วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

สมปรารถนาได้ด้วยบุญ

สมปรารถนาได้ด้วยบุญ
 
              พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ มุ่งทำความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจเป็นอันดับแรก ส่วนเรื่องอื่นนั้นให้เป็นเรื่องรองลงมา เพราะเรายังมีกิจที่จะต้องทำให้รู้แจ้งให้ได้ ว่าเราเกิดมาจากไหน  มาทำไม  อะไรคือเป้าหมายของชีวิต  เพราะฉะนั้น เราจึงควรหมั่นฝึกฝนอบรมจิตใจของเราให้หยุดให้นิ่ง จนกระทั่งเข้าถึงผู้รู้แจ้งภายในคือพระธรรมกาย

     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ปฐมชนสูตร ความว่า...

     “ชีวิตถูกชรานำเข้าไปใกล้ความตาย ผู้ที่ถูกชรานำเข้าไปใกล้แล้ว ย่อมต้านทานไว้ไม่ได้ เมื่อบุคคลเล็งเห็นภัยในความตายนี้ ควรทำบุญอันจะนำความสุขมาให้”

      สรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้ว ล้วนมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ยากจนหรือร่ำรวย ต่างต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตายทั้งนั้น มีเพียงบุญ และบาปเท่านั้น ที่จำแนกสัตว์ให้มีความแตกต่างกัน ความต่างกันจึงอยู่ที่การสั่งสมบุญของแต่ละคน ผู้ที่สั่งสมบุญเอาไว้มาก ชีวิตจะมีความสุข และปลอดภัยทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ละโลกไปแล้วจะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป

     การเดินทางไกลในสังสารวัฏ เสบียงเดินทางที่ดีที่สุดไม่มีอะไรดีไปกว่าบุญ  บุญเป็นมิตรแท้ติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ  คอยสนับสนุนส่งเสริมให้เราประสบความสำเร็จในชีวิต ธุรกิจการงาน และสิ่งที่พึงปรารถนา ผู้มีปัญญาจึงไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต หมั่นสั่งสมบุญบารมีให้มากที่สุด จะเป็นเหตุให้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิตโดยเร็วพลัน

      ในอดีตกาล มีกุฎุมพีคนหนึ่ง เดินพักผ่อนอยู่ในป่า ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังพับจีวรที่เย็บไม่เสร็จ เพราะผ้าไม่พอ เมื่อเขาเข้าไปถามว่า "ทำไมไม่เย็บต่อให้เสร็จครับ" พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ตอบว่า "ผ้าไม่พอ อุบาสก" กุฎุมพีจึงน้อมถวายผ้าแด่ท่าน พร้อมกับตั้งความปรารถนาว่า "ด้วยบุญนี้ ขอความเสื่อมทั้งหมดอย่าได้มีแก่กระผมทุกภพทุกชาติที่กระผมไปเกิดแล้วเลย"

      แม้จะทำบุญด้วยไทยธรรมเพียงเล็กน้อย เเต่ได้ทำถูกเนื้อนาบุญ เมื่อละโลกไปแล้ว ทำให้กุฎุมพีไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานสว่างไสวกว่าเทวดาทั่วๆ ไป เป็นเทวดาผู้มีอานุภาพมาก เสวยทิพยสมบัติเป็นเวลายาวนาน ครั้งหนึ่ง ท่านได้จุติลงมาเกิดเป็นลูกอำมาตย์อยู่นอกเมืองพาราณสีชื่อว่า นันทกุมาร

      เมื่อเติบโตเป็นหนุ่ม มารดาได้นำผ้าอย่างดีมาให้สวมใส่ แต่นันทกุมารกลับตำหนิผ้าผืนนั้นว่า “เป็นผ้าเนื้อหยาบเกินไป ใส่แล้วระคายผิว” มารดาจึงไปหาผืนอื่นที่ดีกว่ามาให้อีก แม้ผ้าผืนอื่นๆ นันทกุมารยังคงรู้สึกว่าเนื้อหยาบเกินไป มารดาจึงพูดประชดลูกชายว่า “ลูกเอ๋ย ผ้าที่เนื้อละเอียดกว่านี้ไม่มีแล้ว แม่รักลูกมากยิ่งกว่าใครๆ ปรารถนาจะให้เจ้าได้สมบัติในกรุงพาราณสีในวันนี้เลยทีเดียว”

      นันทกุมารบอกมารดาว่าจะไปนอกบ้านเพื่อหาผ้าดีๆ มาใส่เอง ท่านเดินทางเข้าไปเมืองพาราณสี และนอนเล่นอยู่ในพระราชอุทยาน โดยเอาผ้าคลุมศีรษะ แล้วเผลอหลับไปบนแผ่นหินใหญ่  ในวันนั้นเองเป็นวันที่พระเจ้าพาราณสีสวรรคตได้ ๗ วัน พวกปุโรหิตได้เสี่ยงบุษยราชรถ คือรถที่เทียมด้วยม้าอาชาไนย ๔ ตัว ให้วิ่งไปหาผู้มีบุญที่จะได้เป็นกษัตริย์ ถ้าพบผู้มีบุญรถจะหยุดเอง บุษยราชรถวิ่งมุ่งตรงไปพระราชอุทยาน แล้ววิ่งมาเวียนประทักษิณรอบนันทกุมารซึ่งกำลังนอนหลับอยู่

      ปุโรหิตติดตามรถมาพบเข้า ตรวจดูฝ่าเท้าทั้งสองข้าง แล้วกล่าวว่า “กุมารนี้เป็นผู้มีบุญมาก อย่าว่าแต่โลกนี้เลย แม้โลกทั้ง ๔ มีทวีปอีก ๒,๐๐๐ เป็นบริวาร ถ้าหากเขาปรารถนาก็จะได้สมใจ” จึงสั่งให้ประโคมดนตรีขึ้น ๓ ครั้ง นันทกุมารได้ยินเสียงมหาชนจึงตื่นขึ้น แล้วถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็รู้ว่าพระราชาเสด็จสวรรคต และไม่มีพระโอรส จึงไม่มีผู้ครองราชย์ต่อ   มหาชนต่างพร้อมใจกันอภิเษกท่านกับพระราชธิดาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อไป

      ในวันขึ้นครองราชย์ อำมาตย์ได้น้อมนำผ้าเนื้อดีที่มีค่าแสนกหาปณะเข้าไปถวาย  พระราชาตรัสว่า “นี่เป็นผ้าเนื้อหยาบมิใช่หรือ” พวกอำมาตย์กราบทูลว่า “ในบรรดาผ้าที่มนุษย์ใช้กันอยู่ ผ้าที่ละเอียดกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว พระเจ้าข้า” พระราชาทรงรับสั่งให้นําน้ำเต้าทองมารินใส่พระหัตถ์ แล้วสาดไปทางทิศตะวันออก

      ทันใดนั้นเอง ต้นกัลปพฤกษ์ได้ผุดแทรกแผ่นดินขึ้นมา ทรงสาดน้ำไปทั้งสี่ทิศ ต้นกัลปพฤกษ์ก็บังเกิดขึ้นทุกทิศ ทิศละ ๘ ต้น แล้วผ้าทิพย์ก็เกิดขึ้นบนต้นกัลปพฤกษ์ พระราชาทรงนุ่งห่มผ้าทิพย์ที่ได้มาด้วยกำลังบุญของท่าน แล้วประกาศว่า “ต่อไปนี้ในแคว้นของเรา พวกผู้หญิงไม่ต้องกรอด้าย และทอผ้าอีกต่อไป ใครอยากได้ผ้าก็ให้มาเอาจากต้นกัลปพฤกษ์นี้” ตั้งแต่นั้นมา มหาชนชาวชมพูทวีปต่างก็อยู่ดีมีสุขด้วยอานุภาพบุญของพระราชา

       กาลเวลาล่วงไป พระเทวีได้เห็นสมบัติมากมายของพระราชา จึงดำริที่จะให้พระองค์บำเพ็ญกุศล แต่พระราชาก็ไม่ได้ทำบุญกุศลอะไร จึงตักเตือนพระราชาว่า “ข้าแต่สมมติเทพ สมบัติมากมายเหล่านี้ เกิดขึ้นเพราะบุญเก่าของพระองค์ แต่พระองค์ควรสั่งสมบุญใหม่ให้ยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย เพราะบัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญความไม่ประมาท”

     พระราชาตรัสถามว่า “แล้วเราจะให้ทานแก่ใครล่ะ เพราะสมณะก็ไม่มีเลย” พระเทวีกราบทูลว่า “ธรรมดาโลกนี้ไม่เคยว่างเปล่าจากพระอรหันต์ ขอพระองค์ทรงจัดเตรียมมหาทานเถิด หม่อมฉันจะเป็นผู้นิมนต์พระมาในวันพรุ่งนี้” พระราชาทรงรับสั่งให้จัดเตรียมทานที่ประณีตสำหรับสมณะไว้มากมาย  วันรุ่งขึ้นพระเทวีได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า “หากทิศใดมีพระอรหันต์ ขอสมณะทั้งหลาย โปรดมาเป็นเนื้อนาบุญให้กับพระราชาด้วยเถิด”

      ขณะนั้นเอง พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ ซึ่งอยู่ในป่าหิมพานต์ รับรู้ถึงการอาราธนาของพระเทวี จึงพากันเหาะมาลงที่ประตูพระราชวัง พระราชาพร้อมกับพระเทวีทรงเสด็จมานมัสการแล้วรับบาตร นิมนต์ให้ท่านฉันภัตตาหารที่ประณีต เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าได้กล่าวสัมโมทนียกถาให้ฟังว่า “เมื่อเรือนถูกไฟไหม้แล้ว เจ้าของเรือนขนเอาภาชนะใดออกไปได้ ภาชนะนั้นย่อมเป็นประโยชน์แก่เขา ส่วนสิ่งของที่มิได้ขนออกไป ย่อมไหม้ในกองเพลิงนั้น ฉันใด โลกคือหมู่สัตว์ อันชรา และมรณะแผดเผาแล้ว ก็ฉันนั้น ควรนำโภคทรัพย์ออกด้วยการให้ วัตถุที่ให้แล้วได้ชื่อว่านำออกดีแล้ว ทานวัตถุที่ให้แล้วนั้น ย่อมมีสุขเป็นผล ส่วนที่ยังมิได้ให้ บางครั้งโจรยังปล้นเอาไปได้ พระราชายังริบได้ ถูกไฟไหม้บ้างหรือสูญหายไปบ้าง

     อนึ่ง บุคคลจำต้องละร่างกายพร้อมทั้งสิ่งของนั้น ผู้มีปัญญารู้ชัดดังนี้แล้ว ควรใช้สอย และให้ทานเถิด เมื่อได้ให้ทาน และใช้สอยตามควรแล้ว จะไม่ถูกติฉินนินทา ละโลกไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์”  

      พระราชาได้สดับพระธรรมกถานั้นแล้ว ทรงมีพระทัยเบิกบาน จึงทุ่มเททำบุญจนตลอดชีวิต ไม่เคยขาดการให้ทานเลยแม้แต่วันเดียว ทรงประกอบแต่กุศลกรรม และมีสุคติภูมิเป็นที่ไปในภพเบื้องหน้า

      จากตัวอย่างข้างต้นนี้ ทำให้ได้ข้อคิดว่า เราจำเป็นต้องขวนขวายในการบำเพ็ญบุญกุศลอย่างเต็มกำลัง นอกจากเราจะหาทรัพย์มาเลี้ยงชีพในชาตินี้แล้ว ยังต้องแสวงหาบุญเพื่อเป็นเสบียงสำหรับเดินทางในภพชาติเบื้องหน้าอีกด้วย โดยเฉพาะยอดนักสร้างบารมีอย่างพวกเรา ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด ก็ไม่ควรว่างเว้นจากการสั่งสมบุญ เพราะเราเกิดมาสร้างบารมี มีมรรคผลนิพพานเป็นแก่นสาร มีที่สุดแห่งธรรมเป็นเป้าหมาย จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างบารมีให้มากๆ และต้องขยันปฏิบัติธรรมให้มากๆ ด้วย ให้ทุกท่านอย่าละเลยการฝึกใจให้หยุดนิ่ง เพื่อเราจะได้เข้าถึงพระธรรมกายกันทุกๆ คน


จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๓๑๑-๓๑๙

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ

(ภาษาไทย) เล่มที่  ๒๖   หน้า ๖๐๘

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ผู้นำประโยชน์สุขมาให้แก่ชาวโลก

ผู้นำประโยชน์สุขมาให้แก่ชาวโลก
 
             เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราว ไม่ช้าก็ต้องจากไป แม้ทรัพย์สมบัติภายนอกที่มีอยู่ เราก็ไม่สามารถเอาติดตัวไปได้ สิ่งที่จะติดตัวเราไป มีเพียงบุญกับบาปเท่านั้น ถ้าหากเราสั่งสมบุญ ชีวิตเราจะมีคุณค่า เกิดมาแล้วมีชีวิตไม่ว่างเปล่า เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น เพราะเราได้ใช้วันเวลาอันน้อยนิดที่มีอยู่ในโลกนี้สร้างบารมีอย่างเต็มที่โดยไม่ประมาท เช่นเดียวกับพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน สังฆโสภณสูตร ความว่า...

     “ผู้ใดเป็นคนฉลาด แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ทรงธรรม และเป็นผู้ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้เป็นเช่นนั้นท่านเรียกว่า เป็นผู้ยังหมู่ให้งดงาม”

       ผู้มีสัมมาทิฏฐิเมื่อบังเกิดขึ้นในโลก ย่อมยังมหาชนให้รู้จักเส้นทางอันประเสริฐของชีวิต ด้วยการแนะนำให้สั่งสมบุญบารมี ชี้เส้นทางไปสุคติโลกสวรรค์ทางไปพระนิพพาน ผู้มีสัมมาทิฏฐินี้  ชื่อว่าเป็นบัณฑิตที่แท้จริง  เพราะคอยประคับประคองตนเองและผู้อื่น ให้ดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ทั้งทางโลกและทางธรรม เหมือนดวงจันทร์ที่คอยขจัดความมืดมิด ชี้ทางสว่างให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย เดินไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย

       ผู้เป็นนักปราชญ์บัณฑิต มีสัมมาทิฏฐิ นอกจากตนเองจะคิดดีพูดดีทำดีเป็นปกติ และมีคุณธรรมประจำตัวแล้ว ยังมีจิตใจสูงส่ง เสียสละเวลาแนะนำให้คนรอบข้างได้เข้าใจโลกและชีวิตไปตามความเป็นจริงได้ด้วย บุคคลเช่นนี้ ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด ย่อมนำแต่ความสุขสวัสดี และชื่อเสียงอันดีงามมาสู่สถานที่นั้น  ท่านจึงเรียกว่า ผู้ทำให้หมู่คณะงดงาม

       เหมือนในอดีต  พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกของปุโรหิต ในวันที่ท่านเกิดนั้น  สรรพาวุธในคลังพระแสงเปล่งแสงสว่างไสวไปทั่วพระนคร ปุโรหิตจึงตั้งชื่อให้ลูกชายว่า โชติปาละ

       เมื่อโชติปาละเจริญวัยขึ้น ปุโรหิตให้การศึกษาศิลปวิทยามากมาย จนกระทั่งแตกฉานชำนาญทั้งทางโลกและทางธรรม ชื่อเสียงอันดีงามก็ฟุ้งขจรไป ต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สอนธรรมแก่พระราชาถึง ๗ พระองค์  สั่งสอนประชาชนให้ตั้งอยู่ในความดี  ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ สิ่งที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์  ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่ท่านมากมาย เปรียบเสมือนแม่น้ำใหญ่ที่ไหลหลากมาฉะนั้น แต่พระโพธิสัตว์ไม่ได้ยึดติดในลาภสักการะนั้น  ท่านกลับมีความคิดว่า เราจะบำเพ็ญทานบารมีให้บริบูรณ์

       คิดดังนั้น ท่านจึงสร้างโรงทานขึ้น ๖ แห่ง และบริจาคทรัพย์สร้างมหาทานบารมีมากมายทุก ๆ วัน ของสิ่งใดมีผู้นำมามอบให้ ท่านก็นำสิ่งของนั้นออกบริจาคทานจนหมด  กระทำอยู่อย่างนี้โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย   ยิ่งทำก็ยิ่งมีความสุขใจ ไม่รู้จักอิ่มในบุญ ปรารถนากระทำบุญให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

       ประชาชนต่างมารับบริจาคทานของท่านอย่างเนืองแน่น แล้วยังช่วยกันประกาศคุณความดีของท่านไปทั่วเมือง กิตติศัพท์อันดีงามจึงฟุ้งขจรขจายไปทั่วสารทิศ เพราะความฉลาดปราดเปรื่อง มีสติปัญญาเป็นเลิศ สามารถแก้ปัญหาได้ทุกข้อ และไม่รู้จักอิ่มในการให้ทานของท่าน   ประชาชนจึงขนานนามใหม่ให้ท่านว่า มหาโควินทะ

       พระโพธิสัตว์แม้จะทุ่มเทให้ทานมากมาย แต่ก็ไม่เคยบกพร่องภารกิจที่สำคัญ คือการถวายความรู้แด่พระราชาทั้ง ๗ พระองค์ และท่านยังแบ่งเวลาสอนศิลปวิทยาให้แก่พราหมณ์มหาศาล ๗ ตระกูล อีกทั้งยังสอนมนต์ให้พวกช่างตัดผมอีก ๗๐๐ คน ต่อมาท่านมีความปรารถนาจะหลีกเร้นเพื่อเจริญพรหมวิหารธรรม เพื่อสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

       สนังกุมารพรหมรู้วาระจิตของท่าน จึงลงจากพรหมโลก แล้วมาปรากฏกายเปล่งรัศมีสว่างไสวต่อหน้าของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ให้การต้อนรับด้วยเครื่องสักการะมากมาย แล้วถามมหาพรหมว่า “ทำอย่างไรถึงจะไปเกิดในพรหมโลก” สนังกุมารพรหมบอกพระโพธิสัตว์ถึงทางที่จะไปสู่พรหมโลกว่า “ท่านผู้ประเสริฐ สัตว์ละความยึดมั่นถือมั่นในสังขาร เป็นอยู่ลำพังเพียงผู้เดียว มีใจประกอบด้วยเมตตาในสรรพสัตว์ น้อมไปในกรุณาอย่างเดียว เว้นขาดจากเมถุนธรรม เมื่อศึกษาแล้วตั้งอยู่ในธรรมเหล่านี้ ย่อมถึงพรหมโลกอันเป็นอมตะได้”

       ครั้นพระโพธิสัตว์ได้ฟังวิธีการไปสู่พรหมโลกแล้ว ก็ปรารถนาที่จะออกบวช เพราะมองเห็นว่าการบวชเท่านั้น ที่จะทำให้พรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ พรหมจึงอนุโมทนาว่า “ดีแล้วท่านมหาบุรุษ ถ้าท่านออกบวช การมาของข้าพเจ้านับว่าไม่ไร้ประโยชน์ ท่านเป็นอัครบุรุษของชาวชมพูทวีป ยังอยู่ในปฐมวัย การละโภคทรัพย์สมบัติแล้วออกบวช เป็นความประเสริฐยิ่งนัก เหมือนช้างป่าทำลายเครื่องผูกที่ทำด้วยเหล็ก แล้วกลับไปป่าฉะนั้น” แล้วสนังกุมารพรหมก็ลากลับพรหมโลก

       พระโพธิสัตว์ฟังคำของพรหมแล้ว มีความคิดว่า “ถ้าออกจากเมืองไปบวชทันทีโดยมิได้บอกลาใคร จะไม่เป็นการสมควร เพราะเรายังถวายอนุศาสน์แด่ราชตระกูลอยู่” ท่านเก็บความตั้งใจดีนี้ไว้ จนถึงวันรุ่งขึ้น จึงเข้าไปทูลลาพระราชา พระราชาทุกพระองค์ ต่างเห็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าของท่าน จึงตัดสินใจออกบวชตามทั้ง ๗ พระองค์ แม้ลูกศิษย์ของท่านก็พากันออกบวชตามเป็นจำนวนมาก

       เมื่อพระโพธิสัตว์ออกบวชอยู่ในป่า ทำฌานสมาบัติให้เกิด เป็นมหาฤๅษีที่มีลูกศิษย์แวดล้อมเป็นอันมาก เที่ยวจาริกแสดงธรรมตามสถานที่ต่างๆ แนะนำมหาชนให้ตั้งมั่นอยู่ในบุญกุศล ไม่ว่าท่านจะเดินทางไปที่ใด มหาชนจะพากันสร้างมณฑปไว้ล่วงหน้า ตกแต่งประดับประดาเพื่อคอยต้อนรับท่านเป็นอย่างดี

        พระโพธิสัตว์ได้สั่งสอนให้มหาชนตั้งมั่นอยู่ในศีล สำรวมอินทรีย์ รู้จักการใช้สอยสิ่งของแต่พอสมควร ให้หมั่นประกอบความเพียรอันเป็นเครื่องกำจัดกิเลส เจริญสมาธิภาวนาชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ท่านบำเพ็ญบารมีด้วยการเที่ยวสอนธรรมให้มหาชนเข้าถึงพรหมโลก ผู้ที่ปฏิบัติได้ไม่เต็มที่ก็ไปบังเกิดบนสวรรค์ หรืออย่างน้อยก็ไปบังเกิดเป็นคนธรรพ์  เมื่อละโลกไปแล้ว ท่านเองได้ไปเกิดในพรหมโลก

     เราจะเห็นว่า ที่ใดมีบัณฑิต ที่นั่นย่อมสว่างไสวไปด้วยแสงแห่งธรรม ผู้คนรอบข้างจะพลอยเป็นผู้ไม่ประมาทมัวเมาในชีวิต เห็นโทษเห็นภัยในการเกิด แล้วรีบสั่งสมบุญบารมี ทำความดีตามแบบอย่างของบัณฑิต ความร่มเย็นเป็นสุขจึงบังเกิดขึ้น

     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็นยอดนักปราชญ์บัณฑิต เป็นผู้ทำหมู่คณะให้งดงาม ให้โลกนี้เกิดสันติภาพได้อย่างแท้จริง เพราะพระองค์ทรงเข้าถึงฝั่งแห่งใจหยุดนิ่งซึ่งเป็นแหล่งแห่งความสุขและความบริสุทธิ์ การฝึกใจให้หยุดนิ่ง จึงเป็นการดำเนินตามปฏิปทาที่พระองค์ได้แนะนำไว้ แสงสว่างภายในที่เกิดจากใจหยุดนิ่งนี้ ผู้มีรู้มีญาณทั้งหลาย สามารถสัมผัสรับรู้ได้ แม้เทวดาก็อนุโมทนา เป็นเหตุให้ได้รับการคุ้มครองรักษา ถ้าหากเราหมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่ง ชำระกาย วาจา ใจให้บริสุทธิ์ ผ่องใสอยู่เสมอ ความคิดคำพูดและการกระทำก็พลอยบริสุทธิ์ถูกต้องตามไปด้วย 

     ฉะนั้น ให้ทุกคนหมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่งให้ได้ทุกวัน เมื่อเราเข้าถึงความความสว่างไสวภายในได้แล้ว จะได้ช่วยกันทำโลกนี้ให้สว่างไสว ด้วยการแนะนำให้เขาได้ประพฤติธรรมตามเราไปด้วย พราะโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงหรือเป็นไปอย่างไร ย่อมอยู่ที่ใจของพวกเราทุกคนนั่นเอง


จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๒๒๐-๒๒๗

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ
(ภาษาไทย) เล่มที่ ๗๔   หน้า  ๙๒

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก

การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก
 
               การเจริญสมาธิภาวนาเป็นทางลัดที่สุด ที่จะทำให้เกิดความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ถ้ามีความบริสุทธิ์มาก บุญกุศลก็เกิดขึ้นมาก ถ้ามีความบริสุทธิ์น้อย บุญกุศลก็ลดหย่อนลงไป ความบริสุทธิ์เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข เป็นสิ่งที่สั่งสมได้ ถ้าเราเจริญภาวนาทุกวัน ยิ่งเป็นการเพิ่มเติมความบริสุทธิ์ขึ้นทุกวัน จะทำให้เราเข้าถึงความสุขที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา และต่างกำลังแสวงหากันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เราจึงควรให้ความสำคัญกับการเจริญภาวนา เพื่อให้ชีวิตของเราเข้าถึงความสุข และความบริสุทธิ์ที่แท้จริง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า...

                       กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ   กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํกิจฺฉํ
                          สทฺธมฺมสฺสวนํ      กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท

     "การได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นการยาก ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเป็นอยู่ยาก การได้ฟังพระสัทธรรมเป็นการยาก การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นการยาก”

      การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นของยาก ต้องอาศัยกำลังความเพียรในการสั่งสมความดีอย่างยิ่งยวด พระพุทธองค์ทรงอุปมาความยากในการเกิดเป็นมนุษย์ไว้ว่า “ในท้องทะเลกว้างใหญ่สุดจะประมาณ มีเต่าตาบอดทั้งสองข้างอยู่ตัวหนึ่ง ทุกๆ หนึ่งร้อยปี จะโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ ๑ ครั้ง และในท้องทะเลนี้มีห่วงที่พอดีกับหัวเต่าลอยอยู่อันหนึ่ง โอกาสที่เต่าตาบอดจะโผล่หัวขึ้นมา แล้วเอาหัวสอดเข้าไปในห่วงพอดี มีความยากเพียงใด โอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น มีความยากยิ่งกว่า”

      เมื่อเกิดมาแล้ว การที่จะรักษาชีวิตให้ดำเนินอยู่บนเส้นทางของการสร้างความดีไปได้ตลอดรอดฝั่งก็ทำได้ยาก เพราะภัยและอันตรายต่างๆ ที่เกิดกับชีวิตของเรามีอยู่รอบตัว และการที่จะได้มีโอกาสฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ในโบราณกาลผู้คนต่างแสวงหาความรู้อันแท้จริง และปรารถนาที่จะสนทนากับนักปราชญ์บัณฑิต เพื่อที่จะได้ดำเนินชีวิตให้ถูกต้องตามคำสอนอันประเสริฐ

      พระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ กว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ต้องสร้างบารมีกันยาวนานหลายอสงไขยกัปทีเดียว ท่านสร้างบารมีทุกรูปแบบ แม้บางชาติจะพลัดไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่ท่านก็ยังคงสร้างบารมี เพื่อมุ่งหวังพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จึงเป็นการยากอย่างนี้

      ในอดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งหนึ่งได้ไปเกิดเป็นพญานาคราช มีร่างกายใหญ่โต อายุยืนมาก อุดมไปด้วยสมบัติทั้งหลาย และพรั่งพร้อมไปด้วยบริวาร พระองค์ทรงเบื่อหน่ายในราชสมบัติ เพราะดำริว่า “แม้เราจะมีสมบัติ และบริบูรณ์ด้วยความสุขนานัปการ แต่ก็ยังคงเป็นเพียงสัตว์เดียรัจฉาน โอกาสที่จะสร้างบุญบารมีได้เต็มที่นั้น ยากยิ่งนัก” เมื่อดำริอย่างนี้แล้วจึงตั้งใจรักษาศีล เพื่อว่าเมื่อพ้นจากอัตภาพของพญานาคแล้ว จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก แล้วทรงออกจากนาคพิภพไปพำนักอยู่ในที่สงบ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ บรรดานางนาคกัญญาทั้งหลาย ต่างเกรงว่าพระองค์จะจากพวกนางไป จึงประดับประดาด้วยของหอม แล้วมาเย้ายวนพระองค์ เพื่อให้ศีลของพระองค์วิบัติ

      พระองค์ดำริว่าหากเป็นเช่นนี้ โอกาสที่ศีลของเราจะบริสุทธิ์บริบูรณ์นั้น เป็นไปได้ยาก จึงขึ้นมาเมืองมนุษย์ ขดร่างกายอยู่ที่จอมปลวกริมฝั่งแม่น้ำ  คนทั้งหลายผ่านมาต่างพากันบูชาด้วยของหอม และเครื่องสักการะมากมาย ทุก ๑ เดือน นาคราชจะกลับลงไปเมืองบาดาลครั้งหนึ่ง

      นางสุมนาเทวีอัครมเหสีเป็นห่วงพญานาคราชจึงกล่าวว่า “เมื่อพระองค์ขึ้นไปบนเมืองมนุษย์เป็นเวลานาน หากพระองค์มีอันตราย ข้าพระองค์จะทราบได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์” พญานาคจึงพานางไปดูที่สระน้ำ แล้วบอกว่า “วันใด ที่สระน้ำขุ่นมัว ให้รู้ว่าเรากำลังจะโดนประหาร ถ้าพญาครุฑจับไป น้ำจะเดือดพลุ่งขึ้นมา ถ้าหมองูจับไป น้ำจะมีลักษณะสีแดงเหมือนโลหิต” เมื่อนาคราชบอกลักษณะของการเกิดภัยแล้ว จึงกลับขึ้นไปเมืองมนุษย์อีก

      ในระหว่างที่รักษาศีลอยู่นั้น วันหนึ่งมีหมองูผ่านมา เห็นนาคราชขดอยู่ที่จอมปลวก ก็คิดจะจับงูไปแสดงให้ชาวเมืองดู เพื่อหาทรัพย์มาดำรงชีวิต คิดดังนั้นแล้ว จึงหยิบโอสถมาร่ายมนต์ เมื่อนาคราชถูกมนต์ ร่างกายก็เร่าร้อนเหมือนโดนถ่านเพลิง ศีรษะปวดร้าวเหมือนโดนบีบ ดำริว่าเกิดเหตุอะไร จึงยกพระเศียรขึ้นจากวงในขนด เห็นหมองูกำลังร่ายมนต์ก็คิดว่า พิษของเรานั้นมากมาย ถ้าเราโกรธ แล้วพ่นลมจมูกออกไป ร่างกายของหมองูต้องแตกละเอียดเป็นธุลี แต่ถ้าทำอย่างนั้น ศีลของเราก็จะด่างพร้อย ครั้นสอนตัวเองเช่นนี้แล้ว ก็ขนดศีรษะต่อไป ไม่ต่อสู้หรือทำร้ายหมองู เพื่อรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์

      หมองูเห็นนาคราชไม่โต้ตอบ จึงเคี้ยวโอสถแล้วร่ายมนต์ พ่นไปยังลำตัวของนาคราช นาคราชเหมือนโดนถ่านเพลิงร้อนๆ สาดใส่ ลำตัวพองบวม ดิ้นทุรนทุราย หมองูจับหางนาคราชให้เหยียดตรง บีบลำตัวด้วยไม้กีบ ทำให้ดิ้นไม่ได้ จับศีรษะแล้วบีบเค้นให้อ้าปากออก พ่นโอสถที่ร่ายมนต์แล้ว เข้าในปากของนาคราช ฟันของนาคราชหลุดออกหมด ปากเต็มไปด้วยเลือด จากนั้นหมองูก็ขึ้นไปเหยียบลำตัว ทำให้กระดูกแหลกละเอียด ตลอดลำตัวของนาคราชเปื้อนไปด้วยเลือด สุดจะระงับความทุกข์ทรมานและสติไว้ได้  แต่ด้วยกำลังใจอันเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวที่จะรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต จึงใช้ความอดทนอย่างยิ่งยวด ไม่ยอมแม้กระทั่งคิดที่จะประทุษร้ายหมองูนั้นเลย

     หมองูเห็นนาคราชอ่อนกำลังลง จึงจับใส่กรง แล้วนำไปแสดงตามหมู่บ้าน ไม่ว่าหมองูจะให้พญานาคแสดงอย่างไร พญานาคก็ทำตามทุกอย่าง  ประชาชนดูแล้วพากันชอบใจให้ทรัพย์แก่หมองู เขานำพญานาคแสดงเรื่อยไปจนถึงเมืองหลวง พระราชาได้รับสั่งให้หมองูเข้าเฝ้า เพื่อทอดพระเนตรการแสดงของนาคราช เช้าวันนั้นคนทั้งเมืองได้มาดูการแสดงของนาคราช ต่างชอบใจพากันปรบมือเป็นที่สนุกสนาน

      วันนั้น นางสุมนาเทวีระลึกถึงสามีของตนจึงไปดูที่สระน้ำ เห็นน้ำในสระเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนโลหิต รู้ทันทีว่า พญานาคราชต้องถูกหมองูจับไปแน่นอน นางเสด็จออกจากนาคพิภพขึ้นไปเมืองมนุษย์ ดูร่องรอยที่สามีถูกหมองูทรมานแล้วจับไป นางร้องไห้เที่ยวเดินถามชาวบ้านเรื่อยไปจนถึงเมืองหลวง จึงเหาะขึ้นไปยืนอยู่บนอากาศ เห็นพญานาคราชแสดงอยู่ ก็ร้องไห้ด้วยความสงสาร

      พญานาคราชเหลือบไปเห็นนางยืนอยู่กลางอากาศ เกิดความละอาย จึงเลื้อยเข้าไปขดในกรง พระราชาสงสัยว่าเกิดอะไรกับพญานาค เมื่อทอดพระเนตรขึ้นไปบนอากาศเห็นนางสุมนาเทวียืนร้องไห้อยู่ จึงตรัสถามขึ้นว่า “ท่านเป็นใคร ทำไมถึงร้องไห้เหมือนคนสติฟั่นเฟือน ท่านสูญเสียอะไรหรือ” นางตอบว่า “หม่อมฉันกำลังตามหาพระสวามีที่ถูกหมองูจับไป และนาคที่แสดงต่อหน้าพระองค์ คือสามีของหม่อมฉัน”

     พระราชาตรัสว่า “ธรรมดาพญานาคนั้นมีฤทธิ์ มีพิษ มีกำลังมหาศาล ทำไมจึงตกอยู่ในอำนาจของหมองูเช่นนี้” พระนางตอบว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ที่พญานาคไม่แสดงฤทธิ์นั้น เป็นเพราะกำลังรักษาศีลอยู่ ถ้าพญานาคไม่รักษาศีลแล้ว บ้านเมืองของพระองค์ก็จะมอดไหม้เป็นธุลีอย่างแน่นอน  ขอพระองค์ทรงปล่อยพญานาคราชด้วยเถิด”

     พระราชาทรงรับสั่งให้หมองูปล่อยพญานาคทันที ทันใดนั้นพญานาคก็แปลงกายเป็นมนุษย์ แล้วประคองอัญชลีขอบพระทัยพระราชาที่เมตตาให้ชีวิต และได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดถวายพระราชา จากนั้นจึงกราบทูลเชิญเสด็จชมเมืองบาดาล

     เมื่อพระราชาเสด็จไปถึงเมืองบาดาล ทรงเห็นสมบัติและบริวารของพญานาคมากมาย จึงตรัสถามว่า “ท่านนาคราช ท่านก็มีสมบัติมากมาย แวดล้อมด้วยบริวารนับหมื่น อุดมไปด้วยรูปทิพย์ กลิ่นทิพย์ ทำไมท่านจึงมีความเพียรในการรักษาศีลเช่นนี้”

     นาคราชตอบว่า “ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์บำเพ็ญเพียรรักษาศีลก็เพราะต้องการจะไปเกิดเป็นมนุษย์ เพราะการได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ทำให้โอกาสในการรักษาศีลง่ายกว่า สามารถสร้างบารมีอื่นได้สะดวกกว่า มีโอกาสบำเพ็ญภาวนา ได้บรรลุมรรคผลนิพพานง่ายกว่าการเป็นพญานาค  เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงรักษาศีลยิ่งชีวิต”

     จากเรื่องนี้ จะเห็นว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่ได้มายากยิ่งนัก นักสร้างบารมีทุกยุคทุกสมัย ต่างต้องการเกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น เพราะเป็นภพภูมิอันวิเศษที่เหมาะต่อการสร้างบารมีได้ทุกรูปแบบ  ดังนั้น เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ถือว่าพวกเราเป็นผู้มีบุญลาภอันประเสริฐ ไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต ต้องรีบขวนขวายสร้างบารมีให้ครบทั้ง ๑๐ ทัศ อย่างน้อยที่สุด ก็ควรหมั่นทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาให้ได้ทุกๆ วัน เมื่อถึงคราวบุญบารมีเต็มเปี่ยม เราจะได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของพวกเราทุกคน


จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๑๕๑-๑๕๙

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ
(ภาษาไทย) เล่มที่ ๖๑   หน้า ๑๘๕

วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ควรพิจารณากิจของตน

ควรพิจารณากิจของตน
 
                  เราได้เหน็ดเหนื่อยกันมาตลอดทั้งวัน จากการประกอบธุรกิจหน้าที่การงาน การศึกษาเล่าเรียน หรือเรื่องอื่น ๆ ที่เราได้ทำผ่านมาแล้ว  ดังนั้น ในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป เราจะได้ให้โอกาสแก่ตัวของเราเอง ในการแสวงหาสาระอันแท้จริงของชีวิต เพื่อเพิ่มเติมสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดให้กับชีวิตของเรา ด้วยการปฏิบัติธรรม ชีวิตจะได้ประสบแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรือง เมื่อใจอยู่ในกระแสแห่งธรรม เราจะรู้สึกอิ่มเอิบ เบิกบานสดชื่น แจ่มใส คลายจากความเหน็ดเหนื่อยที่เราได้ตรากตรำกันมาตลอดทั้งวัน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า...

     “บุคคล ไม่ควรใส่ใจคำก้าวร้าวของคนอื่น ไม่ควรมองการงานของคนอื่น ว่าเขาทำแล้วหรือยังไม่ได้ทำ ควรพิจารณาดูแต่การงานของตน ที่ทำเสร็จแล้วหรือยังไม่ได้ทำเท่านั้น”

        ในสมัยพุทธกาล มีหญิงชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง เป็นผู้อุปัฏฐากดูแลปาฏิกาชีวก ซึ่งเป็นนักบวชนอกพระพุทธศาสนา ด้วยความเคารพเลื่อมใสมาเป็นเวลานาน ได้อุปัฏฐากบำรุงอย่างดีเสมือนเป็นบุตรของตน แต่เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ๆ กันนั้น เป็นผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา ก็มาพรรณนาถึงพระพุทธคุณด้วยความปลื้มปีติใจให้นางฟัง

     เมื่อนางได้ฟังถ้อยคำสรรเสริญพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ่อยๆ  เกิดอยากจะไปฟังธรรมบ้าง จึงได้เล่าให้อาชีวกฟัง อาชีวกรู้ทันทีว่าหากนางไปฟังธรรมแล้ว นางจะต้องเลื่อมใสในพระพุทธองค์ แล้วละทิ้งตนเองไปแน่นอน จึงห้ามนางไปวัดพระเชตวัน แม้นางจะอ้อนวอนหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ

      นางจึงวางแผนว่าจะนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาฉันภัตตาหารที่บ้านแล้วฟังธรรม แทนการไปวัดพระเชตวัน ตกเย็นจึงเรียกบุตรชายให้ไปนิมนต์พระพุทธองค์มาฉันภัตตาหารที่บ้านในวันรุ่งขึ้น ระหว่างทางที่จะไปนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาต้องผ่านที่อยู่ของอาชีวก เมื่ออาชีวกรู้เรื่องเข้า ก็รีบห้ามปรามไว้  บุตรชายบอกว่า “ไม่ไปไม่ได้ เดี๋ยวคุณแม่จะโกรธ”  อาชีวกจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็จงไปนิมนต์เถิด แต่อย่าบอกที่อยู่ให้พระสมณโคดมทราบ แล้วรีบกลับมา”

       เขารับคำอาชีวก แล้วออกเดินทางไปยังสำนักของพระบรมศาสดา กราบอาราธนาพระพุทธองค์ โดยทำตามที่อาชีวกแนะนำไว้ทุกประการ ก่อนถึงบ้านก็แวะไปส่งข่าวให้อาชีวก อาชีวกก็หัวเราะดีใจว่า พระพุทธองค์ไม่รู้ทาง คงมาไม่ถูกแน่ ฉะนั้นในวันรุ่งขึ้น ตนจะต้องได้ทานอาหารหวานคาวรสเลิศ ที่อุปัฏฐากจัดเตรียมไว้อย่างแน่นอน

     รุ่งเช้า อาชีวกรีบไปยังเรือนของอุปัฏฐาก นั่งอยู่ด้านหลังห้องที่เตรียมไว้ต้อนรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อนบ้านเมื่อทราบข่าวอันเป็นมงคลว่า พระบรมศาสดาจะเสด็จมา ต่างก็ปลาบปลื้มใจ ช่วยกันจัดหาข้าวปลาอาหารมาร่วมบุญ   บางคนที่ไปวัดบ่อย ๆ รู้ธรรมเนียมของพระภิกษุ ก็ช่วยกันจัดแจงเสนาสนะ และสิ่งอันควรแก่สมณบริโภค บนถนนหนทางก็โปรยด้วยดอกไม้มีกลิ่นหอมนานาชนิด

       ธรรมดาแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทรงเป็นผู้รู้หนทางทุกสาย เพราะพระองค์ทรงมีสัพพัญญุตญาณแจ่มแจ้งในทุกเรื่อง อย่าว่าแต่หนทางในเมืองมนุษย์เลย ทรงรู้ยิ่งถึงทางไปนรก ทางไปกำเนิดในสัตว์เดียรัจฉาน ทางไปเป็นเปตวิสัย ทางไปบังเกิดในเทวโลก และทางไปอมตมหานิพพาน

       ทรงรู้ลึกซึ้งเข้าไปอีกว่า สัตว์ผู้ประกอบกรรมชั่วเช่นนี้จะไปสู่อบายภูมิ สัตว์ผู้ประกอบกรรมดีจะไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ พรหม หรืออรูปพรหม สัตว์ผู้ดำเนินจิตเข้าสู่หนทางสายกลางภายใน ตัดกิเลสเครื่องข้องในโลกทั้งหมดได้ จะไปสู่อายตนนิพพาน ทรงรู้เห็นหนทางทั้งในภพและนอกภพ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบอกหนทางไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ตำบล หรือแว่นแคว้นใดทั้งสิ้น

       เช้าวันนั้น พระบรมศาสดาผู้เป็นบุคคลผู้เลิศในโลก ทรงถือบาตรและครองจีวร เสด็จมุ่งตรงไปยังประตูเรือนของมหาอุบาสิกา นางออกจากเรือนมาถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์  ทูลอาราธนาให้เสด็จเข้าไปภายในบ้าน ให้ประทับนั่งบนอาสนะ ถวายน้ำทักษิโณทก และน้อมถวายภัตตาหารอันประณีตแด่พระองค์

       เมื่อพระบรมศาสดาทรงทำภัตกิจเสร็จ พระพุทธองค์ทรงกระทำอนุโมทนา และทรงแสดงธรรมด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด ถึงพร้อมด้วยอรรถะและพยัญชนะ อุบาสิกาตั้งใจฟังธรรมด้วยความซาบซึ้งดื่มด่ำอยู่ในรสแห่งธรรม พร้อมกับให้สาธุการเป็นระยะ ๆ ทุกครั้งที่เกิดความปีติในธรรม

       อาชีวกซึ่งนั่งฟังอยู่ในห้องด้านหลัง ได้ยินเสียงอุปัฏฐากของตนให้สาธุการเช่นนั้น ก็ไม่อาจจะอดทนต่อไปได้ เสมือนใครเอาหอกมาแทงที่หูทั้งสองข้าง รู้สึกกระสับกระส่ายจนนั่งไม่ติด คิดว่า ต่อนี้ไป นางคงจะเลิกนับถือเรา แล้วไปเป็นทายิกาของพระสมณโคดมแน่ จึงออกไปด่าอุบาสิกาและพระบรมศาสดาแล้วออกจากบ้านไปทันที

       อุบาสิกาได้ฟังดังนั้น รู้สึกไม่สบายใจ ไม่สามารถปล่อยใจไปตามกระแสธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง มีจิตใจฟุ้งซ่าน พระพุทธองค์ทรงรู้วาระจิตของอุบาสิกา จึงตรัสถามว่า “อุบาสิกา เธอไม่อาจควบคุมจิตใจของตนให้สงบได้หรือ” นางตกใจที่พระองค์ทรงล่วงรู้วาระจิต ทูลตอบว่า ตนกำลังมีความคิดสับสนวุ่นวายในเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้

       พระบรมศาสดาตรัสว่า “เธอไม่ควรระลึกถึงถ้อยคำของคนที่ไม่เสมอกับเธอด้วยศีล  ด้วยศรัทธาและด้วยจาคะ  เธอควรตรวจดูกิจที่ทำแล้ว และยังไม่ได้ทำของตนเองเท่านั้น” เมื่ออุบาสิกาได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกสบายใจ จึงไม่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ได้ย้อนกลับมาพิจารณากิจของตนว่า วันนี้เรานิมนต์พระบรมศาสดามาฉันที่บ้าน เราก็ได้ถวายทานแล้ว เราอยากจะฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์ ตอนนี้เราก็กำลังฟังอยู่ อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่าง เราจะฟังธรรมต่อไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น นางจึงได้น้อมใจฟังธรรม มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมาภิสมัย เป็นผู้มีความเลื่อมใสยิ่งในพระรัตนตรัย

       เพราะฉะนั้น บัณฑิตทั้งหลายต้องพิจารณาตนเอง อย่ามัวเสียเวลาไปเพ่งโทษคนอื่น หมั่นแก้ไขปรับปรุงตนเองให้ดี ถ้ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราตั้งใจแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำ หรือทำแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ ก็ให้รีบขวนขวายลงมือกระทำ อย่ามัวผัดวันประกันพรุ่ง เพราะวันเวลาของชีวิตในโลกนี้มีน้อยนิด แค่เราพิจารณาปรับปรุงแก้ไขตนเองอย่างเดียวก็หมดเวลาแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนไปคิดถึงถ้อยคำของคนอื่น ที่พูดวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา หาข้อสรุปอะไรไม่ได้ ฟังแล้วก็ไม่ช่วยให้พ้นทุกข์แต่อย่างใด

       ผู้มีปัญญาจึงไม่ควรเสียเวลากับการคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องเหล่านี้ แต่จะมุ่งสร้างบารมีเรื่อยไป เพราะรู้ว่าทำดีย่อมได้ดี ทำบุญย่อมได้บุญ  ดังนั้น บัณฑิตจะไม่หยุดยั้งในการสร้างบารมี แต่จะทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จนกว่าจะถึงเป้าหมายคือที่สุดแห่งธรรม





จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๑๗๐-๑๗๘

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ

(ภาษาไทย) เล่มที่ ๔๑   หน้า ๖๐

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

กระต่ายตื่นตูม

กระต่ายตื่นตูม
 
                เราเกิดมาภพชาติหนึ่ง เพื่อแสวงหาที่พึ่งที่ระลึกอันแท้จริง แสวงหาสิ่งที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นสุขได้ด้วยตนเอง และเป็นตัวตนที่แท้จริง สิ่งที่เราต้องการนี้ รวมประชุมอยู่ในธรรมกายทั้งหมด ธรรมกายคือแก่นของชีวิต เป็นชีวิตในระดับลึก ที่อยู่ภายในตัวของเรา ที่ทุกคนมีสิทธิ์จะเข้าถึงได้ หากฝึกใจให้หยุดนิ่ง ถ้าหยุดได้เมื่อไรก็เข้าถึงได้เมื่อนั้น ไม่จำกัดด้วยกาลเวลา ถ้าเราเข้าถึงธรรมกายแล้ว ชีวิตเราจะอยู่อย่างมีความหมาย และอยู่อย่างมีเป้าหมาย เป็นชีวิตที่มีความมั่นคง และปลอดภัยอย่างแท้จริง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ทุททุภายชาดก ว่า...
     “ชนเหล่าใด ชอบเชื่อตามเสียงคนอื่น โดยยังไม่ทันได้รู้ความเป็นจริง ชนเหล่านั้นนับว่าเป็นพาล มีความประมาทเป็นอย่างยิ่ง ส่วนชนเหล่าใดสมบูรณ์ด้วยศีล มีปัญญา ยินดีในความสงบ ชนเหล่านั้นนับว่าเป็นนักปราชญ์บัณฑิต เป็นผู้งดเว้นความชั่ว ย่อมไม่เชื่อคนอื่นเลย”

     พุทธภาษิตบทนี้ พระองค์ทรงสอนเราว่า เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ควรพิจารณาให้ดีก่อน ไม่ควรด่วนสรุปทันที แล้วพูดต่อ ๆ กันไปตามที่ตนเข้าใจ เพราะการทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดความผิดพลาด อาจทำให้มีการเข้าใจผิดกันได้ อันจะนำไปสู่ความขัดแย้งกันในเรื่องความคิดเห็น เมื่อใดที่เราเชื่อผู้อื่นโดยที่ยังไม่ทันพิสูจน์ความจริงว่าเป็นอย่างไร เมื่อนั้น พึงรู้ว่าเราเริ่มประมาทแล้ว

     นักปราชญ์บัณฑิตผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่ใครด้วยคำพูดและการกระทำ หากจะใช้สติปัญญาพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผลที่แท้จริง โดยไม่ด่วนสรุปหรือตัดสินผู้ใด แต่จะอาศัยข้อมูลที่แท้จริง และด้วยดวงปัญญาที่บริสุทธิ์ ตัดสินทุกสิ่งด้วยความเที่ยงธรรม เพราะท่านมีใจที่บริสุทธิ์ ไม่มีอคติความลำเอียง เป็นผู้สงบระงับ มีศีลบริสุทธิ์ เมื่อศีลบริสุทธิ์สมาธิก็ตั้งมั่น เมื่อสมาธิตั้งมั่นปัญญาก็สว่างไสว เป็นดวงปัญญาที่สามารถพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ได้ถูกต้อง ตรงไปตามความเป็นจริง ท่านจึงเป็นผู้ที่ห่างไกลจากความชั่ว และไม่หลงประพฤติผิดทั้งทางกาย วาจา ใจ ทำให้ดำเนินชีวิตไม่ผิดพลาด ถ้าใครปฏิบัติตามก็จะได้รับความผาสุก ความปลอดภัยในชีวิต

       ดังเรื่องของพระโพธิสัตว์ในกาลก่อน ที่ท่านเกิดเป็นพญาราชสีห์ ได้ช่วยชีวิตของหมู่สัตว์เป็นจำนวนมากให้รอดพ้นจากความตายด้วยดวงปัญญาที่บริสุทธิ์ของท่าน เรื่องมีอยู่ว่า...

       ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาราชสีห์ อาศัยอยู่ในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง กระต่ายน้อยตัวหนึ่ง หลังจากที่หาอาหารกินจนอิ่มแล้วก็เข้าไปในดงตาลซึ่งมีต้นมะตูมเป็นจำนวนมากปะปนอยู่ กระต่ายได้เข้าไปนอนอยู่ใต้ต้นตาล แล้วเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าเกิดแผ่นดินถล่ม เราจะหนีไปไหนดี

       ขณะที่มีความคิดฟุ้งซ่านอยู่นั้น  ลูกมะตูมสุกผลหนึ่งได้ตกลงมาใส่ต้นตาล กระทบใบตาลแห้งเกิดเสียงดังสนั่น  กระต่ายตกใจสุดขีดคิดว่าแผ่นดินถล่ม  ด้วยความกลัวตายจึงกระโดดขึ้น  แล้ววิ่งหนีออกจากที่นั่นทันที กระต่ายตัวอื่นต่างก็ถามด้วยความตกใจว่า “วิ่งหนีอะไรมา” กระต่ายน้อยก็วิ่งไปตอบไปว่า “อย่ามัวถามอยู่เลย แผ่นดินถล่มแล้ว พวกเรารีบวิ่งหนีเร็วเข้า” กระต่ายตัวที่ถามก็วิ่งตามไป ทำให้กระต่ายตัวอื่น ๆ พากันวิ่งตามไปด้วยความตกใจ

       สัตว์อื่นเห็นฝูงกระต่ายวิ่งมาด้วยอาการที่ตกใจกลัว  จึงไต่ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น” ฝูงกระต่ายตอบว่า “แผ่นดินกำลังถล่ม” สัตว์อื่นๆ ได้ฟังแล้วไม่ทันพิจารณา ก็เกิดความกลัว พากันวิ่งตามฝูงกระต่ายไป จนทำให้เป็นฝูงสัตว์ใหญ่ มีสัตว์นานาชนิดมากมายครอบคลุมพื้นที่ประมาณหนึ่งโยชน์ หรือเท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร สัตว์แต่ละตัวต่างรีบวิ่งหนีโดยไม่คิดชีวิต

       เมื่อวิ่งมาใกล้บริเวณที่พญาราชสีห์อยู่ ราชสีห์โพธิสัตว์ได้ลุกขึ้น แล้วมองดูหมู่สัตว์ที่กำลังวิ่งมา พิจารณาดูไม่เห็นว่ามีอะไรผิดสังเกต จึงถามสัตว์ตัวหนึ่งว่าเกิดอะไรขึ้น ได้รับคำตอบว่าเกิดแผ่นดินถล่ม พญาราชสีห์คิดว่า ธรรมดาแผ่นดินถล่มจะต้องมีอาการไหวก่อน แล้วป่าแห่งนี้ยังไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น พวกสัตว์เหล่านี้คงมีความเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง ถ้าเราไม่ช่วยให้ความกระจ่าง ชีวิตของสัตว์ทั้งหมดก็จะถึงความพินาศ

       พญาราชสีห์ได้บันลือสีหนาท เสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เมื่อสัตว์ทุกชนิดหยุดวิ่ง พญาราชสีห์จึงถามว่า “พวกท่านพากันหนีอะไรมา” พวกสัตว์ตอบว่า “พวกเราวิ่งหนีแผ่นดินถล่ม” พญาราชสีห์ถามอีกว่า “แล้วมีใครเห็นบ้าง ว่าแผ่นดินถล่ม” พวกสัตว์ตอบว่า “ช้างเห็น” ราชสีห์ถามช้าง ช้างก็บอกว่า “ไม่เห็น แต่พวกราชสีห์เห็น” ราชสีห์ก็บอกว่า “ไม่เห็น แต่พวกเสือเห็น” เสือบอกว่า “ไม่เห็น แต่พวกแรดเห็น” แรดบอกว่า “ไม่เห็น แต่พวกโคเห็น” สัตว์ทั้งหลายต่างซัดทอดกันต่อ ๆ ไป  จนถึงพวกกระต่าย

       พวกกระต่ายมองหน้ากัน  แล้วชี้ไปยังกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง บอกว่า “กระต่ายตัวนี้แหละที่เห็นก่อน” พญาราชสีห์จึงถามกระต่ายน้อยว่า “เจ้าเห็นแผ่นดินถล่มจริงหรือ” กระต่ายตอบว่า “เห็น” พญาราชสีห์ถามว่า “เห็นอยู่ที่ไหนล่ะ” กระต่ายบอกว่า “เห็นอยู่ที่ดงตาล เมื่อได้ยินเสียงแผ่นดินถล่ม จึงรีบวิ่งหนีทันที” พญาราชสีห์ได้ปลอบโยนหมู่สัตว์ทั้งหลายให้สบายใจ แล้วยกกระต่ายขึ้นบนหลัง วิ่งไปที่ดงตาลด้วยความเร็ว เมื่อถึงดงตาลจึงวางกระต่ายลง ถามว่า “ตรงไหนที่แผ่นดินถล่ม ช่วยชี้ให้ดูหน่อยซิ”  กระต่ายกลัว ไม่กล้าเข้าไปใกล้ จึงยืนอยู่ห่างๆ แล้วชี้บอกว่า “ที่ตรงโน้นนั่นแหละ ที่มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว”

       พญาราชสีห์จึงเข้าไปดูที่ใต้ต้นมะตูม เห็นผลมะตูมสุกที่หล่นลงมาจากต้นมะตูมซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับต้นตาล รู้ทันทีว่าผลมะตูมสุกคงหล่นลงมากระทบกับใบตาล เกิดเสียงดัง ทำให้กระต่ายเข้าใจผิด คิดว่าเป็นแผ่นดินถล่ม จากนั้นก็ให้กระต่ายขึ้นเกาะบนหลังของตน แล้วพากลับไปหาหมู่สัตว์ทั้งหลายที่รออยู่ เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทำให้สัตว์ทั้งหลายได้ประจักษ์ในความจริงทั้งหมด

       พวกสัตว์พากันโล่งใจ ต่างแยกย้ายกันกลับไปสู่ถิ่นที่อยู่ของตน และยกย่องพระโพธิสัตว์ว่า เป็นเจ้าป่าผู้ยังประโยชน์สุขมาให้แก่พวกตน เพราะถ้าหากท่านไม่ได้ทัดทานสัตว์เหล่านั้นไว้ สัตว์ทั้งหมดจะต้องพากันวิ่งลงทะเลไปตายหมด แต่เพราะอาศัยพระโพธิสัตว์ผู้มีปัญญา สุขุมรอบคอบ สัตว์เหล่านั้นจึงมีชีวิตรอดปลอดภัยกันทั้งหมด

     จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า การพิจารณาใคร่ครวญให้ดีก่อนตัดสินใจ เป็นสิ่งที่บัณฑิตในกาลก่อนได้กระทำกันเป็นปกติ ซึ่งเราควรถือเป็นแบบอย่าง ยิ่งสมัยนี้มีการสื่อสารรวดเร็ว ส่งข่าวสารถึงกันได้ทั่วโลก เรายิ่งต้องรับฟังด้วยความพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ อย่าเพิ่งตระหนกตกใจจนเกินไป ใช้สติปัญญาพิจารณาให้ดี หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งให้ใจเป็นกลาง ๆ  ใคร่ครวญทุกสิ่งด้วยเหตุด้วยผล อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ แล้วการตัดสินใจของเราจะไม่ผิด

จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน
ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๒๔๔-๒๕๑

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ

(ภาษาไทย) เล่มที่ ๕๘   หน้า ๕๓๐

วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

หลุดพ้นจากเวร

หลุดพ้นจากเวร
 
           ในชีวิตประจำวันของเรา ต้องพบสิ่งต่างๆ มากมาย มีอารมณ์หลากหลายเข้ามากระทบจิตใจ เราควรจะเลือกเก็บเกี่ยวแต่สิ่งที่ดีเอาไว้ในใจ สิ่งใดที่นึกแล้วทำให้ใจขุ่นมัว เศร้าหมองไม่ผ่องใส เราก็ไม่ควรนึกถึง เพราะเป็นอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้ว แม้สิ่งที่เป็นอนาคตที่ยังมาไม่ถึง อาจจะนำมาซึ่งความกังวลใจ เราก็ไม่ควรคาดหวังจนเกินเหตุ เพราะจะทำให้เราเกิดความทุกข์ใจ บัณฑิตควรมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้เวลานี้ให้ดีที่สุด แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

มีพระคาถาบทหนึ่งกล่าวไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า...

  “น หิ เวเรน เวรานิ     สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
  อเวเรน จ สมฺมนฺติ     เอส ธมฺโม สนนฺตโน


     แต่ไหนแต่ไรมา เวรทั้งหลายย่อมไม่สงบระงับได้ ด้วยการจองเวร เวรทั้งหลายย่อมสงบระงับด้วยความไม่มีเวร นี่เป็นธรรมเก่า”

     พระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักการให้อภัยกัน อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เพราะเวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร แต่เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ความจริงนี้เป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม ไม่ใช่ของใหม่ เกิดขึ้นได้ในทุกยุคทุกสมัย กับบุคคลทุกเพศทุกวัย ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย

     ดังเรื่องในอดีต มีบุตรชายของเศรษฐีคนหนึ่ง เมื่อบิดาเสียชีวิตแล้ว  เขาเป็นผู้บริหารกิจการทั้งหมดแทนบิดา และปรนนิบัติเลี้ยงดูมารดาเป็นอย่างดี มารดาอยากจะให้เขาแต่งงาน แต่ชายหนุ่มไม่ปรารถนาเช่นนั้น  ตั้งใจว่าจะเลี้ยงมารดาให้ดีที่สุด แต่ถูกมารดารบเร้ามาก จึงต้องยอมตกลง มารดาได้ไปสู่ขอหญิงจากครอบครัวหนึ่งมาเป็นภรรยาของเขา แต่เธอเป็นหมัน ไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้ มารดาจึงร้อนใจ เพราะความเชื่อของชาวอินเดียในสมัยนั้น ถ้าตระกูลใดไม่มีบุตร ตระกูลนั้นจะถึงความเสื่อม มารดาจึงอยากให้บุตรชายของตนมีภรรยาใหม่ แต่บุตรชายไม่ต้องการเช่นนั้น แม้จะถูกมารดารบเร้าเพียงใด เขาก็ยังยืนยันว่าไม่อยากมีภรรยาใหม่

     เมื่อภรรยารู้ว่าแม่สามีจะหาหญิงอื่นมาเป็นภรรยาใหม่ของสามีตน จึงคิดว่า “ถ้าถึงเวลานั้น เราก็จะหมดความหมาย อาจจะถูกลดฐานะลงเป็นคนรับใช้ก็ได้ ถ้าอย่างนั้น สู้เราไปหาหญิงที่เราพอใจ ให้มาเป็นภรรยาน้อยของสามีเราจะดีกว่า” แล้วนางก็ได้กระทำตามที่นางต้องการจนสำเร็จ

     ต่อมาภรรยาหลวงระแวงว่า ถ้าภรรยาน้อยให้กำเนิดบุตร ก็จะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพียงผู้เดียว เมื่อความริษยาเกิดขึ้น นางจึงหาทางที่จะไม่ให้ภรรยาน้อยให้กำเนิดบุตร โดยกำชับภรรยาน้อยว่า “ถ้าเธอตั้งครรภ์เมื่อไร ช่วยบอกให้ฉันรู้ด้วยนะ” เมื่อภรรยาน้อยตั้งครรภ์จึงได้บอกภรรยาหลวง นางแสร้งทำเป็นเอาอกเอาใจ นำข้าวปลาอาหารอย่างดีมาบำรุงภรรยาน้อย

    วันหนึ่งนางได้แอบผสมยาที่ทำให้แท้งลูกลงไปในอาหาร ทำให้ลูกในครรภ์ตายสมใจนาง เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ถึง ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ ภรรยาน้อยเกิดเฉลียวใจ จึงไม่ยอมให้ภรรยาหลวงรู้ กระทั่งครรภ์แก่ แต่ภรรยาหลวงก็ยังไม่ละความพยายาม ได้แอบเอายาที่ทำให้แท้งลูกใส่ลงไปในอาหารจนได้ ทำให้ภรรยาน้อยและลูกเสียชีวิตพร้อมกัน

     ก่อนตายภรรยาน้อยได้ผูกอาฆาตว่า “ขอให้เราได้เกิดเป็นนางยักษิณี เราจะมากินลูกของหญิงหมันนี้ในชาติต่อไป” เมื่อตายแล้ว ภรรยาน้อยได้ไปเกิดเป็นแมวอยู่ในบ้านสามี ส่วนสามีพอทราบว่า ภรรยาหลวงเป็นคนทำให้ภรรยาน้อยและลูกเสียชีวิต จึงได้ทุบตีภรรยาหลวงจนตาย ครั้นละโลก นางได้ไปเกิดเป็นแม่ไก่ อยู่ในบ้านนั้นเช่นกัน

     ต่อมาแม่ไก่ออกไข่หลายฟอง แมวก็มาขโมยกินไข่ ครั้งที่ ๒ ก็ทำอย่างนั้นอีก ครั้งที่ ๓ แมวมากินไข่และกินแม่ไก่ด้วย แม่ไก่จึงผูกอาฆาตจองเวรต่อไปอีกว่า ให้เราได้กินแมวและลูกของมันบ้าง ไก่ตายไปได้เกิดเป็นแม่เสือเหลือง ส่วนแมวเมื่อตายไปแล้วได้เกิดเป็นแม่เนื้อ ครั้นแม่เนื้อออกลูก เสือเหลืองได้มากินลูกเนื้อถึง ๒ ครั้ง และในครั้งที่ ๓ มันกินทั้งแม่เนื้อและลูกเนื้อด้วย แม่เนื้อจึงผูกอาฆาตว่า เกิดชาติหน้า ขอให้ได้กินแม่เสือเหลืองและลูกของมันบ้าง

     แม่เนื้อตายไปได้เกิดเป็นนางยักษิณี ส่วนแม่เสือเหลืองเกิดเป็นหญิงอาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี เมื่อเจริญวัยได้แต่งงานและคลอดบุตร นางยักษิณีได้แปลงตัวเป็นมนุษย์เข้าไปจับทารกกินถึง ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๓ เมื่อหญิงนั้นมีครรภ์แก่ จึงให้สามีพาตนไปคลอดบุตรที่บ้านเกิด เพื่อหนีนางยักษิณี

     เมื่อนางยักษิณีรู้เข้า ก็รีบเดินทางตามไปทันที แต่หญิงนั้นคลอดบุตรแล้ว และกำลังจะเดินทางไปบ้านสามี ระหว่างทางได้แวะอาบน้ำที่ข้างวัดพระเชตวัน สามีก็ลงไปอาบน้ำ ส่วนตนยืนให้นมบุตรอยู่ริมฝั่ง เมื่อเห็นนางยักษิณี นางจำได้ จึงรีบวิ่งหนีเข้าไปในวัด ขณะนั้น พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท นางได้อุ้มบุตรเข้าไปหาพระพุทธองค์ แล้ววางลงข้างพระบาท กราบทูลว่า “ข้าพระองค์ขอถวายบุตรนี้แด่พระองค์ ขอพระองค์ได้โปรดประทานชีวิต ให้แก่บุตรของข้าพระองค์ด้วยเถิด”

     ฝ่ายนางยักษิณีไม่สามารถเข้าไปในวัดได้ เนื่องจากสุมนเทพผู้สถิตอยู่ที่ซุ้มประตูไม่อนุญาต พระบรมศาสดาจึงรับสั่งให้พระอานนท์เรียกนางยักษิณีเข้ามา เมื่อพร้อมหน้ากันแล้ว จึงตรัสถามว่า “เพราะเหตุใด พวกเธอจึงจองเวรกันอย่างนี้ ถ้าหากพวกเธอไม่มาพบเราแล้ว เวรของพวกเธอจะเป็นเช่นนี้อยู่ชั่วกัป เหมือนเวรของงูกับพังพอน ของหมีกับไม้ตะคร้อ ของกากับนกเค้า เพราะฉะนั้นจงเลิกจองเวรกันเถิด เพราะเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” เมื่อพระพุทธองค์ตรัสจบ นางยักษิณีได้บรรลุโสดาปัตติผล แล้วทั้งสองก็เลิกจองเวรกัน ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

     การจองเวรกันไม่ดีเลย จงให้อภัยซึ่งกันและกันเถิด อย่าได้เบียดเบียนกันเลย เราควรจะให้อภัยต่อผู้อื่นเสมอ ในยามที่เขาผิดพลาดล่วงเกินเรา เราก็ควรมีความปรารถนาดี มีจิตประกอบด้วยเมตตาธรรม แล้วพยายามปรับตัวเข้าหากัน ให้เหมือนน้ำที่ประสานแผ่นดินที่แยกแตกระแหงให้เป็นผืนแผ่นเดียวกัน ให้มีความรักความสามัคคี อย่าถือทิฐิมานะ ให้อะลุ่มอล่วยกัน ตามแบบอย่างของนักปราชญ์บัณฑิต แล้วทุกอย่างก็จะสงบลงได้

     การผูกโกรธผูกอาฆาตพยาบาท จะเป็นเหตุให้เราต้องหลงวนอยู่ในสังสารวัฏ เมื่อเกิดมาพบกันอีก ก็จะคอยล้างผลาญกันร่ำไป เหมือนอย่างนางยักษิณีในเรื่องนี้ เพราะถูกกิเลสบังคับบัญชาให้สร้างกรรม เมื่อสร้างกรรมก็มีวิบากเป็นผล ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมาน ความพินาศย่อยยับทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาทั้งหลาย จึงไม่ผูกเวรกัน เพราะเบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในทะเลเพลิงแห่งความทุกข์

      ดังนั้น พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราระงับการจองเวร ในยามโกรธก็ให้มีสติ สงบระงับอารมณ์เอาไว้ อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ใช้สติและปัญญา แล้วแผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย เราจะได้ไม่มีเวรมีภัยกับใคร ทรงสอนว่า
  
     สัตบุรุษผู้มีความอดทน พึงได้ผล คือการไม่กระทบกระทั่ง เพราะสงบระงับจากเวร พระราชาพร้อมเหล่าเสนาแม้มาก เมื่อรบอยู่จะพึงได้ผลเช่นนั้นก็หาไม่ เพราะเวรทั้งหลาย ย่อมระงับได้ด้วยกำลังแห่งขันติ”



จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๔๗-๕๔

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ
(ภาษาไทย) เล่มที่ ๔๐    หน้า ๖๘

.................................

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

สู้จนกว่าจะชนะ

สู้จนกว่าจะชนะ
  

                  สรรพสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในโลกนี้ จะเป็นสิ่งที่มีชีวิต หรือไม่มีชีวิตก็ตาม ตัวของเรา คนอื่น สรรพสัตว์ทั้งหลายก็ดี ต้นหมากรากไม้ ภูเขาเลากา ตึกรามบ้านช่อง ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา หรือที่ห่างไกลออกไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยง แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนแปลงไปทุกวินาที ไปสู่ความเสื่อม แล้วก็สูญสลายในที่สุด ไม่มีอะไรที่มั่นคง ล้วนเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเราควรมาแสวงหาของจริงกันดีกว่า ของจริง คือธรรมกายที่มีอยู่แล้วในตัวของมนุษย์ทุกคน เป็นตัวตนที่แท้จริงที่เราสามารถเข้าถึงได้

มีวาระพระบาลีที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน โภชาชานียชาดก ว่า...

     “บัณฑิตในกาลก่อน แม้ถือกำเนิดในสัตว์เดียรัจฉาน ได้กระทำความเพียรจนได้รับบาดเจ็บเห็นปานนี้ แต่ก็ไม่ละความเพียร ส่วนเธอออกบวชในศาสนานี้ ที่จะนำออกจากทุกข์ได้ เพราะเหตุไรเล่า จึงละความเพียรเสีย”

     มนุษย์ในโลกมีความเพียรพยายาม ที่จะทำงานตามปณิธานที่ตัวเองได้ตั้งเอาไว้ให้สำเร็จลุล่วง ได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ ทุ่มเทสติปัญญา บางท่านถึงกับเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำความเพียร เพื่อขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปจากใจ ซึ่งเป็นงานสำคัญที่ต้องทำด้วยตัวเอง จะทำแทนกันไม่ได้ อีกทั้งต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจ จะทำๆ หยุดๆ หรือทำเฉพาะช่วงที่มีเวลาและอารมณ์ก็ไม่ได้ จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถบรรลุจุดหมายปลายทางของชีวิต คือการได้เข้าถึงที่พึ่งภายใน คือพระรัตนตรัย

     ในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งมีความตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังมาตลอด แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า ก็ยังไม่เห็นผลของการปฏิบัติ จึงเกิดความท้อแท้คลายความเพียร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ได้ทรงเรียกภิกษุนั้นมาแล้วตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในกาลก่อน ได้กระทำความเพียร แม้ถือกำเนิดในสัตว์เดียรัจฉาน ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็ยังไม่ละความเพียรเลย” แล้วพระองค์ทรงระลึกชาติหนหลัง นำอดีตชาติในครั้งที่พระองค์ได้บังเกิดเป็นม้าอาชาไนย มาตรัสเล่าให้ภิกษุรูปนั้นฟังว่า...

     สมัยนั้น เราถึงความประเสริฐกว่าม้าทั้งหลาย ได้ชื่อว่า โภชาชานียะ มีลักษณะองอาจสง่างาม สมบูรณ์ด้วยพละกำลัง มีฝีเท้าเร็วประหนึ่งสายฟ้า เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสี ได้เป็นม้ามงคลคู่บารมีของพระเจ้าแผ่นดิน พระราชาทรงตั้งเราให้อยู่ในฐานะสหายของพระองค์ ในครั้งนั้นพระราชาได้ให้ข้าวสาลีที่เก็บไว้อย่างดีถึง ๓ ปี มีกลิ่นหอมและมีรสเป็นเลิศ ในภาชนะทองคำมีราคาถึงหนึ่งแสน ที่อยู่ของเรานั้นปูลาดด้วยผ้าอ่อนนุ่ม บนพื้นโปรยด้วยดอกไม้หอม มีม่านผ้ากัมพลแดงที่พระราชาทรงใช้เป็นฉากกั้น บนเพดานมีผ้าอันวิจิตรด้วยดาวทองระยิบระยับ ห้อยพวงดอกไม้หอมนานาชนิด

     กรุงพาราณสีนี้มีความอุดมสมบูรณ์มาก จึงทำให้เป็นที่ปรารถนาของเจ้าเมืองอื่น เมื่อพระเจ้าพรหมทัตทรงชราภาพ เจ้าเมืองจากที่ต่างๆ ถึง ๗ พระนครได้ร่วมมือกันบุกเข้าล้อมกรุงพาราณสีเพื่อต้องการจะยึดเมือง แล้วส่งทูตมาเจรจา ให้พระเจ้าพรหมทัตยอมศิโรราบ ไม่เช่นนั้นก็จะยกทัพเข้าตีเมือง

     พระเจ้าพรหมทัตจึงทรงเรียกเหล่าอำมาตย์มาประชุมกัน เพื่อปรึกษาหารือในการศึกครั้งนี้ อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ให้ส่งแม่ทัพม้าที่มีความสามารถออกไปทำการรบ พระราชาจึงทรงสั่งให้เรียกแม่ทัพม้าเข้ามา ตรัสถามว่า “เธอสามารถรบกับเจ้าเมือง ๗ เมืองได้หรือไม่” แม่ทัพม้ากราบทูลว่า “ถ้าข้าพระองค์ออกทำการรบร่วมกับม้าสินธพอาชาไนย ชื่อโภชาชานียะแล้ว อย่าว่าแต่พระราชา ๗ พระองค์เลย แม้พระราชาทั้งชมพูทวีป ข้าพระองค์ก็จักสามารถรบชนะพระเจ้าข้า” พระเจ้าพรหมทัตทรงวางพระทัย และได้มีพระบรมราชานุญาตตามที่ท่านแม่ทัพกราบทูล

     เราทะยานออกจากเมืองไปประดุจสายฟ้าแลบ แค่ม้าของข้าศึกเห็นเราก็เกรงกลัวกันแล้ว อีกทั้งความสามารถของแม่ทัพม้าก็เป็นเยี่ยม ทำให้สามารถทำลายกองทัพของเจ้าเมืององค์ที่ ๑ จับเจ้าเมืองเป็นเชลยได้ แล้วพามามอบให้พระราชา และกลับเข้าสู่สนามรบอีก จับเจ้าเมืององค์ที่ ๒ องค์ที่ ๓ ได้เรื่อยไป จนกระทั่งสามารถปราบข้าศึกได้ถึง ๖ เมือง แต่ในขณะที่จับเจ้าเมืององค์ที่ ๖ เราได้รับบาดเจ็บเพราะถูกลูกศรของข้าศึก

     เมื่อแม่ทัพม้ารู้ว่าเราได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงให้นอนอยู่ที่หน้าประตูพระราชวัง ปลดเกราะเราออกเพื่อจะผูกเกราะให้กับม้าตัวอื่นทำการรบแทน แต่เรารู้ว่าไม่มีม้าตัวใด หรือแม้ม้าทั้งชมพูทวีป ก็ไม่สามารถจะทำลายกองทัพที่ ๗ ซึ่งเป็นทัพที่แข็งแกร่งได้ นั่นหมายถึงว่า ความเพียรที่เราได้กระทำไว้ทั้งหมดก็จะสูญเปล่า และแม่ทัพม้าก็จักต้องตายในสนามรบ พระเจ้าพรหมทัตจะตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู ราชวงศ์ก็จะถึงกาลอวสาน ฉะนั้น ทั้งๆ ที่ยังนอนบาดเจ็บอยู่นั้น เราได้กล่าวกับแม่ทัพว่า...

     ดูก่อนท่านแม่ทัพ ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก นอกจากเราแล้ว ม้าตัวอื่นที่จะสามารถรบชนะนั้นย่อมไม่มี เราจะไม่ทำสิ่งที่เราได้เพียรพยายามทำไปแล้วให้เสียหาย ท่านจงพยุงเราลุกขึ้น ผูกเกราะให้เราเถิด” แล้วได้กล่าวคาถานี้ว่า “ม้าสินธพอาชาไนยถูกลูกศรแทงแล้ว แม้นอนตะแคงอยู่ข้างเดียว ก็ยังประเสริฐกว่าม้าทั้งหลาย ดูก่อนแม่ทัพ ท่านจงสวมเกราะให้เราออกรบเถิด”

     แม่ทัพม้าได้ร้องไห้ด้วยความสงสารเรา พยุงเราให้ลุกขึ้น เอาผ้าพันแผลอย่างเรียบร้อย แล้วก็ออกรบอีกครั้ง แม้เราจะได้รับความเจ็บปวดเพราะพิษร้ายของลูกศร แต่เราก็อดทน บุกทะลวงกองทัพหลวงของพระราชาองค์ที่ ๗ จนได้รับชัยชนะ แล้วจับพระราชามาเป็นเชลย เมื่อบรรลุราชกิจก็กลับเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัตด้วยความเหนื่อยอ่อน นอนลงที่หน้าพระลานหลวง

     พระราชารีบเสด็จออกมาดูอาการของเรา ทรงมิอาจที่จะกลั้นน้ำพระเนตรไว้ได้ เฝ้าแต่โทมนัสคร่ำครวญ เรารู้ว่าพระราชาทรงพิโรธพระราชาทั้ง ๗ จึงทูลว่า“ข้าแต่มหาราชผู้เจริญ พระองค์อย่าได้ฆ่าพระราชาทั้ง ๗ เลย ทรงให้ถวายสัตย์ปฏิญาณแล้วปล่อยไปเถิด อิสริยยศที่จะพึงประทานแก่ข้าพระบาท ขอทรงมอบให้ท่านแม่ทัพเถิด และอย่าได้ลงโทษท่านแม่ทัพ เพราะเหตุที่ข้าพระบาทต้องได้รับบาดเจ็บเลย ขอพระองค์จงตั้งใจบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา และครองราชสมบัติโดยธรรมเถิด” เมื่อกล่าวจบม้าโภชาชานียะก็สิ้นใจ

     พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตในกาลก่อน แม้ถือกำเนิดในสัตว์เดียรัจฉาน ได้กระทำความเพียรจนได้รับบาดเจ็บเห็นปานนี้ แต่ก็ไม่ละความเพียร ส่วนเธอออกบวชในศาสนานี้ ที่จะนำออกจากทุกข์ได้  เพราะเหตุไรเล่า จึงละความเพียรเสีย” แล้วทรงแสดงพระอริยสัจ ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ภิกษุผู้คลายความเพียรรูปนั้น ได้บรรลุอรหัตผลเป็นพระอรหันต์ในที่นั้นเอง

     พวกเราซึ่งเป็นนักสร้างบารมีก็เช่นเดียวกัน ต้องเข้มแข็งในการสร้างบารมีต่อไป สู้ต่อไปจนกว่าจะชนะ มุ่งไปให้ถึงเส้นชัยของชีวิต คือที่สุดแห่งธรรม ม้าสินธพอาชาไนยแม้เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ยังเป็นนักสู้ผู้ไม่ยอมพ่ายแพ้ในสงคราม เราเป็นมนุษย์ ไฉนจะยอมพ่ายแพ้ในสงครามแห่งชีวิต ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ในเมื่อเราปรารถนาจะให้โลกเข้าถึงสันติสุข และให้มวลมนุษยชาติได้เข้าถึงธรรมกาย แล้วเราจะยอมให้กิเลสอาสวะทั้งหลายมามีอิทธิพลเหนือจิตใจเราได้อย่างไร เพราะฉะนั้น อย่าได้ท้อถอย อย่าได้หวั่นไหวในการสร้างบารมีกัน

 จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๖๔-๗๑


อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ
(ภาษาไทย) เล่มที่ ๕๕   หน้า ๒๘๗
.......................

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...