วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563

สามัคคีคือพลัง

สามัคคีคือพลัง


                  เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพื่อแสวงหาสิ่งที่เป็นแก่นสารหรือตัวตนที่แท้จริง ที่มีความมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง และให้ความสุขอย่างเดียวไม่มีทุกข์เจือปนเลย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพบว่า พระรัตนตรัยเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด เป็นแก่นของชีวิต และมีอยู่ในตัวของพวกเราทุกคน แต่เป็นของละเอียด ซึ่งเราจะต้องปรับใจให้ละเอียดหยุดนิ่งเข้าไปตามลำดับ จึงจะเข้าถึงพระรัตนตรัยที่มีอยู่แล้วภายในได้ เข้าถึงแล้วจะมีความสุขอย่างไม่มีประมาณ เป็นบรมสุข เพราะพระรัตนตรัยเป็นธรรมอันเกษมจากโยคะ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย 
อิติวุตตกะ ว่า...

     ความสามัคคีของหมู่คณะนำความสุขมาให้ การสนับสนุนผู้ที่สามัคคีกัน ก็นำความสุขมาให้ ผู้ที่ยินดีในบุคคลผู้สามัคคีกัน มั่นคงในธรรม ย่อมไม่เสื่อมจากธรรมอันเกษมจากโยคะ”

       ที่ใดก็ตาม ที่มีความสมัครสมานสามัคคี มีความพร้อมเพรียงกันทุกคน ที่แห่งนั้นย่อมมีความสุข และการประพฤติปฏิบัติธรรมของบุคคล ในสถานที่ที่มีความสามัคคีกัน ย่อมได้รับผลแห่งการปฏิบัติที่ก้าวหน้า เพราะทุกคนต่างมีความสุขในการอยู่ร่วมกัน ความสุขเป็นรากฐานของความสำเร็จทั้งมวล

     แม้ในคราวที่มีภัยหรือมีอุปสรรค หากหมู่คณะมีความพร้อมเพรียงกัน ย่อมสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายให้พ้นภัยพิบัติไปได้ แต่เมื่อใดที่หมู่คณะขาดความสามัคคี มีการทะเลาะเบาะแว้งอวดดื้อถือดีไร้ความสามัคคีกันแล้ว หมู่คณะนั้นก็ย่อมจะพบกับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เรื่องความสามัคคีนี้พระบรมศาสดาทรงระลึกชาติหนหลัง แล้วนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าเป็นตัวอย่างให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า...

     ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นพญานกกระจาบ ปกครองฝูงนกกระจาบหลายพันตัว ขณะนั้นเอง นายพรานคนหนึ่ง พรางตัวอยู่ในพุ่มไม้แล้วทำเสียงเลียนแบบนกกระจาบ เมื่อฝูงนกได้ยินเสียง ต่างคิดว่าเป็นเสียงของพวกเดียวกัน จึงพากันบินลงมาข้างล่าง นายพรานก็จะใช้ตาข่ายทอดไปยังฝูงนกกระจาบเหล่านั้น แล้วจับไปขายเลี้ยงชีพ

     ครั้นเวลาผ่านไปฝูงนกกระจาบมีจำนวนลดลง พญานกจึงเรียกประชุมฝูงนกทั้งหมด เพื่อบอกวิธีที่จะทำให้รอดพ้นจากการถูกจับของนายพรานว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากนายพรานทอดตาข่ายมายังเบื้องบนของพวกเรา ขอให้ท่านทั้งหลายจงพร้อมใจกัน สอดหัวของตนเองเข้าไปในตาข่าย แล้วช่วยกันกระพือปีกบิน เพื่อยกตาข่ายขึ้นไปพาดไว้บนยอดไม้ที่มีหนาม ต่อจากนั้น รีบบินหนีออกมาทางด้านล่างตาข่าย  เมื่อเราพร้อมใจสามัคคีกันเช่นนี้ นายพรานก็จะไม่สามารถจับพวกเราได้” เมื่อนกกระจาบทั้งหมดเข้าใจแล้ว ก็เกิดความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ต่างรับคำว่าจะร่วมใจสามัคคีกัน

     วันต่อมา ขณะที่เหล่านกกระจาบกำลังหากินกันอยู่นั่นเอง นายพรานก็ได้พรางตัวหลบอยู่หลังต้นไม้ในที่ไม่ไกลนัก ทำเสียงร้องเลียนแบบนกกระจาบ เมื่อฝูงนกบินลงมาข้างล่าง นายพรานรีบทอดตาข่ายไปยังฝูงนก ทันทีที่พวกนกถูกตาข่ายคลุมตัว ต่างก็พร้อมใจกันสอดหัวเข้าไปในตาข่าย แล้วช่วยกันกระพือปีกบินพาเอาตาข่ายขึ้นไปไว้บนต้นไม้ตามที่พญานกสั่ง ทำให้นายพรานต้องเสียเวลาปีนต้นไม้ขึ้นไปปลดตาข่าย กว่าจะนำตาข่ายลงมาได้ก็มืดค่ำ อีกทั้งจับนกไม่ได้สักตัว ต้องกลับบ้านมือเปล่าอยู่หลายวัน

     ภรรยาของนายพรานเห็นสามีเดินกลับบ้านมือเปล่าหลายวัน ก็คิดว่าสามีของตนคงแอบไปมีหญิงอื่น จึงต่อว่าสามีไปต่างๆ นานา นายพรานต้องอธิบายอยู่นานกว่าจะทำให้ภรรยาเชื่อ พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาว่า ถ้าเมื่อใดพวกนกแตกความสามัคคีกัน เมื่อนั้นตนจะเอานกกระจาบมาฝากแน่นอน

      ผ่านไปได้อีก ๒-๓ วัน เหตุการณ์เป็นไปตามที่นายพรานคาดไว้ เมื่อนกกระจาบตัวหนึ่งไม่ทันสังเกต บินร่อนลงไปเหยียบโดนหัวนกกระจาบอีกตัวหนึ่ง แม้นกตัวนั้นจะขอโทษอยู่หลายครั้ง ว่าตนเองไม่ได้เจตนา แต่นกตัวที่โดนเหยียบก็ไม่ยอมให้อภัย จึงเกิดทะเลาะกันขึ้น เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน การทะเลาะวิวาทก็ขยายวงกว้างออกไป จนในที่สุดเกิดความแตกแยก แบ่งกันเป็น ๒ กลุ่ม

     เมื่อพญานกโพธิสัตว์รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฝูงนก จึงห้ามปรามและกล่าวตักเตือนอยู่หลายครั้ง เพื่อให้นกกระจาบทั้งหลายสมัครสมานสามัคคีกันเหมือนเดิม แต่นกกระจาบก็ยังทะเลาะกัน ต่างมีทิฏฐิดื้อดึง ไม่ยอมให้อภัยกัน

     พญานกโพธิสัตว์จึงคิดว่า ขึ้นชื่อว่าสถานที่ที่มีการทะเลาะกัน ไม่มีความสามัคคี ย่อมไม่ปลอดภัย ถ้านกกระจาบเหล่านี้ไม่ช่วยกันยกตาข่ายขึ้น ก็จะพากันถึงซึ่งความพินาศ พญานกได้พานกกระจาบที่ยังเชื่อฟังย้ายไปอยู่ที่อื่น หลังจากนั้นไม่นาน นายพรานก็สามารถจับนกกระจาบที่ทะเลาะกันไปทั้งหมด นกเหล่านั้นต้องถึงแก่ความตาย พบกับความหายนะที่เกิดจากการแตกความสามัคคีกันนั่นเอง

     เพราะฉะนั้นความสามัคคีเป็นสิ่งที่สำคัญ จะทำให้หมู่คณะเกิดความมั่นคง และทำให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เราทุกคนจะต้องมีความสมัครสมานสามัคคีกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อะไรที่สามารถให้อภัยกันได้ก็ให้อภัยกันเถอะ ไม่ควรถือสาหาความกัน ให้ระลึกเสมอว่า เพื่อนมนุษย์ทั้งหมดคือหมู่ญาติของเรา เราไม่เป็นศัตรูกับใคร เพราะศัตรูที่แท้จริงของเรา คือกิเลสอาสวะที่อยู่ในใจของเรา ไม่ใช่ใครอื่นทั้งสิ้น

     ดังนั้น เราจะต้องตั้งใจปฏิบัติธรรม เพื่อขจัดขัดเกลากิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป อย่าลุแก่อำนาจความโกรธ อย่าให้อารมณ์เพียงชั่ววูบมาทำลายความสงบ ความบริสุทธิ์ในใจเรา และมาทำลายความสามัคคีของหมู่คณะ เพราะเราสร้างบารมีกันเป็นทีม และยังจะต้องสร้างกันไปอีกยาวนาน “ทีม” คือหัวใจของการสร้างบารมี การไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรมนั้น เราจะไปคนเดียวไม่ได้ ต้องไปกันเป็นทีม และต้องร่วมมือร่วมใจกันฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลาย จนกว่าจะบรรลุจุดหมายปลายทาง

     โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ บ้านเมืองกำลังต้องการความสามัคคี โลกกำลังต้องการผู้คุ้มครอง อะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็ให้ช่วยกัน เราต้องมีความเอื้อเฟื้อ มีความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน ตั้งใจทำความดีให้เต็มที่ หมั่นปฏิบัติธรรมกันให้มากๆ จะได้มีกำลังบุญช่วยเหลือตนเอง ประเทศชาติและโลกให้เจริญรุ่งเรือง โดยเริ่มนับหนึ่งที่ตัวของเราก่อน หมั่นทำใจให้หยุดนิ่ง ทำความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้น แล้วกระแสแห่งความบริสุทธิ์จะเชื่อมถึงกันจากใจถึงใจ เป็นพลังแห่งความบริสุทธิ์อันไม่มีประมาณ

     เมื่อความบริสุทธิ์ภายในมากขึ้น ความเข้าอกเข้าใจกันก็จะเกิดขึ้น และจะแผ่ขยายไปทั่วประเทศ ทั่วโลก ปัญหาต่างๆ ก็จะค่อยๆ หมดไป สังคมและเศรษฐกิจทั่วโลกก็จะดีขึ้น มวลมนุษยชาติก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
     เพราะฉะนั้น ถ้าเราทุกคนพร้อมใจกันทำความดี พร้อมใจกันปฏิบัติธรรม ทำใจให้บริสุทธิ์หยุดนิ่งไปพร้อมๆ กัน สันติสุขที่แท้จริงย่อมบังเกิดขึ้น เพราะใจของทุกคนรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัย ถ้าทุกคนสามัคคีกันเพื่อให้เข้าถึงธรรมกายอย่างนี้ สันติสุขอันไพบูลย์ก็จะบังเกิดขึ้นในโลกอย่างแน่นอน



จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๑๗๙-๑๘๗

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ

(ภาษาไทย) เล่มที่ ๕๕   หน้า ๓๓๕

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563

อย่าโกรธกันเลย

อย่าโกรธกันเลย

     
          สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนปรารถนาความสุข มนุษยชาติต่างปรารถนาอยากให้โลกมีสันติสุข มีการเรียกร้องหาสันติภาพทั่วโลก แต่จะมีสักกี่คน ที่รู้ว่าสันติภาพภายนอกต้องเริ่มมาจากสันติสุขภายใน แล้วทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงสันติสุขภายในได้ เว้นจากการปฏิบัติธรรมแล้วไม่มีวิธีอื่นเลย ที่จะทำให้เราได้รู้จักกับสันติสุขที่แท้จริง เมื่อเราปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงพระธรรมกายภายในได้ เราจึงจะซาบซึ้งว่าพระธรรมกายเป็นแหล่งแห่งสันติสุข เป็นจุดกำเนิดของสันติภาพที่แท้จริง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ว่า...

     บุคคลพึงละความโกรธ สละความถือตัว ล่วงสังโยชน์ทั้งสิ้นได้ ทุกข์ทั้งหลายย่อมไม่ตกต้องบุคคลนี้ ผู้ไม่ข้องในนามรูป ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล”

     ขึ้นชื่อว่าความโกรธเมื่อเกิดกับผู้ใดแล้ว ย่อมแผดเผาใจให้เร่าร้อนกระวนกระวาย ส่งผลให้หน้าตาเศร้าหมองไม่ผ่องใส ไม่เป็นที่น่าคบหาสมาคมของเหล่าบัณฑิตนักปราชญ์ ผู้ที่ปล่อยให้ความโกรธครอบงำจิตใจอยู่เป็นประจำ ย่อมได้ชื่อว่าเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เหมือนไฟที่ไหม้เรือนหลังแรกแล้วลุกลามไปไหม้หลังที่สอง หลังที่สาม ลุกโหมเป็นเปลวไฟใหญ่ ไหม้ต่อๆ กันไปไม่สิ้นสุด

     ความโกรธนำแต่สิ่งที่เป็นโทษมาสู่ตนเองและคนอื่น ทำให้เป็นทุกข์ ยังเผาผลาญใจให้มอดไหม้ไปจากคุณธรรมความดี พระพุทธองค์จึงสอนให้ละความโกรธ ให้มีความอดทนอดกลั้น เบื้องต้นอาจรู้สึกเป็นความขมขื่น ทรมานจิตใจ แต่ผลที่ได้ในภายหลัง คือความสุขสดชื่น โล่ง โปร่ง เบา สบายใจ เหมือนท้องฟ้าหลังจากฝนตกใหม่ๆ ที่มีแต่ความสดใส ทำความสบายใจให้กับทุกผู้คน

     ในคราวหนึ่งท่านพระอนุรุทธะผู้เป็นเลิศในด้านทิพยจักษุ พาภิกษุ ๕๐๐ รูปเดินทางไปเมืองกบิลพัสดุ์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านเอง หมู่ญาติของท่านต่างพากันมาถวายภัตตาหารคอยอุปัฏฐากรับใช้เป็นอย่างดี มีเพียงน้องสาวของท่านชื่อโรหิณีที่ไม่มา พระเถระจึงถามว่า “โรหิณีอยู่ไหน ทำไมไม่มาร่วมทำบุญกับหมู่ญาติเล่า”

     พระประยูรญาติเรียนท่านว่า “พระนางอยู่ในตำหนัก ที่ไม่เสด็จมา เพราะทรงละอายที่ตนเองเป็นโรคผิวหนัง มีตุ่มขึ้นเต็มตัว แม้จะหาหมอมารักษา สูญเสียเงินทองมากมายก็ไม่สามารถรักษาให้หาย” ด้วยความกรุณาพระเถระจึงให้ไปเชิญพระนางมา และแนะนำให้ทำบุญใหญ่ โดยการสร้างโรงฉันสำหรับพระภิกษุ ๕๐๐ รูป อีกทั้งให้ทำความสะอาดโรงฉันเป็นประจำ

     พระนางโรหิณีได้ขายเครื่องประดับทั้งหมด แล้วนำทรัพย์มาสร้างโรงฉัน ทำเป็น ๒ ชั้นตามคำแนะนำของพระเถระ แม้ว่าโรงฉันยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี พระเถระก็เมตตานิมนต์พวกภิกษุมาฉันเป็นประจำ พระนางมีความผูกพันกับการสร้างโรงฉันมาก ได้ทำการกวาดถูให้สะอาดอยู่เป็นนิตย์ ด้วยอานุภาพบุญนั้นเอง โรคผิวหนังของนางค่อยๆ หายไป กลับมีผิวพรรณวรรณะเปล่งปลั่งดั่งทอง มีร่างกายที่ผ่องใส เป็นที่ดึงดูดตาดึงดูดใจของผู้พบเห็น เมื่อโรงฉันเสร็จสมบูรณ์ดีแล้ว พระนางได้นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุขมาเต็มโรงฉัน แล้วถวายภัตตาหารที่ประณีตแด่พระสงฆ์ทั้งหมด

     พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ตรัสถามว่า “นี้เป็นทานของใคร” พระอนุรุทธะกราบทูลว่า “พระพุทธเจ้าข้า ทานนี้เป็นทานของพระนางโรหิณีน้องสาวของข้าพระองค์” พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงรับสั่งให้เรียกพระนางมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามว่า “ดูก่อนโรหิณี เธอรู้ไหมว่า ทำไมจึงเป็นโรคผิวหนัง” 

     พระนางโรหิณีตอบว่า “ไม่ทราบ เจ้าข้า” 
     “โรคนั้นเกิดขึ้น เพราะความโกรธของเธอนั่นเอง” แล้วพระองค์จึงทรงเล่าถึงกรรมในอดีตของเธอว่า

     ในอดีตชาติ พระนางเกิดเป็นอัครมเหสีของพระเจ้ากรุงพาราณสี เมื่อรู้ว่าพระเจ้ากรุงพาราณสีหลงใหลหญิงนักฟ้อนคนหนึ่ง นางเกิดความริษยา จึงคิดหาทางกลั่นแกล้งหญิงนักฟ้อน วันหนึ่งพระนางออกอุบาย ให้เรียกหญิงนักฟ้อนมาพบตามลำพัง ในขณะที่หญิงนักฟ้อนนั้นมาเข้าเฝ้า พระนางส่งคนนำผงหมามุ่ยไปโปรยลงบนที่นอน ผ้าห่ม เครื่องใช้ต่างๆ และยังให้โปรยใส่ตัวของหญิงนักฟ้อนอีกด้วย

     เมื่อหมามุ่ยถูกผิวกายหญิงนักฟ้อนก็เกิดอาการคัน ผิวหนังเกิดเป็นตุ่มเล็กตุ่มน้อยเป็นแผลพุพอง ครั้นกลับไปนอนบนเตียง ก็ยิ่งคันทุรนทุรายหนักขึ้นไปอีก นางได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส ด้วยวิบากกรรมนั้น ทำให้พระนางตกนรกหลายชาติ และด้วยเศษกรรมนั้นจึงทำให้เป็นโรคผิวหนังในชาตินี้  เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอดีตชาติของพระนางโรหิณีแล้ว จึงตรัสแก่พระนางว่า “ดูก่อนโรหิณี ความโกรธ.. ความอิจฉาริษยา แม้เพียงเล็กน้อย ไม่สมควรทำเลย”

     จากนั้นทรงสอนนางต่อไปว่า “บุคคลพึงละความโกรธ สละความถือตัว ล่วงสังโยชน์ทั้งสิ้นได้ ทุกข์ทั้งหลายย่อมไม่ตกต้องบุคคลนี้ ผู้ไม่ข้องในนามรูป ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล”  

     พระนางโรหิณีได้ปล่อยจิตไปตามกระแสพระธรรมเทศนาของพระองค์ ในที่สุดก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน นอกจากจะไม่เป็นโรคผิวหนังแล้ว ยังได้พบความสุขอันเป็นอริยะ ผิวพรรณวรรณะของนางยิ่งผ่องใสขึ้น เมื่อละโลกไปแล้ว นางไปเกิดเป็นเทพธิดา เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

     จะเห็นได้ว่า ความโกรธ ความอิจฉาริษยาไม่มีผลดีสำหรับเราเลย ฉะนั้นอย่าปล่อยให้ความโกรธเข้ามาครอบงำจิตใจของเราได้ ควรมีเมตตาให้อภัยกันเสมอ วิธีการที่จะเอาชนะความโกรธ คือการหมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่ง  เมื่อหยุดนิ่งแล้วก็แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ไม่มีประมาณ ถ้าทำทุกวันจนกระทั่งติดเป็นนิสัย ใจเราปลอดโปร่งเบาสบาย จิตใจสงบเยือกเย็น เลือดลมในตัวจะเดินได้สะดวก ส่งผลต่อเซลล์ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ผิวพรรณวรรณะผ่องใสเสมอ

     นอกจากนี้การแผ่เมตตายังทำให้หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ตื่นแล้วก็มีความสดชื่น พร้อมที่จะทำงาน และเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ได้ ทำให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงอายุยืนยาว ภัยต่างๆ ทำอันตรายไม่ได้ เราจะเป็นที่รักเคารพของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เมื่อปฏิบัติธรรมจิตจะหยั่งลงสู่ศูนย์กลางกายเป็นสมาธิได้รวดเร็ว ทำให้รู้แจ้งเห็นแจ้งในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยง่าย

     อารมณ์ภายนอกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ซึ่งไม่เป็นที่ปรารถนา เมื่อมากระทบจะไม่มีโอกาสกระเทือนถึงจิตใจ  ใจของเราจะผ่องใสเยือกเย็นเป็นสุขอยู่ภายในราวกับผู้นิรทุกข์ เพราะฉะนั้นให้หมั่นฝึกใจไม่ให้เป็นคนมักโกรธ ให้เป็นคนมีความปรารถนาดีต่อทุกคนตลอดเวลา


จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๒๑๒-๒๑๙

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ

(ภาษาไทย) เล่มที่ ๔๒  หน้า ๔๒๖

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

คนจะดีอยู่ที่การกระทำ

คนจะดีอยู่ที่การกระทำ

                 เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี เพราะการสร้างบารมีเป็นงานที่แท้จริงของมวลมนุษยชาติ พระบรมโพธิสัตว์ในกาลก่อนท่านก็ทำอย่างนี้ คือสร้างบารมีไปจนกว่าบารมีจะเต็มเปี่ยม ได้บรรลุจุดหมายปลายทางของชีวิต เราเกิดมาภพชาติหนึ่งเพื่อสั่งสมบุญบารมีเท่านั้น บุญที่เราทำไว้ดีแล้ว จะเป็นเสบียงในการเดินทางไกลในสังสารวัฏ ทำให้เรามีความสุขตลอดเส้นทางของชีวิต จนกระทั่งเข้าถึงบรมสุขอันเป็นนิรันดร์ คือได้ถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อัคคิภารทวาชสูตร ความว่า...
     “บุคคลไม่ได้เป็นคนเลวเพราะชาติ ไม่ได้เป็นคนดีเพราะชาติ แต่เป็นคนเลวเพราะการกระทำ เป็นคนดีเพราะการกระทำ”

          ชาติแปลว่า การเกิด คนจะดีหรือไม่ดีนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชาติกำเนิด แต่อยู่ที่การกระทำ ไม่ว่าจะเกิดเป็นคนยากดีมีจน ถ้าหากคิดดีพูดดีทำดี ก็สามารถเป็นคนดีได้ เหมือนอย่างพระบรมโพธิสัตว์ บางชาติท่านพลาดพลั้งไปเกิดในตระกูลที่มีแต่คนดูหมิ่นเหยียดหยาม ใครได้พบเห็นก็สบประมาทหาว่าเป็นอัปมงคล 

             แต่ในความเป็นจริง สิริมงคลเกิดจากการประพฤติปฏิบัติอยู่ในทำนองคลองธรรม ใครทำความดี ผลแห่งความดีย่อมเกิดกับผู้นั้น ดังนั้นท่านจึงตั้งหน้าตั้งตาทำความดีอย่างไม่ย่อท้อ จนกลายมาเป็นต้นแบบในการทำความดีของชาวโลก

        ครั้งหนึ่ง พระบรมโพธิสัตว์ถือกำเนิดในวรรณะจัณฑาล มีชื่อว่า มาตังคะ มีฐานะยากจน รูปร่างหน้าตาผิวพรรณไม่เป็นที่เจริญตา  วันหนึ่ง ในเมืองมีเทศกาลดื่มสุราและงานมหรสพ บรรดานักดื่มทั้งหลายต่างมาประชุมรวมกันเพื่อสังสรรค์ ลูกสาวของพราหมณ์คนหนึ่งชื่อ ทิฏฐมังคลิกา ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาสวยงามกว่าหญิงทั้งหลายในเมืองนั้น ได้นั่งบนยานพาหนะเทียมด้วยม้าขาว มุ่งหน้าเข้าไปในเมือง

         ขณะที่บริวารของนางกำลังกันฝูงชนให้พ้นออกไปจากทางเดินอยู่นั้น  นางเหลือบไปเห็นมาตังคะ กำลังยืนถือกะลาอยู่ที่หน้าประตูพระนคร ตามปกติถ้าลูกสาวของพราหมณ์ได้พบเห็นสิ่งที่ไม่เจริญตา นางเกิดความรังเกียจขึ้นมาทันที วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อเหลือบเห็นมาตังคะ นางรีบบอกบริวารว่า “วันนี้ได้เห็นสิ่งที่เป็นอัปมงคล ผู้ที่เห็นชายคนนี้จะหาความเจริญได้อย่างไรกัน” ว่าแล้วก็พาบริวารกลับบ้านด้วยความขุ่นเคืองใจยิ่งนัก

        ชาวเมืองที่รอคอยการมาของนาง เมื่อไม่เห็นนางมา และรู้ว่ามาตังคะเป็นต้นเหตุ ก็พากันโกรธเคือง ต่างช่วยกันรุมทุบตีมาตังคะจนบาดเจ็บสาหัส และสลบไป แล้วนำร่างไปทิ้งที่กองขยะ  เมื่อมาตังคะรู้สึกตัวขึ้นมา รู้ว่าลูกสาวพราหมณ์เป็นต้นเหตุให้ตนถูกชาวเมืองรุมประชาทัณฑ์ จึงตรงไปที่บ้านของพราหมณ์ แล้วนอนขวางหน้าประตูบ้านประกาศว่า “ถ้าไม่ได้ลูกสาวพราหมณ์มาเป็นภรรยาก็จะไม่ยอมลุกขึ้น จะนอนตายอยู่ที่ตรงนี้แหละ”

         คนในสมัยนั้นเชื่อกันว่า ถ้าคนจัณฑาลมานอนตายอยู่หน้าประตูบ้านของใคร คนในบ้านหลังนั้น และบ้านใกล้เคียงโดยรอบอีก ๗ หลังคาเรือน ต้องกลายเป็นคนวรรณะจัณฑาลหมด พ่อของนางกลัวนายมาตังคะจะมานอนตายอยู่หน้าบ้าน จึงสั่งให้คนรับใช้ขนเงินทองเป็นจำนวนมากมาให้เขา  แล้วอ้อนวอนให้ย้ายไปอยู่ที่อื่น

          แต่เขาก็ไม่ยอม และไม่สนใจที่จะรับของมีค่าเหล่านั้น ยังคงนอนอยู่ที่เดิมไม่ยอมไปไหน จนผ่านไปถึง ๗ วัน เพื่อนบ้านรอบๆ ทนไม่ไหว เพราะ ๗ วันแล้ว มาตังคะยังไม่ได้กินอะไรเลย วันนี้เขาต้องตายแน่ ต่างบีบคั้นให้พราหมณ์ยกลูกสาวให้ เพื่อเรื่องจะได้จบลง

       ในที่สุดพราหมณ์จำต้องยอมยกลูกสาวสุดที่รักให้มาตังคะ แต่พระโพธิสัตว์ไม่มีเจตนาจะได้นางมาเป็นภรรยา เพียงแต่ต้องการขจัดทิฐิมานะของนางที่ดูถูกดูหมิ่นคนจัณฑาลเท่านั้น ความรู้สึกโกรธแค้นนางก็ไม่มี กลับนึกสงสารนางที่ต้องมาอยู่อย่างลำบาก และเป็นที่รังเกียจของชาวเมือง ในฐานะที่เป็นภรรยาของคนจัณฑาลเช่นนี้

       ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน พระโพธิสัตว์ไม่เคยกระทำสิ่งใดที่ล่วงเกินนาง  เมื่ออยู่ด้วยกันได้ครึ่งเดือน จึงคิดที่จะสงเคราะห์นาง ท่านตัดสินใจเข้าป่าไปบวชเป็นดาบส และตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนา ไม่นานก็ได้บรรลุฌานสมาบัติ และคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะเป็นที่พึ่งให้นาง จึงเหาะมาหาพร้อมกับบอกกุศโลบายที่จะให้คนทั่วทั้งชมพูทวีปมาทำการสักการบูชา เพื่อนางจะได้เป็นที่รักที่เคารพเลื่อมใสของมหาชนเหล่านั้น

         พระโพธิสัตว์สั่งให้นางประกาศทั่วเมืองว่า “ท้าวมหาพรหมเป็นสามีของนาง มิใช่นายมาตังคะ แล้วในคืนวันเพ็ญที่ใกล้จะถึงนี้ พระองค์จะแหวกมณฑลของพระจันทร์มาปรากฏตัว ทั่วทั้งชมพูทวีปจะได้เห็นกัน”  นางได้ทำตามคำพระโพธิสัตว์ แต่ถูกชาวเมืองหัวเราะเยาะ

         นางก็ไม่ย่อท้อ เที่ยวป่าวประกาศไปทั่วเมืองทุกวัน จนถึงวันที่ ๗ ชาวเมืองเริ่มลังเล คิดว่าอาจเป็นจริงตามที่นางประกาศ ครั้นพูดตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกชาวเมืองจึงเชื่อ แล้วพากันสร้างมณฑปที่ประตูเรือน และตกแต่งเครื่องประดับอย่างดีให้นาง เพื่อให้คู่ควรแก่ท้าวมหาพรหม

       เมื่อถึงคืนวันเพ็ญ พระจันทร์กำลังลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า พระโพธิสัตว์ก็ปรากฏตัวออกมาจากพระจันทร์ เหาะลงมาให้ชาวเมืองได้เห็น ชาวเมืองต่างบูชาพระองค์เป็นการใหญ่ พระองค์เหาะไปที่มณฑป และเอามือลูบท้องของนางเพื่อให้นางตั้งครรภ์ แล้วเหาะกลับไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่าตามเดิม

        มหาชนเห็นเหตุการณ์อัศจรรย์เช่นนั้น จึงพร้อมใจกันทำสักการบูชาด้วยทรัพย์สินเงินทองมากมาย ได้สร้างปราสาทอันวิจิตรสวยงามให้อยู่ และบำรุงเลี้ยงดูอย่างดี เพราะเชื่อว่านางเป็นภรรยาของท้าวมหาพรหมผู้ให้กำเนิดพราหมณ์ทั้งหลาย

           ต่อมานางคลอดบุตร และได้ตั้งชื่อว่า มัณฑัพยกุมาร เพราะเกิดในมณฑป เมื่อเติบโตขึ้นเขาเป็นเด็กฉลาดแต่มีทิฐิมานะ ให้ทานเฉพาะพวกพราหมณ์เท่านั้น ส่วนนักบวชที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบอื่นๆ ตลอดจนคนกำพร้าหรือยาจกเข็ญใจกลับไม่ยอมให้

        พระโพธิสัตว์ล่วงรู้ด้วยวาระจิต ประสงค์จะสั่งสอนบุตร เพื่อให้ทานแก่ทุกๆ คนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้รู้จักให้ทานกับผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญที่แท้จริง จึงเหาะมาที่หน้าบ้านเพื่อเป็นเนื้อนาบุญ ทันทีที่เขาเห็นพระโพธิสัตว์เท่านั้น เขาโกรธมาก และด่าว่าเป็นนักบวชนอกรีต ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่ควรที่จะมารับทานอันประณีต แล้วให้คนรับใช้ขับไล่ และทุบตีพระโพธิสัตว์

              พวกเทวดาที่คุ้มครองรักษาพระโพธิสัตว์ เห็นเหตุการณ์นั้นโดยตลอด รู้สึกโกรธเคืองมัณฑัพยะมาก จึงจับมัณฑัพยกุมารเอาขาชี้ฟ้าแล้วบิดคอจนลูกตาเหลือกถลน น้ำลายฟูมปากหายใจไม่ออก

       เมื่อมารดาเห็นบุตรมีอาการประหลาดอย่างนั้น จึงอ้อนวอนพระโพธิสัตว์ให้ช่วยเหลือ ท่านจึงคายข้าวต้มที่อยู่ในปากให้นางไปหน่อยหนึ่ง แล้วให้นำไปผสมกับน้ำ เอาไปหยอดใส่ตาใส่หูของลูกชาย ครั้นลูกชายหายเป็นปกติแล้ว นางก็พาไปกราบขอขมาพระบรมโพธิสัตว์ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ตั้งใจให้ทานกับทุกคนอย่างสม่ำเสมอม รวมทั้งกับสมณพราหมณ์ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบด้วยความเคารพเลื่อมใส

       เราจะเห็นว่า การจะตัดสินว่าใครเป็นคนดี เป็นพาลหรือบัณฑิต ไม่ได้ดูแค่ผิวเผินภายนอก แต่ต้องดูกันเข้าไปถึงคุณธรรมภายใน ดูที่การประพฤติปฏิบัติ ว่ามีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจเพียงไร เพราะคนดีที่แท้จริงไม่ต้องไปหาดูที่ไหน ให้ดูที่ในตัวของเรา

             ถ้าเราทำใจหยุดนิ่งได้ เราจะพบกับสรณะภายในคือพระธรรมกายที่มีความบริสุทธิ์ และเป็นคนดีที่แท้จริง  ดังนั้น ให้หมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่งตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ ให้รักษาใจให้ผ่องใส อย่าให้ขุ่นมัวไปตามกระแสโลก ประคับประคองใจให้หยุดนิ่งกันให้ได้ทุกๆ คน


จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๒๖๙-๒๗๖

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ

(ภาษาไทย) เล่มที่ ๖๑   หน้า 

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2563

เพื่อนพ้องพี่น้องกัน

เพื่อนพ้องพี่น้องกัน

             ธรรมดาของสรรพสัตว์ และสรรพสิ่งทั้งหลาย ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อมสลาย แม้แต่โลกใบนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เริ่มจากบรรยากาศที่เคยสะอาดบริสุทธิ์ ผู้คนมีอายุยืนเป็นหมื่นๆ ปี แต่การกระทำของมนุษย์ทำให้สัตว์โลก อากาสโลก สังขารโลกเริ่มไม่บริสุทธิ์ ทำให้อายุเริ่มถดถอยลงไป เหลือเพียงไม่กี่สิบปี เกิดมาก็มุ่งหน้าไปสู่ความเสื่อมสลาย เข้าสู่ปากพญามัจจุราช ผู้ฉลาดจึงไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต ควรมองให้เห็นโทษของความเสื่อมนั้น จะได้คลายจากความยึดมั่นถือมั่นในโลกทั้งปวง แล้วมุ่งแสวงหาหนทางแห่งความหลุดพ้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย จริยาปิฎก ว่า....

     “ท่านทั้งหลายจงเห็นการทะเลาะวิวาทกันว่า เป็นเหตุแห่งภัย และเห็นการไม่วิวาทกันว่า เป็นความเกษมสำราญแล้ว พึงเป็นผู้พร้อมเพรียง มีความประนีประนอมกันเถิด นี้เป็นพระพุทธานุสาสนี”

     การทะเลาะวิวาทนำมาซึ่งความแตกแยก ทำให้เกิดความห่างเหิน จะแสวงหาความรักความเมตตาจากคนที่ทะเลาะกันไม่ได้เลย มีภัยต่างๆ มากมายที่เกิดจากการทะเลาะกัน ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากความคิดเห็นที่แตกต่างกัน มีการมองต่างมุม เมื่อมองคนละมุม ย่อมเห็นไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างคิดว่าวิธีการของตนเองดีที่สุด แม้เพียงสังเกตจากรูปร่างหน้าตา คนในปัจจุบันยังเริ่มรังเกียจกันแล้ว ทำให้เกิดความแตกแยก ความรักกันฉันท์มิตรเริ่มห่างออกไปทุกขณะ

     ตลอดพระชนม์ชีพของการเผยแผ่พระสัทธรรมของพระบรมศาสดาของเรา พระองค์ทรงเป็นประดุจน้ำทิพย์ชโลมดิน เชื่อมประสานมนุษยชาติให้มีความเข้าใจอันดีต่อกัน ไม่ทรงสนับสนุนการแบ่งเชื้อชาติ ผิวพรรณ วรรณะ ไม่ให้มีการทะเลาะวิวาทกัน ทรงสอนให้มีความเมตตาปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า เรารักพ่อแม่ลูกหลานญาติมิตรเพียงไร ก็ให้มีความรักปรารถนาดีต่อทุกๆ คนในโลกเพียงนั้น ให้มองว่าโลกใบนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ เพราะจุดกำเนิดของทุกคนมาจากต้นแหล่งเดียวกัน

     ครั้นกาลเวลาได้หมุนเวียนเปลี่ยนไป อีกทั้งมีภพชาติมาขีดคั่นไว้ ทำให้เราไม่รู้ว่า อันที่จริงแล้วพวกเราเป็นเพื่อนพ้องพี่น้องกัน เป็นญาติกันทั้งนั้น

      เหมือนในสมัยพุทธกาล นักบวชนอกศาสนาชื่อวาเสฏฐะ และภารทวาชะ มีความศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนามาก จึงมาขอบวชเป็นสามเณร อาศัยอยู่กับพระภิกษุ แล้วตั้งใจปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เย็นวันหนึ่ง ทั้งสองรูปพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะได้ฟังธรรมอันประเสริฐจากพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า “พวกเธอเคยเป็นพราหมณ์มาก่อน แล้วมาเปลี่ยนศาสนาอย่างนี้ ไม่โดนเขาว่าเอาบ้างหรือ”

     วาเสฏฐะกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ไม่พอใจพวกเราเป็นอย่างมาก อีกทั้งด่าด้วยถ้อยคำหยาบ พวกเขากล่าวหาว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐที่สุด วรรณะเหล่าอื่นเลวทราม พวกพราหมณ์เป็นผู้บริสุทธิ์ บุคคลอื่นไม่บริสุทธิ์ พราหมณ์ทั้งหมดเกิดจากปากของพระพรหม พวกท่านมาละทิ้งวรรณะที่ประเสริฐ เข้าไปอยู่ในวรรณะที่เลวทราม คือพวกสมณะโล้น ที่เกิดจากเท้าของพระพรหมทำไม”

     พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสให้กำลังใจว่า “ดูก่อนวาเสฏฐะ และภารทวาชะ พวกพราหมณ์ระลึกถึงเรื่องเก่าของตนเองไม่ได้ จึงว่ากล่าวพวกเธอเช่นนั้น  ถ้าหากทุกเชื้อชาติ วรรณะ เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต ไม่ลักขโมย ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ส่อเสียด คำหยาบ เพ้อเจ้อ ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของคนอื่น มีจิตไม่พยาบาท เป็นสัมมาทิฏฐิ แม้จะอยู่ในสถานะใด ก็น่านับถือทั้งนั้นแหละ เพราะธรรมเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชนและในหมู่มนุษย์ ผู้ฝึกตนดีแล้วเป็นผู้ประเสริฐที่สุด”

     อันที่จริงแล้ว ลูกของพราหมณ์ทุกคน เป็นผู้เกิดจากนางพราหมณีทั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากปากของพรหม เขาพากันกล่าวตู่พระพรหม ในสมัยกำเนิดโลกใหม่ๆ โน้น หลังจากที่โลกเย็นตัวลง เกิดเป็นหมอกควัน บรรยากาศค่อยเย็นตัวลง จักรวาลนี้กลายเป็นน้ำไปหมด มีแต่ความมืด ทั้งดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ยังไม่ปรากฏ ดวงดาวนักษัตรก็ยังไม่มี ไม่มีกลางคืนหรือกลางวัน

     สมัยแรกๆ ง้วนดินเกิดขึ้นมาลอยอยู่บนน้ำ คล้ายน้ำนมสดที่เคี่ยวแล้ว ทำให้เย็นสนิท ง้วนดินสมบูรณ์ด้วยสี กลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใสอย่างดี มีรสอร่อยมาก เหล่าอาภัสสรพรหมที่ล่องลอยไปในอากาศ ได้กลิ่นหอมหวนยั่วยวนใจ เกิดความสงสัยขึ้นมา จึงทดลองเอานิ้วมือช้อนเอาง้วนดินขึ้นมาชิม ทันใดนั้นเอง ง้วนดินได้แผ่ซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ทำให้อยากจะบริโภคอีก

     เนื่องจากง้วนดินมีลักษณะกึ่งหยาบกึ่งละเอียด เมื่อบริโภคเข้าไปทำให้รัศมีกายหายไป ร่างกายหนักไม่สามารถเหาะกลับขึ้นไปบนพรหมโลกได้  เมื่อรัศมีเฉพาะตัวหายไป พระจันทร์และพระอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้นมาให้ความสว่าง หมู่ดาวนักษัตรก็ปรากฏตามมา ทำให้เห็นเป็นกลางคืนกลางวัน เมื่อหมู่สัตว์พากันบริโภคง้วนดินเป็นอาหาร ความแข็งแกร่งของร่างกายก็เกิดขึ้น มีผิวพรรณดี แต่บางพวกมีผิวพรรณหยาบกร้านตามกำลังบุญที่เคยสั่งสมเอาไว้ เมื่อมีการดูหมิ่นเรื่องผิวพรรณ ง้วนดินได้อันตรธานหายไป เหลือเพียงกะบิดินซึ่งมีรูปร่างคล้ายเห็ด มีกลิ่น รส หอมอร่อย มนุษย์สมัยนั้นพากันบริโภคกะบิดินเป็นอาหาร

     เมื่อบริโภคไปมากๆ ประกอบกับการดูถูกเหยียดหยามเรื่องสีผิวกันมากขึ้น กะบิดินก็อันตรธานหายไปอีก แม้กะบิดินหายไป แต่เนื่องจากเคยสั่งสมบุญเอาไว้มาก เครือดินก็ปรากฏขึ้นมาแทน เครือดินมีลักษณะคล้ายๆ กับผลมะพร้าว มีสี มีกลิ่น หอมหวานเหมือนกัน เมื่อไม่มีกะบิดิน ก็ต้องบริโภคเครือดินเป็นอาหารเรื่อยมา จากที่เคยรับประทานเครือดิน ก็เปลี่ยนมาเป็นข้าวสาลี ซึ่งบังเกิดโดยไม่ต้องไถหว่านกัน ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ มีกลิ่นหอม สมัยแรกๆ คนพากันขนข้าวสาลีมารับประทาน มีสารอาหารครบทุกหมู่ โดยไม่จำเป็นต้องไปหาอาหารอย่างอื่นมาบริโภคอีก

     กาลเวลาผ่านไปเป็นล้านๆ ปี จากที่เคยเสวยสุขด้วยฌานสมาบัติบนพรหมโลก กลายมาเป็นมนุษย์ต้นกัปผู้บริโภคข้าวสาลีซึ่งเป็นของหยาบ บางคนเกียจคร้าน ไม่อยากเสียเวลาออกไปเก็บข้าวสาลีทุกวัน ก็ไปขนมาจากไร่คราวละมากๆ มากักตุนเอาไว้ ทำให้ข้าวสาลีงอกขึ้นมาไม่ทัน จากเมล็ดเท่าผลมะพร้าว ก็เล็กลงๆ ทุกวัน โอชารสหดหายไปด้วย

     เมื่อผู้คนเริ่มมากขึ้น มีการแยกย้ายกันไปอยู่ตามใจชอบ มีการแบ่งเขตพื้นที่กัน ครั้นกาลเวลาผ่านไปอีก เกิดมีแม่น้ำ ภูเขา ทะเล มาขวางกั้น ทำให้มนุษย์ห่างเหินกันมากขึ้นๆ จนแทบจะจำกันไม่ได้เลย เหมือนเราเคยเจอใครคนหนึ่ง แต่เมื่อจากกันนานๆ ก็จำกันไม่ได้แล้ว ชีวิตและความเป็นอยู่ของแต่ละแห่งแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม ทำให้มีภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป มีที่พึ่งที่ระลึกไม่เหมือนกัน ความเป็นหมู่ญาติกันเริ่มหดหายไป กลายเป็นคนแปลกหน้า เหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย โลกหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างนี้แหละ แล้วยังจะคงหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแตกสลายในที่สุด

     บัดนี้ พวกเราได้ทราบแล้วว่า โลกนี้เปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ ที่ทุกคนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน เป็นหมู่ญาติกันมาก่อน จึงควรที่เราจะมีความเมตตา พร้อมจะให้อภัยแก่กันและกัน เรามาร่วมกันรังสรรค์โลกนี้ให้น่าอยู่กันเถอะ ช่วยกันทำโลกนี้ให้เป็นโลกในอุดมคติของมวลมนุษยชาติที่ไม่มีการแบ่งแยก ทุกคนมีความคิดคำพูดการกระทำที่เหมือนๆ กัน รักในการทำความดี มีจุดร่วมในการแสวงหาความสุขภายในเหมือนกัน เพราะเป้าหมายของมนุษย์ ก็คือทำตนให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปสู่พระนิพพานอันเป็นอมตะ 

     เพราะฉะนั้น ให้หมั่นฝึกฝนใจให้หยุดนิ่งให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในตัวให้ได้ แล้วจะรู้ว่า มนุษย์ทุกคนมาจากต้นแหล่งเดียวกัน และจะกลับไปสู่ความเหมือนกันทั้งหมด จะทำให้เรารักสรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า ด้วยความปรารถนาดีอย่างแท้จริง

จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน  ฉบับสารธรรม ๑ หน้า ๔๑๕-๔๒๓

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ

(ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๕  หน้า ๑๔๕

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2563

พระธรรมทูตหลังพุทธกาล

พระธรรมทูตหลังพุทธกาล
 

            ในสมัยแรกๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงส่งเหล่าพระอริยสาวกไปเผยแผ่ธรรมะตามสถานที่ต่างๆ ท่านได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า...
                           จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย
พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย

                 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนมากมาย เพื่อความสุขแก่มหาชน และเพื่ออนุเคราะห์ชาวโลกทั้งหลายเถิด”

                 ในสมัยหลังพุทธปรินิพพานประมาณ ๓๐๐ ปี หลังจากได้ทำสังคายนาครั้งที่ ๓ แล้ว  พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระมองเห็นการณ์ไกลว่า การจะให้พระพุทธศาสนาแผ่ขยายไปทั่วโลกได้ ต้องมีพระธรรมทูตไปทำหน้าที่เผยแผ่ธรรมะ ทั้งภายในและต่างประเทศ พระพุทธศาสนาจึงจะเจริญรุ่งเรืองสถิตสถาพร เป็นที่พึ่งให้กับชาวโลกตลอดกาล พระเถระได้ปรึกษากับพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกให้กับพระพุทธศาสนา และรับอาสาสมัครพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ที่มีความสามารถในการเทศน์สอน ให้ออกไปเป็นทหารกล้าแห่งกองทัพธรรม นำธรรมะไปสู่ใจของชาวโลก

                  สมัยนั้นได้แบ่งพระธรรมทูตออกเป็น ๙ สาย   ... พระมัชฌันติกเถระ  ไปแคว้นกัสมีระ... พระมหาเทวเถระ  ไปมหิสกมณฑล ...พระรักขิตเถระ  ไปวนวาสีชนบท ...พระโยนกธัมมรักขิตเถระ ไปอปรันตกชนบท ....พระมหาธัมมรักขิตเถระ  ไปมหารัฐชนบท ...พระมหารักขิตเถระ  ไปแคว้นโยนก ...พระมัชฌิมเถระ  ไปหิมวันตประเทศ ...พระโสณกเถระและพระอุตตรเถระ  ไปดินแดนสุวรรณภูมิ คณะสุดท้าย คือ ...คณะของท่านมหินทเถระ ไปเกาะลังกา

                    พระมหาเถระทั้งหมดได้พาหมู่คณะออกเดินทางไกล เพื่อไปทำหน้าที่ของยอดกัลยาณมิตรในต่างแดน แต่ละรูปต่างพบปัญหา และอุปสรรคที่แตกต่างกันไป เมื่อปัญหาเกิดขึ้นท่านได้ร่วมกันแก้ไข เช่น ประสบการณ์ของพระมัชฌันติกเถระ ที่เดินทางไปประกาศศาสนาที่แคว้นกัสมีระ ในสมัยที่ฤดูข้าวกล้าออกรวง ขณะที่ชาวนากำลังจะเก็บเกี่ยวข้าว ได้มีพญานาคราช ชื่อ อารวาฬ บันดาลฝนลูกเห็บให้ตกลงมา ทำให้ข้าวกล้าเสียหาย ชาวบ้านต่างเดือดร้อนไปตามๆ กัน

                    พระมัชฌันติกเถระเหาะขึ้นไป แล้วลงที่สระอารวาฬในป่าหิมพานต์ เดินจงกรมอยู่เหนือสระน้ำ ทำให้พญานาคโมโหมาก ได้เนรมิตรูปที่น่าสะพรึงกลัว บันดาลให้เกิดพายุใหญ่พัดโหมกระหน่ำไปทั่วอาณาบริเวณ ต้นไม้รอบๆ บริเวณนั้นหักโค่นลงมา เกิดฟ้าแลบฟ้าร้อง สายฟ้าอสนีบาตฟาดลงใส่พระเถระ แต่ท่านก็ไม่เป็นอะไร พวกลูกนาคที่มีฤทธิ์ต่างพากันบังหวนควันเข้าใส่ แต่พระเถระได้เข้าเตโชกสิณ บังหวนควันโต้ตอบ พญานาคสู้ฤทธิ์ของพระเถระไม่ได้ ในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อท่าน

                    พระเถระสามารถเอาชนะพวกนาคได้ทั้งหมด ด้วยกำลังฤทธิ์ของท่านเอง ท่านกล่าวข่มขู่พญานาคว่า “ในโลกนี้ ไม่มีใครมาทำให้ใจของเราหวั่นไหวครั่นคร้ามได้ ไม่มีผู้ใดทำให้เราหวาดกลัว ดูก่อนพญานาค แม้หากท่านจะยกแผ่นดินใหญ่ พร้อมทั้งมหาสมุทรและภูเขาหินเข้าใส่เรา เราก็ไม่สะดุ้งกลัว” พญานาครู้สึกคับแค้นใจมากที่ไม่สามารถทำอันตรายได้ จากนั้นพระเถระได้ทรมานพญานาคราช ทั้งแนะนำนาคบริวารทั้ง ๘๔,๐๐๐ ให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง และให้ตั้งใจสมาทานศีล ๕ อีกด้วย

                     พวกยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ ที่อยู่ป่าหิมพานต์ ได้ฟังธรรมิกถาของพระเถระแล้ว ได้บรรลุธรรมาภิสมัยกันนับไม่ถ้วน ทำให้ป่าหิมพานต์สว่างไสวไปด้วยแสงธรรม ส่วนมหาชนเห็นว่า พระเถระเป็นผู้มีอานุภาพมากกว่าพญานาค จึงยึดพระเถระเป็นที่พึ่ง แต่ท่านบอกให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แล้วสอนสาธุชนให้รู้จักพระรัตนตรัยภายใน สอนให้ได้เข้าถึงธรรมกายกันมากมาย ในสมัยนั้นมีผู้ออกบวชตามท่านมากเป็นจำนวนเรือนแสนทีเดียว

                     พระเถระแต่ละรูปที่ถูกส่งไป ต่างตั้งใจเผยแผ่ธรรมะแนะนำสัตวโลก ให้รู้จักรสแห่งพระธรรมกันสุดความสามารถ ในสมัยก่อน บางคนยังไม่รู้จักพระเลยก็มี  ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาเหมือนในปัจจุบันนี้  พระภิกษุสามเณรไปที่ไหน ชาวโลกส่วนใหญ่ที่ได้รับการศึกษามาดี เพียงแค่เห็นพระห่มผ้าเหลือง แม้อยู่ในต่างประเทศ ก็รู้ว่านี่เป็นพระภิกษุ แต่ในสมัยก่อนโน้น บางแห่งเขาไม่รู้จักพระกัน การจะมาแนะนำให้เขาหันมาสนใจในพระพุทธศาสนา หรือลดละเลิกทิฏฐิเก่าๆ แล้วมาประพฤติปฏิบัติธรรมตามเรา เป็นเรื่องยากมาก เหมือนพระโสณกเถระกับพระอุตตรเถระ ที่ท่านเดินทางมาแถบสุวรรณภูมิ ซึ่งท่านผู้รู้บางกลุ่มเข้าใจกันว่า น่าจะเป็นเมืองไทยของเรานี่เอง

                    สมัยแรกๆ ที่ท่านเดินทางมาสุวรรณภูมิ แถบบริเวณนี้มีนางรากษสหรือที่เรียกว่าผีเสื้อน้ำ ขึ้นมาจากมหาสมุทรเพื่อจับพวกเด็กทารก ที่เกิดในราชตระกูลเอาไปเคี้ยวกินเป็นอาหารอยู่เป็นประจำ ชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันเดือดร้อน เพราะไม่สามารถป้องกันภัยที่เกิดขึ้นได้ ในวันที่พระเถระเดินทางมาถึง พวกมนุษย์ต่างต้อนรับท่านด้วยการถืออาวุธครบมือเพื่อล้อมจับท่าน เพราะคิดว่า ท่านเป็นสหายของผีเสื้อน้ำปลอมตัวมา ท่านมีฤทธิ์จึงเหาะขึ้นไปในอากาศ ไม่ยอมให้มนุษย์จับท่านได้

                     พระเถระบอกให้ชาวบ้านรู้ว่า ตัวท่านนี้เป็นสมณะ งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป ...เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ...เว้นจากความประพฤติผิดในกาม ...ไม่พูดโกหกมดเท็จ... ไม่ดื่มน้ำเมา ...เป็นผู้ฉันหนเดียว... มีศีล ...ออกบวช...ประพฤติพรหมจรรย์ จากนั้นท่านได้สอบถามถึงต้นสายปลายเหตุที่ชาวบ้านคิดจะฆ่าท่าน

                     ขณะนั้นเอง ผีเสื้อน้ำพร้อมด้วยบริวารมากมาย ขึ้นมาจากมหาสมุทรเพื่อจับเด็กกินเป็นอาหาร เมื่อมนุษย์เห็นเข้าต่างพากันหวาดกลัว ร้องสุดเสียงด้วยความตกใจ พระเถระเนรมิตกายเป็นผีเสื้อน้ำที่ใหญ่โตกว่า  มีบริวารมากกว่า สกัดกั้นไว้ แล้วแสร้งทำเป็นไล่ล่าให้ฝ่ายตรงข้ามตกใจ ทำให้พวกผีเสื้อน้ำรีบวิ่งหนีกลับลงสู่มหาสมุทรตามเดิม 

                   ตั้งแต่นั้นมาผีเสื้อน้ำก็ไม่มาอีก ชาวบ้านจึงได้เลิกหวาดกลัวผีเสื้อน้ำกัน แล้วยึดพระเถระเป็นที่พึ่ง พระเถระได้แสดงธรรมให้ชาวสุวรรณภูมิฟัง อีกทั้งยังประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันมาจนกระทั่งถึงพวกเรา

                     เราจะเห็นว่า กว่าพระพุทธศาสนาจะเผยแผ่ ข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นสถานที่อุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้า แล้วแผ่ขยายมาถึงประเทศไทยของเรานั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องพบเจออุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะยุคสมัยนี้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยกำลังเจริญรุ่งเรือง และเป็นปิ่นของนานาประเทศ หลวงพ่อตั้งใจว่า จะให้เป็นยุคที่พุทธศาสนาวิชชาธรรมกายแผ่ขยายไปทั่วโลก ซึ่งถ้าหากพวกเราทุกคนตั้งใจจริง หมั่นฝึกฝนอบรมตนเอง ให้ถึงพร้อมทั้งวิชาความรู้ทางโลกและวิชชาทางธรรม แล้วทำหน้าที่ผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตรกันให้เต็มที่ คำสอนอันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะแผ่ขยายไปทั่วโลกได้อย่างแน่นอน

                    ถ้ามนุษย์ทุกคนได้เข้าถึงธรรมกาย มีธรรมะเป็นอาภรณ์ มีศีลมีธรรม จะไม่มีการเบียดเบียนกัน เพราะคำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นไปเพื่อสันติสุขภายใน เพื่อสันติภาพของโลกอย่างแท้จริง สิ่งที่เราต้องเร่งรีบทำให้เร็วที่สุด คือฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงความสุขภายใน เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้  เมื่อเราเข้าถึงแล้ว ใจของเราจะเบ่งบานขยายออกไป จนกระทั่งอยากแบ่งปันความสุขนี้ให้กับเพื่อนร่วมโลก 

                  เมื่อเราหยุดนิ่งไปถึงจุดนั้น การทำหน้าที่ผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตรของเราก็จะสมบูรณ์ ให้นึกเสมอว่า ชาวโลกอีกมากมายกำลังรอคอยแสงสว่างจากเราอยู่  ดังนั้น ขอให้ตั้งใจฝึกฝนตนให้ดี หมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ทุกๆ คน


จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒ หน้า ๘๓-๙๑


อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
ล่มที่    หน้า ๑๑๑

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563

คนเช่นอสูร ...คนเช่นเทวดา

คนเช่นอสูร ...คนเช่นเทวดา

 
     
               การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้าสังคม พบปะผู้คน มีการปฏิสันถาร การทำงานร่วมกัน ฉะนั้นการทำงาน การอยู่ร่วมกัน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความเข้าใจกัน ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจกัน ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันแล้ว จิตใจก็จะหวั่นไหวเอียงเอน ชีวิตย่อมไม่ประสบความสำเร็จ  ดังนั้น ความเข้าใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่อยู่ร่วมกัน และการที่จะมีความเข้าใจตรงกันได้นั้น ต้องออกมาจากแหล่งเดียว คือ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เมื่อออกมาจากที่ตรงนี้ จะทำให้ความรู้ความเห็นเท่าเทียมทันกัน ชีวิตของการอยู่ร่วมกัน จึงจะเป็นชีวิตที่มีความสุข บริสุทธิ์บริบูรณ์จริง

           พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อสุรสูตร จตุกกนิบาต ว่า...

                  “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลในโลก มี ๔ จำพวก คือบุคคลเช่นกับอสูร มีคนเช่นกับอสูรเป็นบริวาร.... บุคคลเช่นกับอสูร มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวาร ...บุคคลเช่นกับเทวดา มีคนเช่นอสูรเป็นบริวาร ....และบุคคลเช่นกับเทวดา มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวาร”

                พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้รู้จักจำแนกแยกแยะถึงพฤติกรรมของมนุษย์ ที่เข้ามามีส่วนในชีวิตของเรา เพราะหากผู้นำหรือผู้เป็นหัวหน้าเป็นคนดีจริง มีศีลธรรม ไว้วางใจได้ แต่บริวารรอบข้างกลับไม่เหมือนหัวหน้า เป็นคนทุศีล มีแต่จะนำความเดือดร้อนมาให้ ซึ่งการดูคนให้ออกนั้นไม่ใช่เรื่องจะทำได้ง่าย เพราะจิตของมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง ต้องอาศัยประสบการณ์ และปัญญาบริสุทธิ์ที่สั่งสมอบรมมาดีแล้ว พิจารณาให้รอบคอบถี่ถ้วน จึงจะตัดสินเรื่องบุคคลได้อย่างถูกต้อง ถ้าเราฉลาดในเรื่องบุคคล การอยู่ร่วมกันกับหมู่คณะก็จะอยู่กันอย่างผาสุก

                  พระพุทธองค์ตรัสว่า บุคคลเป็นเช่นอสูร และมีคนเช่นอสูรเป็นบริวาร ในความหมายนี้ หมายถึงตัวเราไม่ค่อยจะดี และมีพวกพ้องบริวารที่ไม่มีคุณธรรม เป็นคนทุศีล ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ใช้ชีวิตสะเปะสะปะเหมือนสวะลอยน้ำ มีความรู้สึกนึกคิดเพียงแค่ดำรงชีวิตอยู่ไปวันๆ ไม่ได้ทำความดีใดๆ ไม่รู้ว่าชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร ชีวิตเช่นนี้ เป็นชีวิตเช่นเดียวกับอสูร คือ มีความสะดุ้ง หวาดกลัวอยู่เป็นนิตย์ เพราะไม่ได้ทำความดีใดๆ ประกอบมิจฉาชีพ ลักเล็กขโมยน้อย มีบริวารลูกน้องเป็นขโมยด้วย

                  กลุ่มคนประเภทนี้ อยู่ที่ไหนย่อมทำความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นที่นั่น ถ้าเป็นผู้บริหารบ้านเมืองก็เป็นพวกคอรัปชั่นกันเป็นทีม ใช้อำนาจในทางที่ผิด เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก ไม่ได้สนใจที่จะบริหารบ้านเมืองอย่างดี   ดังนั้นเราต้องรู้จักเลือกคนดี สนับสนุนคนดี เพื่อเป็นศรีแก่ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะได้เจริญรุ่งเรือง

                 ประเภทที่ ๒ คือ บุคคลเช่นกับอสูร แต่มีคนเช่นเทวดาเป็นบริวารพวกพ้อง นั่นหมายถึงว่า โดยส่วนตัวเป็นผู้มีพฤติกรรมไม่ดี จึงไม่องอาจกล้าหาญ มีความระแวงอยู่เป็นนิตย์ ขาดความไว้ใจคนรอบข้าง ไม่เห็นคุณค่าของศีลธรรม แต่ในทางตรงกันข้าม พวกพ้องบริวารกลับมองเห็นคุณค่าของการทำความดี เป็นผู้ประพฤติธรรม มีจิตใจที่ผ่องใส สามารถแยกแยะออกว่า สิ่งใดเป็นกุศลควรทำ สิ่งใดเป็นอกุศลธรรมก็เลิกละไป มีเทวธรรม คือ ธรรมะประจำใจของเทวดา ได้แก่ มีหิริความละอายต่อบาปอกุศลทุกชนิด แม้ความคิดที่ไม่ดี ก็ไม่กล้าคิด มีปกติรักคุณงามความดียิ่งกว่าชีวิต และมีโอตตัปปะ คือ มีความเกรงกลัวต่อบาป กลัวต่อผลของบาปอกุศล ไม่กล้าที่จะทำบาปอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย คุณธรรม ๒ ประการนี้เรียกว่า เทวธรรม

                  มนุษย์ประเภทนี้พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า บุคคลเช่นกับอสูร แต่มีคนเช่นกับเทวดาเป็นบริวาร ใครที่ได้ผู้นำเช่นนี้ก็ต้องอดทนกันไป เพราะทำความดีแล้ว แต่ผู้ใหญ่ไม่เห็นความดี บางครั้งอาจถูกกลั่นแกล้ง ก็เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร ชักชวนหัวหน้าดำรงชีวิตให้ถูกต้อง โดยเริ่มจากตัวเราก่อน ทำตัวของเราให้มีธรรมะเป็นอาภรณ์ เหมือนทะเลเป็นที่รวมของแม่น้ำทุกสาย กัลยาณมิตรต้องเป็นที่รวมของคุณธรรมทั้งหลาย เป็นแบบอย่างที่ดีให้ชาวโลก เมื่อเขาเห็นจะได้เกิดกำลังใจที่จะปฏิบัติตามเรา การทำเช่นนี้นับว่าเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุด

                 ประเภทที่ ๓ คือ บุคคลเช่นกับเทวดา แต่มีคนเช่นอสูรเป็นบริวาร หมายถึง โดยส่วนตัวของผู้นำเป็นคนดี มีศีลธรรมประจำใจ ใครเห็นต่างเกิดความรู้สึกอบอุ่น และปลอดภัย เป็นหลักของสังคมประเทศชาติได้ ทุกที่ล้วนต้องการบุคคลเช่นนี้ แต่เนื่องจากพวกพ้องบริวารเป็นเช่นอสูร ไม่ประพฤติตนเป็นคนดี ไม่มีศีลธรรม สามารถทำความชั่วได้ทุกๆ อย่าง ใครที่ได้พวกพ้องบริวารเช่นนี้ แทนที่จะมีความสุข กลับต้องพบกับปัญหาความเดือดเนื้อร้อนใจอยู่เสมอ

                 หากต้องพบเจอบริวารแบบนี้ ขอให้ใช้ความดีที่มีอยู่  หรืออำนาจของผู้นำให้เกิดประโยชน์ ให้เขาได้สร้างความดี  ปลูกฝังศีลธรรมให้เกิดขึ้นกับผู้ใต้บังคับบัญชา โดยต้องใช้วิธีการที่เหมาะสมนุ่มนวล บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น เพราะจริตของคนมีหลายประเภท จะฝึกคนต้องให้ถูกกับจริตอัธยาศัย จึงจะเกิดผลได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เช่น ผู้ที่มีโทสจริต เราต้องใช้เมตตาเข้าหา ใช้คำพูดที่ไพเราะนุ่มนวล ไม่ใช้ความรุนแรง แต่เป็นไปอย่างละมุนละม่อม ประกอบด้วยเมตตา ถ้าเป็นพุทธิจริต หมายถึง ผู้ที่ชอบแสวงหาความรู้ ก็ต้องชี้แจงด้วยเหตุผลเพื่อให้เขาเห็นความสำคัญในการทำความดี พร้อมกับตอบข้อซักถาม แก้ข้อสงสัยในใจเขาให้ได้

                ประเภทที่ ๔ คือ บุคคลเช่นกับเทวดา และมีคนเช่นกับเทวดาเป็นพวกพ้องบริวาร หมายความว่า ทั้งตนเองและบริวารล้วนมีคุณธรรม บริสุทธิ์กาย วาจา ใจ ประพฤติธรรมเป็นปกติ เป็นเทวดาเดินดินหรือที่เรียกว่า มนุสสเทโว ถ้าได้คนแบบนี้ โลกจะมีแต่คนดีที่สามารถบันดาลความสุขสงบให้เกิดขึ้นแก่โลกได้อย่างแท้จริง เพราะผู้มีศีลธรรมจะเหยียบย่างไปที่ใด ย่อมนำความเจริญ สิ่งที่ดีงาม และความสุขสงบไปสู่ที่นั้น เหมือนฝนนำความชุ่มชื่นมาสู่ปฐพี เหมือนพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างให้แก่โลก

                   ตลอดชีวิตของหลวงพ่อ สร้างคนให้เป็นคนดีมาโดยตลอด ปรารถนาจะสร้างคนดีที่โลกต้องการให้เกิดขึ้นมากๆ มีความตั้งใจจริงที่จะทำให้มนุษยชาติเข้าถึงสันติภาพที่แท้จริง  ดังนั้น กลุ่มบุคคลเช่นกับเทวดา และมีบริวารเช่นกับเทวดากลุ่มนี้ หลวงพ่ออยากให้ช่วยกันสร้างให้เกิดขึ้นมามากๆ   เราจะมาเริ่มต้นสร้างคนดี โดยไปชักชวนกันมาประพฤติธรรม มาเป็นคนดีที่โลกต้องการ รู้จักเส้นทางแห่งความดี เส้นทางสายกลางที่ทำให้บรรลุสันติสุขภายใน คือ ได้เข้าถึงพระธรรมกาย อันเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง เพื่อชี้ชวนให้ชาวโลกมุ่งไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ อายตนนิพพาน

           
จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒ หน้า ๑๔๘-๑๕๖


อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
ล่มที่ ๓๕  หน้า ๒๖๓


ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...