คือพระยามิลินท์และพระนาคเสน

      หลังจากที่นักปราชญ์ทั้งสองท่าน โต้ตอบปัญหาวิสัชนากันติดต่อมาหลายชั่วยามจนพลบค่ำซึ่งเป็นเวลาที่คณะสงฆ์จะต้องบำเพ็ญสมณกิจ ปฏิบัติสมาธิภาวนา พระราชาขอตัวเสด็จกลับวัง วันรุ่งขึ้นเสด็จมาแต่เช้า เพื่อถามปัญหากับพระนาคเสน เป็นอย่างนี้มาหลายวันแล้ว วิสัยของนักปราชญ์บัณฑิตนี้ จะไม่อิ่มกับความรู้ จะรู้สึกว่าตัวเองกระหายที่อยากจะรู้แจ้งเห็นจริงในความสงสัยนั้นๆตลอดเวลา เหมือนไฟที่ไม่อิ่มด้วยเชื้อ ทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำอย่างนั้น  ดังนั้นพวกเราเองควรที่จะดูแบบอย่างไว้ แล้วทำความรู้สึกว่าเราเป็นทะเลแห่งบุญมหาสมุทรแห่งความดีที่ไม่รู้จักอิ่มในการฟังธรรม ไม่อิ่มการทำความดี

     วันหนึ่ง ท่านทั้งสองนั่งสนทนาธรรมกันตามปกติ พระยามิลินท์เกิดความสงสัยเรื่องของมรณะคือความตาย จึงเอ่ยถามพระนาคเสนว่า "พระคุณเจ้าผู้เจริญ โยมยังมีความสงสัยว่า เมื่อเราเกิดมาแล้ว ทุกคนบ่ายหน้าไปสู่ความตายกันทั้งนั้น เวลาที่มนุษย์ตาย ตายเป็นกาลมรณะทั้งหมดหรือตายเป็นอกาลมรณะ" พูดง่ายๆ ก็คือว่า ถึงเวลาจึงจะตาย หรือว่าไม่ถึงคราวตายก็ต้องตาย 
    พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า "มีทั้งสองประเภทหาบพิตร มีทั้งกาลมรณะ และอกาลมรณะ"

     พระยามิลินท์ได้ฟังอย่างนั้น จึงถามต่อไปว่า "ข้าแต่พระนาคเสน ที่ตายเป็นกาลมรณะ และที่ตายเป็นอกาลมรณะนั้นเป็นอย่างไร ช่วยไขข้อข้องใจให้โยมด้วย" 
    พระนาคเสนอรหันตเจ้า จึงกล่าววิสัชนาว่า "มหาบพิตร ผลมะม่วงหรือผลไม้ชนิดต่างๆ ย่อมหล่นตั้งแต่ในกาลที่ยังเป็นช่อ บางทีช่อดอกเพิ่งจะตั้งเป็นผลก็ร่วงหล่นไป บางครั้งเป็นผลเล็กๆ เท่านั้นก็หล่นไป บางครั้งห่าม บางครั้งสุกก็หล่นไป มหาบพิตรเคยเห็นผลไม้เป็นอย่างที่อาตมภาพกล่าวหรือไม่"

     พระยามิลินท์ได้ฟังคำถามง่ายๆ อย่างนี้ จึงตอบพระนาคเสนว่า "สิ่งที่พระคุณเจ้ากล่าวมานั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา" 
    พระนาคเสนจึงเปรียบเทียบอุปไมยให้ฟังว่า "มะม่วง และผลไม้ที่สุกแล้วหล่นนั้น เรียกว่าหล่นในกาลที่ควรหล่น ส่วนผลไม้ ที่หล่นตั้งแต่เป็นช่อ เป็นดอก บางครั้งนกจิก โดนลมพัด หรือถูกหนอนเจาะไชร่วง เรียกว่าหล่นในกาลที่ยังไม่ควรจะหล่น ความข้อนี้มีอุปมาฉันใด มนุษย์ที่เกิดมา ครั้นแก่เฒ่าชราภาพ กระทำกาลกิริยาลง นี้ชื่อว่ากาลมรณะ ตายตามกาลเวลาที่สมควร เหมือนผลมะม่วงสุกแล้วหล่นร่วงสู่พื้นดิน มนุษย์นอกนั้น บางกลุ่มตายเพราะกรรมเก่าชักนำไป หรือเพราะถูกฆ่า ชื่อว่าตายเป็นอกาลมรณะ"

     เมื่อได้ฟังการแก้ปัญหาของพระเถระ แทนที่พระยามิลินท์จะสิ้นสงสัย กลับแย้งว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้า มนุษย์ประการหลังๆ ที่พระคุณเจ้าเอ่ยมานั้น จะตายเพราะกรรมด้วยคติ หรือการกระทำพาไปก็ดี โยมเห็นว่าพวกนี้ ตายเป็นกาลมรณะ ควรตายทั้งสิ้น อย่าว่าแต่อย่างนี้เลย แม้สัตว์ที่ตายในครรภ์มารดา หรือทารก อายุ ๕ ปี ๖ ปี ๗ ปี ก็ได้ชื่อว่าตายในกาลที่ควรจะตายเหมือนกันทั้งนั้น จะแบ่งแยกเป็นกาลมรณะหรืออกาลมรณะอย่างพระคุณเจ้าว่านั้น หามิได้"

     พระนาคเสนได้ฟังแล้วท่านก็นิ่งสักครู่ แล้วจึงวิสัชนาแก่พระราชาด้วยภูมิธรรมที่ลึกซึ้งว่า "มหาบพิตร สัตว์และมนุษย์ทั้งหลายที่ยังไม่แก่ไม่เฒ่ามาตายเสียก่อนได้ชื่อว่าตายเป็นอกาลมรณะ พวกที่ตายเป็นอกาลมรณะนั้นมี ๗ จำพวก คือ ๑.บุคคลผู้ที่ไม่สิ้นอายุอดอาหารตาย ๒.อดน้ำตาย ๓.ถูกงูพิษกล้าขบกัดตาย ๔.กินยาพิษฆ่าตัวตาย ๕.ถูกไฟไหม้ตาย ๖.ตกน้ำตาย และ ๗.ตายด้วยศาสตราวุธ มนุษย์จำพวกนี้ ชื่อว่าตายเป็นอกาลมรณะ มหาบพิตร

     ส่วนมนุษย์ทั้งหลายที่ตายเป็นกาลมรณะนั้นมีถึง ๘ ประการด้วยกัน ขอให้มหาบพิตรจงจำไว้ให้ดี คือ ๑.ตายด้วยโรคลม ๒.ตายด้วยโรคที่เกิดจากดีหรือโรคดีกำเริบ ๓.ตายด้วยโรคมีเสมหะกำเริบ ๔.ตายด้วยพิษไข้ ๕.ตายด้วยโรคที่เกิดตามฤดูทั้งสาม ๖.ตายด้วยการใช้อิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอนเกินประมาณ ๗.ตายด้วยโรคเลือดไหลรักษาเท่าไรก็ไม่หยุด และประการสุดท้าย ๘.ตายด้วยโรคอันเกิดแต่กรรมวิบาก มนุษย์ทั้งหลายที่ตายด้วยเหตุ ๘ ประการนี้ ชื่อว่าตายเป็นกาลมรณะ ขอพระองค์ทรงจำไว้ด้วยเถิดมหาบพิตร"

      พระเถระอธิบายต่อว่า กาลมรณะนั้นยังแบ่งออกเป็น ๒ อย่างคือ เป็นสามายิกากาลกิริยา และอสามายิกากาลกิริยา หากตายด้วยโรคอันเกิดแต่กรรมวิบาก ชื่อว่าสามายิกากาลกิริยา หมายถึงตายด้วยกาลอันเป็นกรรมในอดีตที่ตนกระทำไว้แต่ชาติปางก่อน  ส่วนถ้าหากตายด้วยเหตุอย่างอื่น ตั้งแต่ตายด้วยโรคลม จนถึงโรคเลือดไหลไม่หยุด ทั้ง ๗ อย่างนั้นชื่อว่าอสามายิกากาลกิริยา จึงหมายถึงตายไม่สมควรแก่กาลสมัย"

     พระยามิลินท์ได้ถามต่อไปว่า "ที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่าตายเป็นอกาลมรณะนั้นเป็นอย่างไร" พระนาคเสนเถระจึงกล่าวอุปมาให้ฟังว่า "มหาบพิตร กองเพลิงไหม้ไปจนสิ้นเชื้อใบไม้แห้งก็ดับไป นี้ชื่อว่า สามายิกนิพพุตา ดับเองฉันใด บุคคลมีอายุยืนได้มากปานใด หาโรคภัยอุปัทวะสิ่งไรมิได้ ตายไปเอง เหมือนกองเพลิงดับเพราะไม่มีเชื้อ ชื่อว่า สามายิกมรณะ ส่วนกองเพลิงใหญ่ไหม้อยู่ เชื้อไม้แห้งทั้งหลายยังไม่หมด มีฝนห่าใหญ่ตกลงมาทำให้ไฟกองนั้นดับลง กองเพลิงนั้นย่อมชื่อว่า อสามายิกนิพพุตา ไม่ได้ดับเอง ข้อนี้อุปมาฉันใด บุคคลที่ยังไม่กำหนดอายุขัยในวาระที่เกิดมา ตายด้วยเหตุประการใดประการหนึ่ง ชื่อว่าตายเป็นอกาลมรณะ ฉะนี้แลมหาบพิตร"

     พระยามิลินท์ได้ทรงฟังคำอุปมาเกี่ยวกับความตายอย่างนี้ก็ชื่นชมโสมนัส รับรู้ถึงความเป็นไปของมวลมนุษย์ผู้กำลังบ่ายหน้าไปสู่ความตาย และการตายของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน แต่ถึงจะต่างกันอย่างไรสุดท้ายคือตายเหมือนกันหมด

     เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะตายตามกาลเวลา หรือยังไม่ถึงเวลาแล้วตายก็ตาม ยังไงก็ต้องตายกันทั้งนั้น ดวงตะวันเริ่มเคลื่อนคล้อยที่จะตกดินทุกทีแล้ว  ก่อนตะวันแห่งชีวิตของเราจะมืดมิดดับไป      ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรจะมีโอกาสได้กลับมา สร้างบารมีในโลกมนุษย์อย่างนี้อีก ความชราที่เกิดขึ้นกับสังขารร่างกายของเราเป็นเหมือนสัญญาณเตือนภัยของพญามัจจุราชที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาเราทุกขณะ เราจึงควรเร่งรีบสั่งสมบุญไว้ให้มากๆ ความตายไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวหรือเลวร้าย สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นอีก คือเกิดมาแล้วไม่ได้ทำความดีอะไร  พวกเราทั้งหลายจึงไม่ควรประมาทในการประพฤติปฏิบัติธรรม สิ่งใดที่เป็นกุศล เมื่อเรายังมีลมหายใจก็ให้รีบไขว่คว้าเอามาเป็นบุญ แล้วเราจะจากโลกนี้ไปอย่างผู้ชนะ โดยไม่หวาดหวั่นกับมรณภัยใดๆ


จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๔๙๗-๕๐๕


อ้างอิง......มิลินทปัญหา (ฉบับแปลโดย ปุ้ย แสงฉาย)

     

วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2563

เส้นทางจอมปราชญ์ (๖)

เส้นทางจอมปราชญ์ (๖)

 
                 การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นมงคลอันสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา บุคคลที่ควรบูชานั้นได้แก่บิดามารดา ครูบาอาจารย์เป็นต้น ท่านเหล่านั้นจัดเป็นปูชนียบุคคล จนกระทั่งถึงบุคคลผู้ควรบูชาอย่างสูงสุด ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอริยสาวก ท่านเหล่านั้นเป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก การที่เราบูชาท่านตั้งแต่บูชาด้วยอามิส จตุปัจจัยไทยธรรม และดอกไม้ธูปเทียน ของหอมต่างๆ ตลอดจนการบูชาด้วยการปฏิบัติ คือลงมือปฏิบัติตามคำสอนของท่านอย่างเคร่งครัด เป็นสุดยอดของการบูชาที่พระบรมศาสดาทรงสรรเสริญ เพราะเป็นทางมาแห่งความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปสู่อายตนนิพพาน

          มีธรรมภาษิตที่ปรากฏใน วิมานวัตถุ ว่า....

     “เมื่อพระตถาคตจะยังทรงพระชนม์อยู่ หรือเสด็จปรินิพพานไปแล้วก็ตาม เมื่อจิตสม่ำเสมอ ผลก็ย่อมสม่ำเสมอ เพราะเหตุที่ตั้งจิตไว้ชอบธรรม สัตว์ทั้งหลายย่อมไปสู่สุคติ ทายกทั้งหลายได้กระทำสักการบูชาในพระตถาคตเหล่าใดไว้แล้วย่อมไปสู่สวรรค์ พระตถาคตเหล่านั้นย่อมเสด็จอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากหนอ"

     ผู้ที่บูชาพระรัตนตรัยด้วยจิตใจที่ผ่องใส มีศรัทธาที่เต็มเปี่ยม อานิสงส์ที่เกิดขึ้น ก็จะเกิดขึ้นมากมายเป็นอสงไขยอัปปมาณัง ไม่ว่าพระองค์จะยังทรงพระชนม์อยู่ หรือว่าปรินิพพานไปแล้วก็ตาม ผลแห่งบุญก็ยังเกิดขึ้นเหมือนกัน ยิ่งถ้าเราหมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมจนมีดวงตาเห็นธรรม ได้เข้าถึงพระธรรมกาย มีใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกาย ความคลางแคลงสงสัยอันใดที่มีอยู่ ก็จะมลายหายสูญไป ความศรัทธาเลื่อมใสที่เคยมีในจิตใจจะเพิ่มพูนทับทวีมากยิ่งขึ้น  เมื่อยังไม่เข้าถึงพระธรรมกาย ก็ยังไม่สามารถขจัดความสงสัยให้หมดสิ้นได้

     นักปราชญ์ท่านนี้ ก็คือพระยามิลินท์ ท่านเกิดความสงสัยในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงกับตั้งกระทู้ถามพระนาคเสนผู้เป็นขีณาสพว่า "ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ พระคุณเจ้าเคยเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่" 
      พระนาคเสนถวายพระพรว่า "ขอถวายพระพรมหาบพิตร อาตมาเองก็เกิดไม่ทันเห็นองค์สมเด็จพระบรมครู" 
      พระยามิลินท์เอ่ยถามต่อว่า "แล้วพระอาจารย์ของพระคุณเจ้าเล่า ทันเห็นพระบรมศาสดาหรือไม่" แม้แต่พระอาจารย์ของอาตมาเอง ก็ไม่ทันเห็นพระบรมศาสดาเหมือนกัน"

     พระยามิลินท์จึงเอ่ยขึ้นว่า "ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่มีนะซิ ถ้าพระองค์มีจริง พระคุณเจ้าจะต้องเห็น พระอาจารย์ของท่านคงจะเห็น เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่เห็นก็เป็นการกล่าวเลื่อนลอยหาหลักฐานไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าคงไม่มีจริง" 
       พระนาคเสน  "มหาบพิตร เคยเห็นสะดือทะเลที่กลางทะเลบ้างหรือไม่"           พระยามิลินท์จึงตอบว่า "โยมไม่เคยเห็นพระคุณเจ้า" 
       พระนาคเสนซักต่อว่า "พระราชบิดาของพระองค์เคยเห็นหรือไม่" 
       พระยามิลินท์   "แม้เสด็จพ่อของโยมก็ยังไม่เคยเห็นพระคุณเจ้า" 
       พระนาคเสนถามย้อนกลับไปว่า "ถ้าอย่างนั้นสะดือทะเลก็ไม่มีใช่ไหม มหาบพิตร" 
        พระยามิลินท์จึงตรัสตอบไปว่า "ถึงเสด็จพ่อของโยมไม่เห็น ตัวโยมเองไม่เคยเห็น แต่สะดือทะเลนี้ก็มีอยู่อย่างแน่นอน ขอพระคุณเจ้ารับรู้ไว้เถิด"

       พระนาคเสนจึงถวายพระพรสรุปว่า "ดูก่อนมหาบพิตร ความข้อนี้ท่านตรัสเป็นฉันใด องค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ตัวอาตมาและพระอาจารย์ไม่เคยเห็น พระพุทธองค์ก็มีอยู่จริง เหมือนดังสะดือทะเลนั่นแหละ ขอให้พระองค์จงเชื่อมั่นเถิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่จริง" 
        เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ท่านก็ถามต่อไปอีกว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระพุทธเจ้านี้เป็นผู้ประเสริฐที่สุด หาสิ่งที่เสมอไม่ได้ จริงหรือเท็จประการใด" 
        พระนาคเสนท่านยืนยันหนักแน่นว่า "พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ประเสริฐสุด จะหาผู้อื่นมาเปรียบไม่ได้อีกแล้วมหาบพิตร นี้เป็นความจริงแท้แน่นอน"           พระยามิลินท์  "ทำไมพระคุณเจ้าถึงรู้เล่า เพราะตัวท่านเองก็ไม่รู้ไม่เห็น แล้วรู้ได้อย่างไร"

      พระนาคเสน   "ถวายพระพร  มหาบพิตร อย่างที่อาตมาถามทีแรก เรายังไม่เคยมีใครเห็นมหาสมุทร เขาก็พากันรู้ได้ว่า มหาสมุทรนี้กว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกิน ด้านความลึกก็แสนจะลึกสุดวิสัยยากจะหยั่งได้ และยังเป็นที่รวมลงของมหานทีทั้งหลาย แม่น้ำเหล่านั้นไหลบ่ามามากเท่าไร มหาสมุทรก็ไม่รู้จักเต็ม คนทั้งหลายรู้หรือเปล่าว่ามหาสมุทรนี้กว้างใหญ่มหาบพิตร"

     พระยามิลินท์ได้ฟังดังนั้นก็ตอบว่า "พระคุณเจ้า คนทั้งหลายรู้อยู่ว่ามหาสมุทรนี้กว้างใหญ่ไพศาล" 
       พระนาคเสนซักถามต่อว่า "แล้วทำไมพวกเขาทั้งหลายแม้ไม่เคยสำรวจให้ทั่วถึงจึงรู้ว่ามหาสมุทรนี้ทั้งลึกทั้งกว้างใหญ่" 
       พระยามิลินท์ได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า "เพราะผู้ใหญ่ผู้เฒ่าบอกสืบต่อกันมา จึงรู้ว่ามหาสมุทรนี้กว้างใหญ่นะพระคุณเจ้า"

     พระนาคเสนได้ฟังเช่นนั้น ท่านจึงสรุปว่า "ความข้อนี้เป็นฉันใด อาตมาแม้ไม่ทันเห็นองค์พระชินสีห์กับตา ก็ได้ทัศนาเห็นพระสาวกผู้เป็นพระอรหันต์อันเป็นศิษย์ต่อมาช้านาน ท่านเป็นผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ดังนั้นอาตมาก็รู้อยู่ว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้หมดสิ้นกิเลสอาสวะ เลิศประเสริฐที่สุดในโลก หาผู้เสมอมิได้ มหาบพิตร"

     พระยามิลินท์ได้สดับคำวิสัชนา ในใจลึกๆ เริ่มยอมรับการแก้ปัญหาของพระเถระ แต่ยังมีทิฏฐิอยู่จึงถามต่อไปว่า "พระนาคเสน พระพุทธเจ้านี้มีอยู่จริงใช่ไหม" 
      พระนาคเสน   "ใช่สิมหาบพิตร มีอยู่จริงๆ" 
      พระยามิลินท์    "ถ้าพระพุทธเจ้านี้มีอยู่จริง ท่านพอจะชี้ได้หรือไม่ว่า พระองค์เสด็จอยู่ที่นั่น อยู่ที่นี่" 
       พระนาคเสนจึงตอบไปว่า "พระพุทธองค์เสด็จเข้าอายตนนิพพานไปแล้ว จะให้อาตมาชี้ว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ จนใจที่จะชี้ให้มหาบพิตรจริงๆ" 
      พระยามิลินท์   ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยอุปมาให้หายสงสัยเถิด 
      พระนาคเสนจึงถามต่อไปว่า "พระราชสมภารเจ้า เปลวอัคคีที่รุ่งโรจน์โชตนาการ เมื่อเปลวเพลิงดับไป มหาบพิตรสามารถชี้ได้หรือไม่ว่าเปลวไฟนั้นอยู่ที่ไหน"
     พระยามิลินท์   "ไม่อาจชี้ได้หรอกพระคุณเจ้า เพราะมันดับไปแล้ว" 
      พระนาคเสน  "เหมือนกันน่ะแหละ มหาบพิตร เมื่อพุทธองค์เสด็จสู่อายตนนิพพาน จะชี้ให้เห็นด้วยตามนุษย์ อาตมาก็จนใจไม่รู้จะชี้ได้อย่างไร เหมือนเปลวไฟที่ดับไปแล้ว อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะชี้ให้เห็นได้อย่างไร"

     พระยามิลินท์ได้ฟังอย่างนั้น ยังไม่หมดข้อสงสัย จึงถามว่า "สมเด็จพระพุทธองค์ยังทรงมีพระชนม์อยู่ สาธุชนทั้งหลายจะบูชาก็ควร แต่เดี๋ยวนี้พระองค์เข้าพระนิพพานไปแล้ว จะไหว้จะบูชาสมเด็จพระบรมศาสดาก็ไม่ทรงยินดี การบูชาอย่างนี้จะมีผลอะไรเล่าพระคุณเจ้า" 
       พระนาคเสนจึงวิสัชนาว่า "อย่าว่าแต่พระองค์ปรินิพพานไปแล้วจะไม่ยินดีสักการบูชาเลย แม้พระองค์ยังพระชนม์ชีพอยู่ก็ไม่ทรงยินดีหรือติดลาภสักการะ พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า พระชินสีห์จะยินดีในสักการบูชาก็หาไม่ แต่ก็ควรที่เทวดา และมนุษย์จะบูชา เพราะเมื่อบูชาพระพุทธเจ้าแล้ว มีผลานิสงส์จะนับจะประมาณมิได้ ถวายพระพร"

      พระยามิลินท์ทรงค้านขึ้นว่า "พระคุณเจ้า จะมาอ้างคำของพระสารีบุตรได้อย่างไรเล่า เชื่อยังไม่ได้ จงวิสัชนาใหม่เถิด" 
      พระนาคเสนจึงวิสัชนาด้วยจิตใจที่ผ่องแผ้วว่า "มหาบพิตร พระพุทธเจ้าเสด็จเข้านิพพานแล้ว คำที่ว่าเทวดาและมนุษย์มีใจศรัทธาอุตสาหะกระทำสักการบูชาธาตุรัตนะของพระองค์ซึ่งมิได้ยินดีสักการะนั้น ย่อมไม่มีผล คำนี้ไม่เป็นความจริง อุบาสกอุบาสิกามีใจศรัทธาอุตสาหะ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่ประทานไว้ ย่อมจะได้สมบัติ ๓ ประการ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ อย่างแน่นอน เหมือนกองเพลิงใหญ่ลุกโชตนาการแล้วดับไป กองเพลิงนั้นแม้ไหม้อยู่ก็ไม่ยินดีในเชื้อทั้งหลาย แม้ดับไปก็ไม่ยินดีในเชื้อแล้ว ครั้นมนุษย์เพียรสีไฟ ไฟก็มีขึ้นได้อีก ถ้าเพลิงดับแล้วกลับติดขึ้นได้ คำที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าเข้านิพพาน การบูชาไม่มีผล เป็นคำที่ไม่ถูกต้อง กองเพลิงรุ่งโชตนาการฉันใด พระพุทธเจ้าก็รุ่งเรืองด้วยพุทธรังสี ฉันนั้น  สาธุชนทั้งหลายผู้มีใจศรัทธา ถวายเครื่องสักการบูชา ปรนนิบัติด้วยสัมมาปฏิบัติตามพระดำรัสของพุทธองค์ ก็จะได้สมบัติทั้งสาม มีมรรคผลนิพพานเป็นที่ไป"

     ดังนั้น การบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ หรือปรินิพพานไปแล้ว บุญที่เราทำไว้ไม่ได้สูญหายไปไหน มีแต่จะทำให้เราได้บุญใหญ่ อย่างจะนับจะประมาณมิได้ ได้บุญกันนับภพนับชาติไม่ถ้วน ดังนั้นขอให้พวกเราทุกคน หมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระองค์ท่านอย่างจริงจัง หมั่นให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา บูชาพระพุทธองค์ทั้งอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา ถ้าเราตั้งใจทำความดีอย่างนี้กันอย่างเต็มที่ ในไม่ช้าเราก็จะสมปรารถนา ได้เข้าถึงพระธรรมกายกันทุกๆ คน


จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๔๗๗-๔๘๖


อ้างอิง.......มิลินทปัญหา (ฉบับแปลโดย ปุ้ย แสงฉาย)

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2563

เส้นทางจอมปราชญ์ (๕)

เส้นทางจอมปราชญ์ (๕)

 
           พุทธศาสน์เป็นศาสตร์แห่งความรู้แจ้งเห็นจริง มนุษย์ทั้งหลายางก็ตกอยู่ในความไม่รู้จริง ถูกอวิชชาห่อหุ้มดวงปัญญาไว้ ทำให้ไม่รู้ว่า ชีวิตเกิดมาทำไม มีอะไรเป็นเป้าหมายของชีวิต จึงปล่อยชีวิตผ่านไปวันๆ โดยไร้จุดหมายปลายทาง แต่ถ้าหากได้ศึกษาความรู้ที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา ศึกษาพุทธพจน์อันเป็นอมตวาจา ความรู้แจ้งเห็นจริงนั้นจะค่อยๆ ปรากฏเกิดขึ้นเป็นแสงสว่างในดวงจิตท่ามกลางความมืดมิด คอยส่องนำทางให้ผู้นั้นดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องปลอดภัย ถ้าได้ทำใจให้สงบหยุดนิ่งจนกระทั่งถึงในระดับเป็นภาวนามยปัญญา คือปัญญาที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนา กระทั่งเข้าถึงธรรมกาย ก็นับได้ว่าเข้าถึงแหล่งแห่งปัญญาบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์ ผู้ที่จะมีจิตใจผ่องใสมีปัญญาบริสุทธิ์เช่นนี้ได้ ต้องสั่งสมความรู้ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น การเกิดมาในชาตินี้ของผู้นั้น จะเป็นการเกิดที่คุ้มค่าอย่างแท้จริง

        มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน อาฬวกสูตร ว่า...

        “บุคคลเชื่อธรรมของพระอรหันต์ทั้งหลาย เพื่อบรรลุนิพพาน เป็นผู้ไม่ประมาท มีปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง ฟังอยู่ด้วยดี ย่อมได้ปัญญา  บุคคลผู้มีธุระ กระทำสมควร มีความหมั่น ย่อมหาทรัพย์ได้ บุคคลย่อมได้ชื่อเสียงด้วยสัจจะ ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้ ผู้ใดมีศรัทธาอยู่ครองเรือน มีธรรม ๔ ประการนี้ คือ สัจจะ ธรรมะ ธิติ จาคะ ผู้นั้นแล ละจากโลกนี้ไปแล้วย่อมไม่เศร้าโศก"

     ถ้าเรามีปัญหาข้อสงสัยที่อยากรู้แจ้งเห็นจริง ก็ต้องรู้จักฟังธรรม หมั่นเข้าไปหาผู้รู้ และต้องฟังด้วยความพินิจพิจารณา มีความกระหายอยากจะฟังธรรม ฟังด้วยจิตใจที่ผ่องใส เมื่อได้ฟังสิ่งที่ดีงาม เรื่องราวที่เป็นอรรถเป็นธรรม ความสงสัยนั้นก็จะค่อยๆ หมดไป เหมือนความมืด เมื่อมีแสงสว่างเกิดขึ้น ความมืดก็จะค่อยๆ เลือนหายจนกระทั่งหมดสิ้น ดังนั้นการฟังธรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต ขณะฟังธรรมแล้ว ต้องฟังด้วยใจที่ผ่องใส มีสติ รู้จักตรองตามธรรม เป็นการเพิ่มพูนสติปัญญา ปัญญาเบื้องต้นเกิดขึ้นจากการฟังที่ดี และเป็นปทัฏฐานให้เข้าถึงปัญญาระดับสูง จนกระทั่งสามารถกำจัดกิเลสอาสวะ เหมือนพระยามิลินท์ เมื่อพบพระนาคเสน ได้ไต่ถามปัญหามากมาย ซึ่งล้วนเป็นธรรมที่น่าศึกษา น่ารู้มาก  

      ก่อนที่จะกล่าวถึงข้อความในหัวข้อธรรมนั้น พระยามิลินท์ถามเพื่อหยั่งภูมิความรู้ว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ก่อนสนทนาปราศรัยกัน ขอทราบนามของท่าน" 
        พระนาคเสนถวายพระพรว่า "เพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์เรียกอาตมาภาพว่า นาคเสน มารดาบิดาให้ชื่อหลายชื่อว่า นาคเสน วีรเสน สุรเสน หรือสีหเสน แต่ชื่อที่อาตมาว่ามาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงสมมติโวหารที่ชนทั้งหลายใช้เรียกกันเท่านั้น จะมีสัตว์มีบุคคลเป็นที่ตั้งแห่งมานะทิฏฐิว่า เป็นเรา หรือเป็นของเราในชื่อเหล่านั้นโดยปรมัตถ์หรือประโยชน์สูงสุดมิได้มหาบพิตร"

     เมื่อพระยามิลินท์ได้ฟังเช่นนั้น ก็ป่าวประกาศให้บริวารที่ตามเสด็จมาว่า "ชาวโยนกทั้งหลาย จงฟังคำของพระคุณเจ้าให้ดี ท่านบอกว่า ท่านชื่อนาคเสน จะมีสัตว์หรือบุคคลในชื่อเหล่านั้นโดยปรมัตถ์หามิได้ ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ ถ้าสัตว์และบุคคลไม่มีดั่งคำของพระคุณเจ้าแล้ว ญาติโยมที่ตั้งใจถวายทาน จตุปัจจัยแก่พระนาคเสน จะได้บุญกุศลอย่างไรเล่า ผู้ที่คิดจะฆ่าพระนาคเสน จะได้บาปกรรมอะไร 
      โยมเห็นว่าจะไม่มีผลเหมือนชื่อที่ตั้งขึ้นเป็นการบัญญัติเปล่า คฤหัสถ์และบรรพชิตเรียกชื่อกันก็เห็นว่าว่างเปล่าทั้งนั้น อีกอย่างหนึ่งเวลาทายกถวายจตุปัจจัยแก่พระคุณเจ้า ใครเป็นคนรับจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ ใครเป็นคนเล่าเรียนพระไตรปิฎก เป็นผู้ได้บรรลุมรรคผล ทำอะไรก็สูญเปล่าหมดนะซิพระคุณเจ้า เพราะชื่อมิได้จัดสมมติ เขาว่าชื่อนั้นชื่อนี้ โยมเรียกพระคุณเจ้าว่า พระนาคเสน พระคุณเจ้าได้ยินหรือไม่" 
     พระนาคเสน   "ถวายพระพร อาตมาภาพได้ยินมหาบพิตร" 
     พระยามิลินท์   "ถ้าพระคุณเจ้าได้ยิน ชื่อพระนาคเสน และการจัดเป็นบุคคล คือตัวของพระคุณเจ้า พระคุณเจ้านี้ชื่อนาคเสนหรือ" 
    พระนาคเสนตอบว่า "หามิได้" 
     พระยามิลินท์ก็ถามต่อไล่ตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ทุกส่วนของร่างกาย ไล่เรื่อยไป แต่ท่านถามทีละอย่างว่า "ของพวกนี้อะไรชื่อว่านาคเสน"

     พระนาคเสนท่านก็ตอบว่า "ไม่ว่าจะเป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นต้น  ไม่ได้ชื่อว่านาคเสนแต่อย่างใด" 
      พระยามิลินท์ก็ได้ช่องพูดขึ้นว่า "เมื่อโยมถามพระคุณเจ้าทีแรกท่านตอบว่า ชื่อนาคเสน แต่พอถามจริงๆ กลับตอบว่าไม่ใช่ เป็นพระพูดจาสับปรับอย่างนี้ไม่น่าเชื่อถือเลย" 
      พระนาคเสนท่านเป็นพระอรหันต์มีรู้มีญาณที่บริสุทธิ์สว่างไสว ก็รู้วาระจิตของพระยามิลินท์ ท่านจึงทำเป็นนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง และเอ่ยถามขึ้นว่า "พระองค์เป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ อุตส่าห์เสด็จมาสู่บุญสถานบริเวณนี้ในเวลาเที่ยงวัน คงได้รับความลำบากพระวรกายมากพอสมควร พระองค์เสด็จด้วยพระบาทเปล่าหรือด้วยยานอันใด"

     พระยามิลินท์ตรัสว่า "เสด็จมาด้วยราชรถ เมื่อถึงสำนักจึงเดินด้วยเท้า"           พระนาคเสนถามว่า "พระองค์เสด็จมาด้วยรถจริงหรือ" 
     พระยามิลินท์ก็ยืนยันเหมือนเดิม 
      พระนาคเสนจึงถามต่อไปว่า "งอนหรือที่ชื่อว่ารถ" 
     พระยามิลินท์   ..ไม่ใช่อย่างนั้นพระคุณเจ้า 
     พระนาคเสน  .."แล้วเพลาหรือชื่อว่ารถ" 
     พระยามิลินท์   ..ไม่ใช่  
    พระนาคเสนถามทีละอย่าง ตั้งแต่ล้อ เพลา แอก คันชัก ตัวรถ ปฏักสำหรับถือเป็นต้น ว่าสิ่งเหล่านั้นแต่ละอย่างชื่อว่ารถหรือ พระราชาทรงปฏิเสธว่า ไม่ใช่ทั้งนั้น

     พระนาคเสนจึงเอ่ยเถรวาจาท่ามกลางพุทธบริษัทว่า "ทำไมพระองค์ผู้เป็นกษัตริย์ตรัสสับปรับเช่นนี้ เมื่อสักครู่บอกว่ามาด้วยรถ แต่ทำไมตอนนี้ถึงปฏิเสธเล่า" มหาชนได้ฟังเช่นนั้นก็ชอบอกชอบใจในการย้อนถามปัญหาของพระเถระ ทูลขอให้พระราชาแก้ปัญหา 
      ฝ่ายพระยามิลินท์เห็นท่าไม่ดี จึงรีบแก้ไปว่า "ท่านพระนาคเสน โยมไม่ได้พูดเท็จ นามบัญญัติชื่อว่ารถนั้น อาศัยสัมภาระ เครื่องรถทั้งหมดประกอบกันชื่อว่ารถ" 
      พระนาคเสนจึงแก้ว่า "มหาบพิตร อาตมาก็เหมือนกัน ที่บอกว่าชื่อนาคเสน ก็ไม่ได้มุสา อาศัยอาการ ๓๒ ของอาตมาประกอบกันเข้า จึงมีบัญญัตินามปรากฏว่า นาคเสน"

      พระเจ้ามิลินท์ได้ฟังดังนั้น รู้สึกทึ่งในไหวพริบปฏิภาณของพระนาคเสน ถึงกับเอ่ยอุทานว่า "พระคุณเจ้าองค์นี้ช่างแก้ปัญหาได้น่าอัศจรรย์" แต่อยากจะถามอีกสักอย่างว่า "มหาชนทั้งหลาย ต่างตั้งใจกุศลทั้งกาย วาจา ใจ หรือกระทำบาปอกุศลทางกาย วาจา ใจนั้น ผลกรรมไปอยู่ที่ไหน" 

      พระนาคเสนอธิบายว่า "มหาบพิตร ขอถวายพระพร บุคคลกระทำบุญกุศล ประพฤติสุจริตทั้งกาย วาจา ใจ หรือจะทำบาปอกุศลทางกาย วาจา ใจ บุญบาปนั้นจะได้ตั้งอยู่ในที่ไหนหามิได้ กรรมนั้นจะติดตามไปเหมือนเงาติดตามตัว ฉะนั้น จะกระทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว กรรมนั้นก็ติดตามตัวผู้นั้นไปตลอด"  

      พระยามิลินท์ตรัสถามต่อว่า พระคุณเจ้าสามารถจะชี้ตัวกรรมให้เห็นได้หรือไม่ 
      พระนาคเสนก็บอกว่า ชี้ไม่ได้ 
      พระยามิลินท์ยังคลางแคลงพระทัย จึงขอให้ท่านอุปมาให้เข้าใจหน่อย             พระนาคเสนจึงตอบว่า "มหาบพิตร เหมือนต้นไม้พืชพันธุ์ทั้งหลายที่ยังไม่ได้ผลิดอกออกผล ผลอยู่ที่ตรงไหน มหาบพิตรจะชี้บอกแก่อาตมาได้หรือไม่" 
      พระยามิลินท์   .."พระคุณเจ้าจะให้โยมชี้ต้นไม้ที่ยังไม่มีผลว่าผลมันอยู่ตรงไหน โยมชี้ไม่ได้หรอกพระคุณเจ้า" 
        พระนาคเสนท่านจึงสรุปว่า "อาตมาบอกมหาบพิตรให้ชี้ให้ดู พระองค์ก็ทรงชี้ไม่ได้ฉันใด  อาตมานี้ก็มิอาจชี้กรรมของบุคคลทั้งหลาย ว่าผลกรรมไปอยู่ตรงนั้นตรงนี้ได้เช่นกัน แต่กรรมที่ตนกระทำไว้จะต้องติดตามตัวผู้นั้นไปอย่างแน่นอน"

     พอพระยามิลินท์ได้ฟังพระเถรวิสัชนาปัญหาได้อย่างสุขุมลุ่มลึกเช่นนั้น  พระทัยสว่างขึ้นเหมือนกับคนที่หลงอยู่ในความมืด ได้พบแสงสว่าง ใจเกิดความปีติเบิกบานในอรรถรสของการแก้ไขปัญหาของผู้รู้ เริ่มยอมรับนับถือพระนาคเสน แต่ยังไม่แสดงออกว่าตัวยอมแพ้ เพราะในใจอยากถามปัญหาอีกมากมาย

     เราจะเห็นว่า การตอบปัญหาของท่านผู้รู้สมัยก่อนล้วนเป็นประโยชน์ต่อพวกเรามาก ปัญหาที่น่ารู้ยังมีอีกมากมาย หลวงพ่อจะค่อยๆ ทยอยนำมาเล่าให้ได้ศึกษากันเอาไว้ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในผลแห่งการทำความดีว่าจะติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติแน่นอน ไม่ทอดทิ้งเราไปไหน จะติดอยู่ในศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในใจ ในเห็น จำ คิด รู้ ของเราไปทุกหนทุกแห่ง หากเป็นบุญก็คอยสนับสนุนส่งเสริมชีวิตเราให้พบแต่สิ่งที่ดีๆ หากเป็นบาปอกุศลจะคอยให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน  ดังนั้นให้พวกเราทุกคนตั้งใจทำความดีกันต่อไป หมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมให้ได้ทุกๆ วัน แล้วเราจะสมปรารถนาได้เข้าถึงธรรมกันทุกๆ คน

จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๔๗๗-๔๘๖

อ้างอิง.......มิลินทปัญหา (ฉบับแปลโดย ปุ้ย แสงฉาย)

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2563

เส้นทางจอมปราชญ์ (๔)

เส้นทางจอมปราชญ์ (๔)
 
              พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า...

"กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ
การได้ฟังพระสัทธรรมนั้นเป็นการยาก"

     ไม่ใช่ง่ายเลยที่ธรรมะอันบริสุทธิ์อันเป็นแสงสว่างของโลกมาบังเกิดขึ้น  เพราะกว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้นได้สักหนึ่งพระองค์นั้น พระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ต้องสั่งสมบารมีกันอย่างยิ่งยวด เกิดแล้วเกิดอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน เป็นเวลาอย่างน้อยก็ ๒๐ อสงไขยกับแสนมหากัป จึงจะมีผู้แสดงธรรมบังเกิดขึ้นในโลกสักคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเวลายาวนานมาก การที่เราจะได้ฟังพระสัทธรรมจึงเป็นการยาก ดังนั้น เมื่อเราเป็นผู้มีโชคแล้ว ก็รักษาความเป็นผู้มีโชคนี้ไว้ให้ดี ให้หมั่นฟังธรรมและประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

      ต่อจากครั้งที่แล้ว หลังจากที่พระนาคเสนออกบวช และร่ำเรียนจนกระทั่งแตกฉานในปริยัติธรรมแล้ว แต่การปฏิบัติยังไม่สมบูรณ์พร้อมที่จะนำไปสู่ปฏิเวธ พระอาจารย์สมัยก่อนท่านให้ความสำคัญกับปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธมาก เพราะจะทำให้ผู้นั้นเป็นที่พึ่งของมหาชน และยังเป็นที่พึ่งให้กับตัวเองอีกด้วย เมื่อพระธรรมรักขิตเถระเห็นนาคเสนภิกษุเรียนจบแล้ว จึงเอ่ยเตือนว่า "ท่านนาคเสน ตัวท่านเป็นเหมือนคนเลี้ยงโค แต่ไม่รู้จักรสของนมโคเลย แม้ท่านจะแตกฉานในพระไตรปิฎกสักแค่ไหน แต่ไม่รู้รสแห่งธรรมอันเกิดจากการฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง การบวชก็ยังไม่สมบูรณ์"

      พระนาคเสนได้ฟังดังนั้น ท่านก็ได้คิด จึงตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมจนกระทั่งหยุดใจได้สนิทสมบูรณ์ เข้าถึงธรรมกายอรหัตเป็นพระอรหันต์ หมดสิ้นอาสวกิเลส นี่คือจุดเริ่มต้นของตำนานที่ยิ่งใหญ่ในทางพระพุทธศาสนา  เพราะต่อไป ท่านได้ใช้ดวงปัญญาอันบริสุทธิ์ของท่านไปแก้ไขปัญหาของพระราชาผู้มากด้วยทิฏฐิ

      ส่วนพระยามิลินท์นั้น เป็นผู้รักการสนทนาธรรมเป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว  กอปรกับตัวพระองค์เองก็เป็นผู้ที่มีปัญญา จึงเที่ยวถามปัญหากับสมณพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียงในยุคนั้นจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศ พระองค์เที่ยวถามปัญหากับใครต่อใครจำนวนมาก มีอยู่วันหนึ่งทราบข่าวจากข้าราชบริพารว่า มีพระมหาเถระชื่อว่า อายุปาละ อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง จึงดำริที่จะไปซักถามปัญหา เนื่องจากฟังมาว่า พระเถระเป็นผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรม จึงตั้งใจเสด็จไปเป็นพิเศษ ออกจากพระราชวังเข้าไปสู่สำนักของพระอายุปาละ นมัสการท่านและเอ่ยถามทันทีว่า "การบรรพชาของพระคุณเจ้ามีอะไรเป็นประโยชน์สูงสุด"

      พระเถระตอบพระราชาไปว่า "กิจของการบรรพชานี้จัดว่าเป็นธรรมจริยา และสมจริยา" 
     พระราชาจึงตรัสถามต่อว่า "ถ้าเป็นฆราวาสผู้มีธรรมจาริสมจารี ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ประพฤติสมํ่าเสมอเล่า จะมีคุณวิเศษหรือไม่" 
    พระเถระตอบว่า "แม้เป็นฆราวาสเมื่อเป็นธรรมจาริสมจารีบุคคล ยินดีเลื่อมใสในพระรัตนตรัย สมาทานศีล และหมั่นเจริญภาวนา ก็จัดว่าเป็นผู้ประพฤติให้เป็นประโยชน์ เมื่อสมัยพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ก็ทรงแสดงธรรมโปรดมนุษย์และเทวาทั้งหลาย ให้บรรลุธรรมกันมากมายนับไม่ถ้วน"

       พระราชาตรัสต่อไปว่า "ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า  ความเป็นคฤหัสถ์ และการบรรพชาของพระคุณเจ้าทั้งหลายก็เสมอกันนะซิ ถ้าอย่างนั้น  ภิกษุสงฆ์ที่ถือธุดงค์ต่างๆ ชะรอยว่าได้สร้างกรรมไว้แต่ปางก่อน กลุ่มที่ถือเอกา ฉันมื้อเดียว ชาติก่อนคงเป็นโจรไปขโมยอาหารเขามา ครั้นชาตินี้ ผลกรรมดลจิตให้ฉันหนเดียว จะว่าไปแล้วการบรรพชาก็ไม่มีผลอะไร ศีลสังวรวินัยก็ไม่มีผล 
        ส่วนกลุ่มที่ถือธุดงค์อยู่ในกลางแจ้ง เมื่อก่อนคงเป็นโจรปล้นทำลายบ้านเมืองเขา ทำให้เจ้าของต้องทรมานหาที่อยู่ไม่ได้ ผลอกุศลก็ดลใจให้ถืออัพโภกาสิกธุดงค์ หาที่นั่งที่นอนไม่ได้ ธุดงค์คุณ และพรหมจรรย์ก็เป็นของสูญเปล่าละสิ

       ส่วนท่านที่ถือธุดงค์เนสัชชิกังคะ นั่งอย่างเดียว ชาติก่อนคงจะเป็นโจร  คอยดักปล้นชาวบ้านตามที่ต่างๆ พอจับเจ้าของได้ก็ผูกมัดรัดมือไว้ แล้วเก็บเอาข้าวของโคกระบือไป ผลกรรมเลยทำให้ผูกพันกับเนสัชชิกธุดงค์ จะนอนลงไปก็ไม่ได้ นั่งก็แสนจะลำบาก โยมคิดดูแล้ว ธุดงค์นี้ไม่มีผล จะเป็นศีลก็ไม่ใช่ จะเป็นตบะหรือพรหมจรรย์ก็ไม่ใช่ ไม่รู้ว่าเมื่อเป็นอย่างนี้ จะรักษาธุดงค์ไปทำไม ในเมื่อคฤหัสถ์ก็บรรลุธรรมได้ เป็นคฤหัสถ์ไม่ดีกว่าหรือพระคุณเจ้า"

         เมื่อพระราชาพูดจบ พระเถระท่านไม่อยากจะโต้ตอบกับพระราชาอีก จึงนั่งนิ่งๆ ไม่ตอบอะไร พระราชาก็เลยตบมือเยาะเย้ย ประกาศทันทีว่า "ดูก่อนชาวประชาทั้งหลาย เราคิดว่า ชมพูทวีปนี้ ไม่มีใครมีปัญญาที่จะเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธองค์ หรือสามารถที่จะแก้ข้อสงสัยของเราได้" 
          จริงๆ แล้วปัญหาที่พระยามิลินท์ถามนั้น ไม่ใช่พระเถระตอบไม่ได้ แต่ท่านไม่อยากจะให้พระราชาได้บาป จึงนิ่งเสีย เพราะการไม่แก้ปัญหาไม่ถือว่าเสื่อมเสียอะไร  ฝ่ายพระราชาเจ้าปัญญา    ก็คิดที่จะถามปัญหากับพระภิกษุรูปอื่นๆ อีก จึงตรัสถามพวกข้าราชบริพารว่า "ยังมีพระภิกษุรูปใดที่มีปัญญาอีกบ้าง"

         อำมาตย์คนหนึ่ง ได้ยินเขาเล่าลือถึงความเก่งกาจของพระนาคเสนว่า  เป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัยยิ่งนัก จึงกราบทูลพระราชาว่า "บัดนี้ ยังมีพระภิกษุหนุ่มอยู่รูปหนึ่งพระเจ้าข้า ท่านแตกฉานในพระไตรปิฎก มีนามว่า พระนาคเสน" เพียงได้สดับคำว่า นาคเสนเท่านั้น พระราชาถึงกับเกิดอาการขนพองสยองเกล้า กลัวฤทธิ์เดชของท่าน 
         แต่ด้วยความที่จิตใจเป็นผู้ใฝ่รู้ ใคร่ศึกษา อยากจะสนทนาธรรมกับบัณฑิต จึงสั่งอำมาตย์ว่า "อย่าช้าเลย พวกเจ้าทั้งหลายจงไปนิมนต์ท่านให้เข้ามาในราชฐานทีเถิด" ราชวัลลภก็กระวีกระวาดไปอาราธนาพระนาคเสนมา

       พระนาคเสนได้ฟังคำนิมนต์ ก็ตอบว่า "ดูก่อนท่านทูต ท่านจงกลับไปทูลพระราชาเถิดว่า อาตมาขอเชิญพระองค์เสด็จมายังสำนักของอาตมา" ทูตได้ฟังดังนั้นก็กลับไปทูลพระราชาตามคำของพระเถระ พระเถระท่านไม่หวั่นเกรงในกิตติศัพท์ความเป็นผู้มีปัญญาของพระราชา ผู้รู้จริงและรู้แจ้งนี้   ไม่มีอะไรจะต้องหวาดหวั่น เพราะท่านรู้แจ้งเห็นจริง ทั้งนิพพาน ภพสาม โลกันต์ ฉะนั้นเรื่องราวในโลกหรือเรื่องนอกโลกท่านรู้เห็นหมด ทำให้ไม่จำเป็นต้องหวาดหวั่นอะไร

       พอราชทูตกลับมาถวายรายงาน บ่ายนั้นพระองค์ก็เสด็จขึ้นราชรถมุ่งตรงต่อสำนักของพระนาคเสนทันที ไปถึงก็ลงจากราชรถแล้วดำเนินไป ขณะนั้นเป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์กำลังประชุมกันอยู่ ทำให้มองไม่ออกว่าองค์ไหนคือพระนาคเสน จึงตรัสถามอำมาตย์ เมื่อทราบว่าภิกษุผู้นั่งอยู่ท่ามกลางคณะสงฆ์คือพระนาคเสน พอได้เห็นแค่นั้นก็หวาดหวั่นในพระทัย เหมือนกวางเห็นเสือ เหมือนหมู่เนื้อเห็นพญาราชสีห์อย่างนั้น เพราะท่านทั้งสองเคยเกิดเป็นอาจารย์ลูกศิษย์กันมาก่อน

        พระยามิลินท์เดินเข้าไปใกล้พระนาคเสน นมัสการท่าน ทรงทำปฏิสันถาร ทักทายปราศรัยกันพอสมควร พระยามิลินท์จึงเอ่ยก่อนว่า "ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ โยมนี้ปรารถนาจะเจรจากับพระคุณเจ้า พระนาคเสนจึงกล่าวว่า “มหาบพิตรผู้ประเสริฐ พระองค์เจรจาไปเถิด อาตมภาพปรารถนาจะฟัง” 
      พระยามิลินท์จึงมีดำรัสว่า “ข้าพเจ้าเจรจาแล้ว พระคุณเจ้าฟังเอาเถิด” 
       พระนาคเสนก็ตอบว่า “อาตมภาพก็ฟังแล้ว” 
       พระยามิลินท์ตรัสถามว่า “พระคุณเจ้าฟังแล้ว ได้ยินว่าอย่างไร”  
       พระนาคเสน        "ได้ยินคำที่มหาบพิตรเจรจาแล้วนั่นแหละ” 
       พระยามิลินท์จึงตรัสว่า “ข้าพเจ้าจะถามพระคุณเจ้า”  
       พระนาคเสน     “เชิญถามเถิด” 
       พระยามิลินท์      “ข้าพเจ้าถามแล้ว” 
       พระนาคเสน       “อาตมาภาพวิสัชนาแล้ว”
       พระยามิลินท์   “ท่านวิสัชนาว่าอย่างไร”
       พระนาคเสน     "มหาบพิตรถามอาตมภาพว่าอย่างไรเล่า” 
       เมื่อพระนาคเสนตอบอย่างนี้ ประชาชนก็ให้สาธุการแก่พระนาคเสน เพราะท่านมีปฏิภาณเป็นเลิศ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของปัญหา  ยังมีปัญหาน่ารู้น่าสนใจอีกมาก ที่หลวงพ่อจะถือโอกาสนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไป

       จะเห็นได้ว่า ผู้มีปัญญาที่แท้จริง เมื่อเกิดคำถามก็ย่อมแสวงหาผู้รู้ อยากฟังถ้อยคำของบัณฑิต เพราะหัวข้อธรรมแม้บทเดียวก็มีค่ามหาศาล เพราะคำนั้นคือแสงสว่างแห่งปัญญา การฟังถ้อยคำที่เป็นอรรถเป็นธรรมเช่นนี้ มิใช่เกิดขึ้นได้ง่าย 
         ดังนั้นเราทั้งหลายควรหาโอกาสหมั่นฟังธรรมทุกๆ วัน จะได้มีดวงปัญญาสว่างไสว มีธรรรมะเป็นอาภรณ์ แล้วจะได้ทำหน้าที่เป็นยอดกัลยาณมิตร ผู้นำความสว่างไสวไปจุดประกายในดวงใจชาวโลกได้อย่างองอาจ อีกทั้งจะเป็นพลวปัจจัยให้ได้เข้าถึงพระธรรมกายกันอย่างง่ายดาย


จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๔๖๘-๔๗๖

อ้างอิง.......มิลินทปัญหา (ฉบับแปลโดย ปุ้ย แสงฉาย)

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...