วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562

วิธีเริ่มต้นปีใหม่ตามหลักพุทธวิธี

วิธีเริ่มต้นปีใหม่ตามหลักพุทธวิธี

 

                      ความเมตตาปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วมโลก เป็นทางมาแห่งสันติภาพอัน ไพบูลย์ เป็นคุณธรรมพื้นฐานที่จะทำให้มนุษยชาติอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่มีการแก่งแย่งรบรา ฆ่าฟันกัน อย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ เมตตาธรรมจะช่วยค้ำจุนโลก เปลี่ยนแปลงกระแสโลกที่กำลัง ร้อนแรงด้วยไฟกิเลส เป็นกระแสแห่งความสงบสุขร่มเย็นที่เกิดจากใจที่ใสบริสุทธิ์ รุกเงียบไปใน บรรยากาศ มวลมนุษยชาติจะปรองดองกัน มีสมบัติสิ่งของเครื่องใช้ ที่พอจะแบ่งปันกันได้ ก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยถือว่า สมบัติทั้งหลายเป็นของกลางของ โลก โลกทั้งโลกคือบ้านหลังใหญ่ ที่มีสมาชิกในบ้านมากมาย ซึ่งต่างเป็นหมู่ญาติ เพื่อนพ้อง พี่น้องกัน ต่างยังต้องเดินทางไกลในสังสารวัฏ ไปสู่ฝั่งแห่งพระนิพพาน

มีวาระพระบาลีใน อนนุโสจิยชาดก ความว่า...

               “น เหว ติฏฺฐํ นาสีนํ    น สยานํ น ปตฺถคุ ํ
                ยาวุปฺปตฺติ นิมิสฺสติ    ตตฺราปิ สรตี วโย

               สัตว์โลกที่กำลังยืน นั่ง หรือเดิน อายุสังขารหาได้เป็นไปตามด้วยไม่ แม้วัยก็เสื่อมลงไปทุกขณะที่หลับตาและลืมตา”

                     ในช่วงนี้อยู่ใน เทศกาลส่งความสุขวันปีใหม่ ชาวโลกต่างพร้อมใจกันเฉลิมฉลองศักราชใหม่อย่างใหญ่โตมโหฬาร วัน ขึ้นปีใหม่ในทางพระพุทธศาสนาของเราไม่ค่อยกล่าวไว้เท่าไรนัก เพราะพระพุทธองค์ทรงถือว่า การที่ เรามีโอกาสลืมตามาดูโลกในทุกๆ เช้าวันใหม่นั้น นับเป็นโอกาสอันสุดวิเศษแล้ว ที่เราสามารถมีชีวิต รอดมาอีก ๑ วัน ฉะนั้นทุกวันจึงเป็นช่วงเวลาอันแสนประเสริฐ ที่จะเริ่มสั่งสมบุญ ปรารภความเพียร กันต่อไป แม้จะย่างเข้าสู่ปีใหม่ เรายังคงสร้างบารมีกันต่อไป และทำให้ยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา พระบรม ศาสดาทรงเน้นให้เรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เหมือนดังพุทธพจน์ที่ว่า

                    “บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สิ่ง ใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว สิ่งใดที่ยังมาไม่ถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง บุคคลใดเห็นแจ้งธรรม ปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับ มัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่ ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย”

                    การกำหนดปีใหม่ ปี เก่า เป็นเรื่องที่สมมติกันขึ้นมา อันที่จริงแล้วจะปีเก่าหรือปีใหม่ คือวันหนึ่งคืนหนึ่งนั่นเอง แต่ที่มีการ กล่าวถึงวันปีใหม่ ก็เพื่อสะดวกในการนับอายุ จะได้รู้ว่าคน สัตว์ สิ่งของในโลกนี้มีอายุเพิ่มขึ้นกัน เท่าไรแล้ว แต่ละปีที่ผ่านไปเป็นสิ่งสำคัญต่อตัวเรามาก เราควรสำรวจตรวจตราดูงบดุลชีวิตของเราว่า ชีวิตเราก้าวหน้าขึ้น พัฒนาขึ้น สู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้มากเพียงไร เราได้กำไรชีวิตหรือว่า ขาดทุนชีวิต เหมือนพ่อค้านักธุรกิจที่ปิดบัญชี และคำนวณรายรับรายจ่ายประจำปีว่า ได้กำไรหรือขาด ทุนเท่าไร จากนั้นก็จะได้เริ่มต้นใหม่ในช่วงปีใหม่นี่แหละ

                   ในอัคคัญญสูตรได้กล่าวถึงการกำเนิดโลก กำเนิดวันเดือน ปีไว้อย่างพิสดาร ในวันนี้ขอนำมาเล่าย่อๆ ว่า ในสมัยที่โลกเริ่มเย็นตัวลง ง้วนดินได้บังเกิดขึ้น ง้วนดินเหมือนน้ำนมสดที่เคี่ยวแล้วทำให้เย็นสนิท มีกลิ่น หอมน่ารับประทานมาก  

                  ใน สมัยแรกๆ หมู่สัตว์ที่เกิดในอาภัสสราพรหม มีรัศมีสว่างไสว เหาะไปในอากาศได้ตามใจปรารถนา เมื่อ เหาะลงมายังโลกมนุษย์ ได้กลิ่นง้วนดิน ก็อยากลองลิ้มชิมรสดูว่าจะอร่อยไหม เมื่อรับประทานเข้าไปก็ เกิดติดอกติดใจ ครั้นบริโภคเข้าไปมาก ๆ  เนื่องจากง้วนดินเป็นของหยาบ กายหยาบจึงหนักขึ้นเหาะไม่ ได้ รัศมีที่กายก็หายไป ความมืดก็เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเหลียวแลไปทางไหน ก็มีแต่ความมืดมนอนธการ ทำให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา จึงอธิษฐานอยากได้แสงสว่าง ทันใดนั้นเองดวงสุริยะก็บังเกิดขึ้นมาให้ ความสว่าง ขจัดความหวาดกลัวให้หายไป ทำให้เกิดความกล้าหาญ มีความร่าเริงยินดี สมัยนั้นเขาจึง เรียกพระอาทิตย์ว่าดวงสุริยะ เพราะหมายถึงดวงที่ทำให้เกิดความกล้า

                  ครั้นดวงสุริยะให้ แสงสว่างตลอดทั้งวันแล้วก็ดับไป หมู่สัตว์จึงอธิษฐานจิต อยากได้แสงสว่างขึ้นมาอีก เพื่อขจัดความ มืดมิดในยามราตรี ต่อมาพระจันทร์ก็ปรากฏขึ้นมาด้วยอานุภาพบุญของหมู่สัตว์ เมื่อพระจันทร์พระ อาทิตย์ปรากฏเกิดขึ้นมา หมู่ดาวนักษัตรก็ปรากฏขึ้น ตั้งแต่นั้นมาก็มีกลางคืน กลางวัน กึ่งเดือน  เดือน หนึ่ง  ฤดู ปี  ซึ่งปรากฏเกิดขึ้นมาตามลำดับ ในวันที่พระจันทร์ พระอาทิตย์ปรากฏขึ้นนั้น ภูเขาสิเนรุ ภูเขาจักรวาล ป่าหิมพานต์ และภูเขาต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๔ ไม่ก่อนไม่หลังกัน ในที่เนิน สูงๆ ก็เป็นภูเขา ในที่ลุ่มก็เป็นมหาสมุทร ในที่เสมอกัน ก็เป็นเกาะ เป็นแผ่นดิน

            โลกของเราได้ วิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ  หมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดยั้ง แต่กิเลสในใจของมนุษย์ก็ยังตัว เดิม และยิ่งเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ทำให้บรรยากาศโลกเปลี่ยนไปด้วย ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ภาษา และวัฒนธรรมก็หลากหลายเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความแตกต่างกันมากขึ้นๆ

                ในอดีตที่ผ่านมา วันปีใหม่ของแต่ละประเทศจะไม่ตรงกัน เช่น ชาวจีนก็กำหนดวันตรุษจีนเป็นวันปีใหม่ ชาวคริสต์กำหนด วันคริสต์มาส ส่วนชาวไทยแต่ดั้งเดิมได้กำหนดวันที่ ๑๓ เมษายน ซึ่งเป็นวันสงกรานต์เป็นวันปีใหม่ แต่ในปัจจุบันชาวโลกได้กำหนดวันที่ ๑ มกราคมของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่  เพราะฉะนั้น เมื่อถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคมจึงเป็นวันสิ้นปี ซึ่งหมายถึงว่า โลกของเราโคจรรอบดวงอาทิตย์มาครบ ๑ รอบแล้ว โดยใช้เวลา ๓๖๕ วัน คือ เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคมเป็นต้นมา

                  กาลเวลาได้ผ่านพ้น ไปปีแล้วปีเล่า มันไม่ได้ผ่านไปเฉยๆ แต่คร่าเอาชีวิตของสรรพสัตว์ให้เหลือน้อยลงไปทุกที การที่เรา สามารถประคับประคองชีวิตให้อยู่รอดมาได้จนถึงวันที่ ๑ มกราคมนั้น นับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐ ที่จะได้สร้างบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก  ปัจจุบันที่เราเป็นอยู่ คือ อนาคตของอดีต และกำลังจะก้าวไปสู่ความเป็นอดีต ของอนาคต  เพราะฉะนั้นเมื่อ ปรารถนาอยากให้อนาคตสดใส ต้องเริ่มต้นปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุด  

                เมื่อเป็น เช่นนี้ ก็เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สดใสกว่าเดิม ผู้มีปัญญาจึงเริ่มต้นหาบุญใส่ตัวให้มากที่สุด เพราะ อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนสำหรับชีวิต แต่ปัจจุบันที่เรามีชีวิตมาถึงวันปีใหม่จึงนับว่าเป็นวันที่ดีที่สุด ควรที่จะเริ่มต้นด้วยการทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อเพิ่มเติมเสริมบารมี ให้สิ่งที่ดีมีสิริมงคลทั้งหลาย เกิดขึ้นกับตัวของเรา

               ในเทศกาลปีใหม่ของ คนไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธนั้น นับเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ตรึกระลึกนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า พระพุทธองค์ได้เสด็จอุบัติขึ้นเพื่อสันติสุขของมวลมนุษยชาติ และบัดนี้พระพุทธองค์ก็ดับขัน ธปรินิพพานไปแล้วสองพันห้าร้อยกว่าปี เราจะได้ระลึกนึกถึงการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้า มีพระ พุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เมื่อส่งใจไปถึงพระพุทธองค์ ก็จะทำให้เรามีใจผูกพันกับพระรัตนตรัย จะได้เข้า ถึงฐานะอันประเสริฐ มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะภายใน มีความรักและความปรารถนาดีต่อเพื่อนร่วม โลก

                 เมื่อปรารภเหตุวันขึ้นปีใหม่แล้ว เราควรรีบเร่งสั่งสมบุญบารมีกัน ตั้งแต่เช้าก็มาตักบาตรพระ ซึ่งเป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณกาล มีการทำบุญขึ้นปีใหม่ด้วยการตัก บาตรกันทั่วประเทศ วันปีใหม่จึงเป็นวันที่อบอุ่นไปด้วยกระแสแห่งการสร้างความดีของชาวไทย มี การทำบุญบ้าน ปล่อยสัตว์ปล่อยปลา  หลายๆ ท่านอาราธนาศีล ตั้งใจว่าปีใหม่นี้จะยกใจ ให้สูงขึ้นด้วยการรักษาศีล ๕ ให้ได้ตลอด ๓๖๕ วัน และจะสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิไม่ให้ขาด ทำ ควบคู่กันไปพร้อมๆ กับภารกิจการงาน

             เพราะฉะนั้นคืน ก่อนวันปีใหม่ ไม่ควรนอนดึก ไม่ควรไปเที่ยวเตร่เฮฮา เฉลิมฉลองกันด้วยน้ำเมาหรือเข้าบาร์เข้าคลับ ที่ไหน แต่ควรรักษาใจให้ผ่องใส เตรียมตัวต้อนรับวันใหม่ ด้วยการลุกขึ้นมาตักบาตรทำบุญกุศลกันดี กว่า เพราะการเฉลิมฉลองกันด้วยน้ำเมา หรือไปสนุกสนานตามสถานบันเทิงต่าง ๆ นั้น ไม่ใช่วิสัยของ อารยชน แต่เป็นของอนารยชนมากกว่า ปีใหม่ควรเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สดใสกว่าเดิม เพิ่มเติมบุญบารมี ของเราให้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ

                 ส่วนการส่งบัตรอวยพรส่งความสุขให้กัน นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะให้กำลังใจแก่กัน และเพิ่มสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น เพราะการให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของชนหมู่มาก แต่ข้อความในการ์ด ส.ค.ส. หรือถ้อยคำที่ไพเราะที่มอบให้กัน จะเกิดประสิทธิผลอย่างเต็มที่ ผู้ให้ต้องเข้าถึงแหล่ง กำเนิดแห่งความสุขภายใน กระทั่งมีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ มากพอที่จะให้ความสุขกับคนอื่น ได้
   
                  ดังนั้นการจะส่ง ส.ค.ส. หรือมอบความสุขให้ผู้ใด ควรเริ่มต้นให้ของขวัญแก่ตนเองก่อนเป็นอันดับแรก นั่นคือทำ ตัวเองให้เป็นผู้มีความสุขด้วยการปฏิบัติธรรม ทำใจให้หยุดนิ่งให้มีความบริสุทธิ์มากๆ เหมือนต้นไม้ แตกกิ่งก้านสาขา ผลิดอกออกผล มีร่มเงาเย็นสบาย ย่อมเป็นที่พักพิงให้ความร่มเย็นแก่สรรพสัตว์ทั้ง หลาย

                วันปีใหม่ในสายตา ของนักปฏิบัติธรรมจะมองว่า อายุของเราเพิ่มขึ้นอีก ๑ ปี ความชรานำเราใกล้เข้าไปสู่ความตายเร็วขึ้น วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ บารมี อะไรที่ยังพร่องอยู่ก็จะเร่งสร้างให้เต็มที่ บุญชนิดไหนที่ทำมาเป็นประจำจะขวนขวายให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เราจะไม่ประมาทในวัยและชีวิต หรือสิ่งใดที่เคยประพฤติผิดพลาดพลั้งไปในปีเก่าที่ผ่านมา ก็จะปรับ ปรุงแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น เพื่อก้าวสู่ชีวิตใหม่ในศักราชใหม่ ให้เป็นศักราชชัยแห่งคุณงามความดี เป็น อารยชนผู้ทำตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง แก่บุญแก่บารมียิ่งๆ ขึ้นไป

                  ปีใหม่นี้เราต้อง มาทบทวนดูตัวของเราเองว่า จะลด ละ เลิกสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย แล้วดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางของ บัณฑิตนักปราชญ์ ก้าวสู่เส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ของพระอริยเจ้า หมั่นประกอบความดี ทำความ เพียรให้มากยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา หากในใจคิดได้เช่นนี้ ในปีใหม่นี้จะเป็นปีทองของชีวิต เป็นปีแห่งการ เข้าถึงธรรมกายของพวกเรา ยอดนักสร้างบารมีทุกๆ คน




จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒ หน้า ๒๐๑-๒๑๐

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
ล่มที่ ๑๕  หน้า ๑๕๐



วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2562

วิธีแก้กิเลสในตัว

วิธีแก้กิเลสในตัว


ตราบใดที่มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ยังไม่หลุดพ้นจากอาสวกิเลส เสบียงในการเดินทางไกลในสังสารวัฏ คือ บุญกุศลนี้ ก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การสั่งสมบุญทำได้ในทุกที่ ทุกโอกาส ทุกเวลานาที ขอเพียงให้เห็นคุณค่าของบุญ แล้วทุ่มเทสร้างความดีอย่างเต็มที่เต็มกำลังความสามารถ สักวันหนึ่งเมื่อบุญบารมีเต็มเปี่ยม ย่อมถึงเป้าหมายปลายทางได้อย่างแน่นอน ได้เสวยเอกันตบรมสุขที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายต่างได้เข้าถึง   

ถ้าเรารักบุญจริง ต้องทำบุญบ่อยๆ ทำแล้วก็ให้นึกถึงบ่อยๆ บุญนั้นจะได้ตามอำนวยสุขให้เราอย่างต่อเนื่อง เกิดกี่ภพกี่ชาติจะได้ประสบแต่ความสุข และความสำเร็จตลอดไป ยิ่งกว่านั้นบุญสำคัญที่จะขาดมิได้ก็คือ บุญจากการเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา เป็นบุญละเอียดที่จะช่วยกลั่นกาย วาจา ใจของเรา ให้สะอาดบริสุทธิ์ เป็นเหตุให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง
มีวาระพระบาลีใน พระอภิธรรมปิฎก ว่า
กุสลา ธมฺมา
ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล ให้ผลเป็นความสุข
อกุสลา ธมฺมา
ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล ให้ผลเป็นความทุกข์
อพฺยากตา ธมฺมา
ธรรมทั้งหลายที่เป็นอัพยากตา ให้ผลเป็นกลางๆ ไม่สุขไม่ทุกข์”

พุทธพจน์ที่ได้ยกขึ้นมานี้ เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ทุกท่านคงจะรู้สึกคุ้นหู เพราะได้ยินพระสวดบทนี้ ในงานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมอยู่บ่อยๆ เพียงแต่อาจไม่เข้าใจความหมายว่ามีนัยลึกซึ้งเพียงไร โดยย่อ ก็เป็นอย่างที่ได้แปลเอาไว้ แต่ก็น่าอัศจรรย์ว่าเพียงถ้อยคำไม่กี่ประโยค กลับมีความหมายลึกซึ้งสุขุมลุ่มลึก ยากต่อการเข้าใจยิ่งนัก ท่านจึงเรียกหมวดธรรมนี้ว่า อภิธรรมหรือปรมัตถธรรม คือ ธรรมขั้นสูง ต้องอาศัยเวลาในการศึกษากันอย่างจริงจัง และต้องมีผู้รู้ที่เข้าใจอย่างแตกฉาน ทั้งภาคปริยัติ และภาคปฏิบัติมาอธิบายให้ฟัง เราจึงจะรู้แจ้งแทงตลอด โดยเฉพาะต้องศึกษาจนเกิดปฏิเวธ จึงจะเข้าใจไปตามความเป็นจริงได้

มนุษย์เป็นเหมือนหุ่นที่ให้บุญและบาปเชิด ภายในตัวของเรามีทั้งบุญและบาป มีทั้งที่ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป คือ มีธรรมทั้งสามฝ่ายประกอบเข้ามาอยู่ในตัวของเรา ทั้งฝ่ายที่เป็นกุสลา ธัมมา …อกุสลา ธัมมา และอัพยากตา ธัมมา อยู่ในตัวของเรา

 กุสลา ธัมมา นั้นมีสีขาว ให้ผลที่เป็นอานิสงส์นำแต่ความสุขความเจริญมาให้ อกุสลา ธัมมา มีลักษณะสีดำ ให้ผลคือนำความทุกข์ ความโทมนัส ความเสื่อมมาให้ อัพยากตา ธัมมา คือ ธรรมที่ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นบาป ไม่ใช่กุศล และอกุศล ให้ผลเป็นกลางๆ ที่ส่งผลอยู่ในตัวของเรา

ตัวของเราที่ประกอบด้วยกายยาววา หนาคืบ กว้างศอกนี้ เป็นเหมือนหุ่นให้ธาตุธรรมทั้งสามฝ่ายเชิดอยู่ภายในใจของเรา ขึ้นอยู่ว่าจะให้ธรรมฝ่ายไหนเข้ามาครอบครอง จะให้กุศล อกุศล หรืออัพยากตาก็แล้วแต่เรา ถ้าหากว่าเรามีสติ มีสมาธิ  มีปัญญากำกับแล้ว เราก็จะให้แต่ฝ่ายกุศลเข้ามาในใจของเรา ทำให้เราคิดพูดทำแต่สิ่งที่ดี นี้เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะไม่ว่าเราจะทำสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะติดเป็นผล ทั้งที่เป็นกุศล อกุศล และเป็นกลางๆ

แต่เดิมมนุษย์มีรูปสมบัติที่สมบูรณ์แข็งแรง ถึงพร้อมด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการ มีทรัพย์สมบัติที่สนับสนุนหล่อเลี้ยง อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง มีคุณสมบัติที่เต็มเปี่ยมพร้อมหมด คือ มีทั้งวิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ พรั่งพร้อมด้วยญาณทัสสนะ การรู้ การเห็นที่ตรงตามความเป็นจริง คือ พร้อมที่จะไปสู่ที่สุดแห่งธรรมอย่างนี้

ต่อมาภายหลังฝ่ายอกุศลได้ส่งกิเลสเข้ามาหุ้มเคลือบ เอิบอาบ ซึมซาบ ปนเป็น สวมซ้อน ร้อยไส้ ในกลางของกลางกายมนุษย์ บังคับตลอดหมดทั้งโอกาสโลก ขันธโลก สัตวโลก เอาความโลภ ความโกรธ ความหลง โดยมีอวิชชาเป็นรากเหง้า เข้ามาร้อยอยู่ในกลางของกลาง ทำให้รูปสมบัติที่เคยสมบูรณ์พร้อมด้วยลักษณะมหาบุรุษเสื่อมถอยคุณภาพลง จนกลายมีเพศขึ้น มาเป็นเพศชายเพศหญิงในภายหลัง จากเดิมที่มีทรัพย์สมบัติ คอยหล่อเลี้ยงในละเอียดไม่ต้องทำมาหากิน อยู่ด้วยความสุขสบาย ทำให้สมบัติเหล่านี้พร่องขาดและหายไป ต้องเสียเวลาทำมาหากินตั้งแต่เกิดจนตาย

คุณสมบัติที่พรั่งพร้อมคือวิชชาทั้งหลายก็เสื่อมถอย ดวงเห็น จำ คิด รู้ที่สว่างไสวใหญ่โตเท่ากัน ที่เป็นญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์สะอาดก็เสื่อมคุณภาพ หมอง แล้วก็มืดมัว คุณภาพน้อยลง ขนาดเล็กลง อานุภาพทั้งหลายก็เสื่อมถอย เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะมีอวิชชาเป็นรากนั่นเอง อวิชชามาบังคับธาตุธรรมของมนุษย์ให้ตกต่ำลง ทำลายรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติทั้งหลายให้เสื่อมถอยหายลงไปเรื่อยๆ

 ความโลภ เป็นตัวที่กำจัดทรัพย์สมบัติ ที่ไม่เคยพร่องให้เสื่อมถอยลง ความโกรธมาทำให้รูปสมบัติ ที่พรั่งพร้อมด้วยลักษณะมหาบุรุษเสื่อมถอยลง ความหลง คือโมหะ ก็มากดทำให้คุณสมบัติ คือ วิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ เสื่อมถอยลง เสื่อมถอยลงไปเช่นนี้ เพราะอำนาจความโลภ ความโกรธ และความหลง ที่มีอวิชชาเป็นราก  ดังนั้น ฝ่ายกุศล คือ ธาตุธรรมฝ่ายขาว จึงส่งผังที่มาแก้ความโลภ ความโกรธ ความหลงที่บังคับอยู่ในใจ เกิดเป็นบุญกิริยาขึ้นมา เป็นผังในการแก้ความโลภ ความโกรธ ความหลงของมนุษย์ให้หายไป

เพราะฉะนั้น ทานจึงบังเกิดขึ้น บุญที่เกิดจากการทำทานก็ตามมา เมื่อปรารถนาที่จะละความโลภให้หมดไปจากใจ จะต้องให้ทาน เมื่อทำทานตัดขาดออกจากใจแล้ว บุญกุศลจึงบังเกิดขึ้น ทรัพย์สมบัติที่สมบูรณ์บริบูรณ์บังเกิดขึ้นตามมา

ต่อมาฝ่ายกุศลก็ส่งศีลเข้ามา เพื่อเป็นผังในการกำจัดความโกรธ เมื่อสมาทานตั้งใจรักษาศีลอย่างดีแล้ว ศีลย่อมกำจัดความโกรธให้หายไปจากใจ เมื่อความโกรธหายไป ก็จะทำให้รูปสมบัติสมบูรณ์ดีขึ้นมาตามลำดับ
นอกจากนี้ฝ่ายกุศลจะส่งภาวนาลงมา เพื่อให้มนุษย์ใช้ภาวนากำจัดโมหะ คือ ความหลงให้ออกไปจากใจ เมื่อโมหะถูกกำจัดหายไป คุณสมบัติที่มีแต่เดิมจะค่อยๆ กลับคืนมา

 ดังนั้น การที่เราประกอบกุศลธรรมมีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น นับเป็นผังที่สำคัญของกุศลธรรม ที่มีไว้เพื่อกำจัดอกุศล มีความโลภ ความโกรธ ความหลง มีอวิชชาเป็นรากให้สลายหายไป เมื่อเราทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาดีแล้วย่อมชำระล้างหรือกลั่นธาตุธรรม เห็น จำ คิด รู้ ให้สะอาดบริสุทธิ์และให้ผ่องใสได้ เพราะบุญกุศลทุกอย่างที่เราทำนั้น ล้วนเป็นไปเพื่อการกำจัดอาสวกิเลส กำจัดสิ่งที่มาบังคับกาย  วาจา  ใจของเรา

เมื่อกำจัดความโลภได้ ทรัพย์สมบัติก็บังเกิดขึ้น เมื่อกำจัดความโกรธให้เบาบางลงไปได้ รูปสมบัติที่สมบูรณ์ก็บังเกิดขึ้น เมื่อกำจัดความหลงให้หมดไปได้ คุณสมบัติที่สมบูรณ์ก็บังเกิดขึ้น ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีตามลำดับ

 จิตดั้งเดิมของมนุษย์นั้นล้วนเป็นประภัสสร มีความสะอาด บริสุทธิ์ บริบูรณ์ แต่ถูกกิเลส และอุปกิเลสทั้งหลายจรมา เหมือนดังเมฆหมอกที่มาปิดบังความสว่างของพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ทำให้มนุษย์ไม่เห็นถึงผังความเป็นจริงของชีวิต  

ดังนั้น เมื่อเราตระหนักถึงคุณค่าในสิ่งเหล่านี้แล้ว ให้ปีติเบิกบานว่า บุญกุศลที่เราทำไปนี้ ถ้าทำให้ถูกหลักวิชชาแล้ว จะต้องเป็นไปเพื่อขจัดความโลภให้มลายหายสูญ ขจัดความโกรธให้เบาบางลง และขจัดความหลงให้มลายหายไป ใจของเราจะได้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใสเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญที่ปราศจากเมฆหมอก ซึ่งจะเป็นเหตุให้ได้รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ อันพรั่งพร้อมบริบูรณ์กลับคืนมา ขอให้ทุ่มเทสั่งสมบุญกันให้เต็มที่ อย่าได้ประมาท อย่ามีข้อแม้ข้ออ้าง หรือเงื่อนไขใดๆ ในใจของเราจะได้มีแต่ กุสลา ธัมมา คือ ธรรมที่เป็นกุศลล้วนๆ เป็นธาตุธรรมฝ่ายขาว ที่ส่งผลเป็นความสุขให้เราไปทุกภพทุกชาติตราบถึงที่สุดแห่งธรรม




จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒ หน้า ๒๒๙-๒๓๗

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
ล่มที่ ๗๕  หน้า


วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562

วิธีตัดเหตุแห่งทุกข์

วิธีตัดเหตุแห่งทุกข์


                เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพื่อเพิ่มเติมความบริสุทธิ์ให้กับตนเองให้ได้มากที่สุด บริสุทธิ์จนกระทั่งไปพบกับตัวตนที่แท้จริง ที่มั่นคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงและมีความสุขอย่างแท้จริง พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ท่านได้พบว่าพระรัตนตรัยเป็นสิ่งประเสริฐสุด และมีอยู่แล้วในตัวของพวกเราทุกคน เป็นธรรมที่สงบ ละเอียด ประณีต ซึ่งจะนึกคิดหรือคาดคะเนเองไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติให้เข้าถึงด้วยตนเอง โดยปรับใจให้ละเอียด ให้หยุดนิ่งไปตามลำดับ จนกระทั่งเข้าไปถึงแหล่งแห่งความสุข ความบริสุทธิ์แหล่งของสติของปัญญา แล้วเราจะรู้เห็นทุกสิ่งไปตามความเป็นจริง

               พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน สังยุตตนิกาย สคาถวรรค 
ความว่า...

                “ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ     จิตฺตมสฺส วิธาว                   
                สตฺโต สํสารมาปาทิ    ทุกฺขมสฺส มหพฺภยํ

             ตัณหาทำให้คนเกิดบ่อยๆ จิตของผู้มีตัณหาย่อมซัดส่ายไปมา เพราะหมู่สัตว์มัวท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ จึงประสบทุกข์มากมาย”

                ตัณหา คือความทะยานอยาก ประกอบด้วยความเพลิดเพลิน ยินดีในอารมณ์ต่างๆ เป็นกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในส่วนลึกของสรรพสัตว์ เป็นทุกข์สมุทัยสัจจ์ คือเหตุให้เกิดความทุกข์  การที่มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิด และมีความทุกข์กายทุกข์ใจอยู่ในปัจจุบันนี้ เพราะมีตัณหาเป็นต้นเหตุ ความทุกข์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นทุกข์ประจำหรือทุกข์จร ตั้งแต่ทุกข์จากการเกิดแก่เจ็บตาย ทุกข์เพราะการพลัดพรากจากบุคคลผู้เป็นที่รัก ความเศร้าโศก พร่ำพิไรรำพันต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเกิดมาจากความทะยานอยากทั้งสิ้น

                เมื่อความทะยานอยากเกิดขึ้นก็ต้องมีการแสวงหา การแสวงหาทำให้เกิดการกระทำที่ภาษาพระท่านเรียกว่ากรรม เมื่อทำกรรมก็มีวิบากเป็นผล ความทะยานอยากเป็นเหตุนำให้ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ ถ้ามีความทะยานอยากในกามภพ เรียกว่า กามตัณหา คือ ยังมีความยินดีในกามคุณทั้ง ๕ ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ซึ่งเป็นเหยื่อล่อของพญามาร ให้เราหลงติดอยู่ในกามาวจรภูมิ แล้วยังมี ภวตัณหา คือความอยากมีอยากเป็น ที่ทำให้ติดอยู่ในรูปภพ และ วิภวตัณหา คือความทะยานอยากที่ทำให้ติดข้องอยู่ในอรูปภพ ตัณหาทั้ง ๓ อย่างนี้แหละที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์

                พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงสมัยที่พระองค์เคยเสวยพระชาติเป็นพญานกยูงทองว่า ครั้งนั้นท่านได้อาศัยอยู่ในถ้ำทอง ทุกๆ เช้าก่อนที่จะออกไปหาอาหาร จะบินขึ้นไปเกาะที่ยอดเขา แล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เมื่อเห็นพระอาทิตย์กำลังจะขึ้น ท่านจะแผ่เมตตา และสวดพระปริตร เพื่อขอให้พระรัตนตรัยคุ้มครองให้ปลอดภัย แล้วจึงร่อนลงไปหากิน

                ครั้นตกเย็นก็จะบินไปเกาะที่ยอดเขาอีก แล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันตก มองดูพระอาทิตย์อัสดง แผ่เมตตาสวดพระปริตร ให้พระรัตนตรัยคุ้มครองในเวลากลางคืน แล้วจึงบินกลับเข้าถ้ำ ท่านทำอย่างนี้อยู่เป็นเวลานาน ทำทุกวันไม่ได้ขาดแม้แต่วันเดียว จึงไม่เคยมีนายพรานหรือสัตว์ร้ายใดๆ มาทำอันตรายท่านได้

                อยู่มาวันหนึ่ง มเหสีของพระราชาทรงพระสุบินเห็นพญานกยูงทองมาแสดงธรรมให้ฟัง จึงกราบทูลพระราชาว่า อยากฟังธรรมจากพญานกยูงทองมาก พระราชาจึงให้นายพรานไปดักจับพญานกยูงทอง ซึ่งแม้นายพรานจะใช้ความพยายามเพียงไร ก็จับไม่ได้ จนนายพรานหมดอายุขัย  สิ้นชีวิตลง เมื่อพระมเหสีไม่ได้ดังพระประสงค์ทำให้พระนางตรอมพระทัย และสวรรคตในที่สุด พระราชาทรงกริ้วมากถึงกับจารึกลงในแผ่นทองคำว่า “ถ้าหากใครได้กินเนื้อของนกยูงทองตัวนี้ ที่อาศัยอยู่ที่ทิวเขาในป่าหิมพานต์ จะมีชีวิตเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย”

               เมื่อพระราชาองค์ใหม่มาสืบต่อราชวงศ์ ได้พบเห็นหลักฐานที่จารึกไว้ มีพระประสงค์จะได้ชีวิตเป็นอมตะ จึงส่งนายพรานไปคอยดักจับพญานกยูงทอง แต่ก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ แม้เมื่อสิ้นราชวงศ์ มีพระราชามาครองราชย์ผ่านไปอีกถึง ๖ พระองค์ ก็ยังไม่มีใครสามารถจับพญานกยูงทองได้  

              วันหนึ่งนายพรานของพระราชาองค์ที่ ๗ สังเกตเห็นว่า ทุกเช้าและทุกเย็น นกยูงทองได้สวดมนต์แผ่เมตตา จึงรู้ว่าเป็นเพราะอานุภาพแห่งพระรัตนตรัยคุ้มครอง ก็หาอุบายที่จะทำให้ใจของนกยูงทองโพธิสัตว์ซัดส่าย ไม่ตั้งมั่น และไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัยอย่างที่เคยเป็นมา จึงได้นำนางนกยูงตัวหนึ่งมาเป็นเครื่องล่อพระโพธิสัตว์ เพื่อเพื่อให้เป็นไปตามแผนการที่วางไว้

               วันนั้นพญานกยูงทอง ได้ฟังเสียงของนางนกยูงที่ไพเราะจับใจ เกิดตัณหาครอบงำ กิเลสที่ตกตะกอนนอนเนื่องมายาวนานก็กำเริบขึ้นมา เกิดความกระวนกระวายใจ จนไม่สามารถเจริญพระปริตรได้ ได้บินไปหานางนกยูง แล้วถลาลงไปบนพื้นโดยไม่ได้ระมัดระวังตัว เท้าทั้งสองข้าง  จึงสอดเข้าไปในบ่วงที่นายพรานดักไว้  ไม่สามารถจะสลัดให้หลุดได้ ยิ่งดิ้นบ่วงก็ยิ่งรัดแน่นหนาขึ้น

               นายพรานเห็นดังนั้นดีใจยิ่งนัก คิดว่า พรานทั้ง ๖ คน ไม่สามารถดักพญานกยูงทองได้ ต่างสิ้นชีวิตกันไปหมด แม้เราต้องเพียรพยายามอยู่ถึง ๗ ปี ในที่สุดวันนี้เราก็จับได้ ในขณะเดียวกันก็นึกสลดใจว่า วันนี้พญานกยูงกระวนกระวายใจ เนื่องจากนางนกยูงเป็นเหตุ ไม่อาจแผ่เมตตาเจริญพระปริตรได้ จึงติดบ่วงของเราเพราะอำนาจกามตัณหาแท้ๆ ทำให้ต้องประสบทุกข์เช่นนี้

                 แต่ด้วยอานุภาพที่นกยูงทองแผ่เมตตาอยู่เป็นประจำสม่ำเสมอ จึงทำให้นายพรานเกิดความสงสาร เกิดความรักความเมตตา อีกทั้งนายพรานก็ไม่ปรารถนาจะทำร้ายพญานกยูงอยู่แล้ว เพราะรู้ว่านกยูงตัวนี้ประพฤติธรรม จึงได้ปล่อยนกยูงไป

              พญานกยูงจึงได้เปล่งสำเนียงเป็นภาษามนุษย์ว่า “ท่านอุตส่าห์เพียรพยายามดักจับเรานานถึง ๗ ปี เมื่อจับได้แล้วกลับปล่อยเสีย ไม่กลัวอาชญาจากพระราชาหรือ หรือว่าวันนี้ ท่านงดเว้นจากปาณาติบาต” นายพรานตอบว่า “เราไม่ได้กลัวอาชญาแผ่นดิน แต่เรากลัวผลของบาป จากการทำร้ายท่านผู้ประพฤติธรรม” นกยูงพระโพธิสัตว์จึงได้แสดงธรรมว่า “ผู้ไม่ทำปาณาติบาต และให้อภัยในสัตว์ทั้งปวง ย่อมได้รับการสรรเสริญในปัจจุบัน ละโลกไปแล้วจะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป ดูก่อนนายพราน สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนปรารถนาความสุข ดังนั้นผู้ปรารถนาความสุข จึงไม่ควรเบียดเบียนใครให้ได้รับทุกข์”

              นายพรานฟังดังนี้แล้ว ก็ตั้งสติพิจารณาธรรม ตามเห็นธรรมเข้าไป จนได้บรรลุปัจเจกโพธิญาณ ณ ที่นั้นเอง จากนั้นท่านอธิษฐานจิตทำสัจกิริยา กล่าวคำปล่อยสัตว์ ทำให้สัตว์ทั้งหลายที่ถูกกักขัง หลุดจากกรงได้เป็นอัศจรรย์ แล้วท่านเอามือลูบศีรษะ ความอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นอีก เพศคฤหัสถ์ได้หายไป เปลี่ยนเป็นเพศบรรพชิตผู้สมบูรณ์ด้วยเครื่องอัฐบริขารพร้อมทุกอย่าง ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่ได้ทำเอาไว้ในอดีตนั่นเอง ท่านได้อนุโมทนากับพญานกยูงทองที่แสดงธรรมให้ฟัง แล้วก็เหาะไปบำเพ็ญสมณธรรมตามอัธยาศัย

               ฝ่ายพระโพธิสัตว์เมื่อพ้นจากบ่วงแล้ว พิจารณาสอนตนเองว่า ที่ตัวเราต้องพลาดพลั้งติดบ่วง แทบเอาชีวิตไม่รอดนี้ เพราะอำนาจกิเลสตัณหา ไม่สำรวมอินทรีย์ จึงขาดสติในการระลึกถึงพระรัตนตรัย ทำให้เราต้องมาติดบ่วงของนายพราน บ่วงของพรานว่าร้ายแล้ว แต่ยังไม่เท่าบ่วงแห่งกาม ตั้งแต่นั้นมา ท่านตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ ข่มอำนาจกิเลสกาม แล้วเริ่มเจริญเมตตาจิต สวดพระปริตร ตรึกนึกถึงคุณของพระรัตนตรัยตลอดอายุขัย  ละโลกไปแล้ว ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นเทพบุตรผู้มีอานุภาพมาก

                  พระบรมศาสดา ได้ตรัสถึงกิเลสตัณหาที่ผูกมัดใจชาวโลกไว้ว่า “ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหลาย เป็นธรรมชาติที่หยาบ ถ้าหากกิเลสเหล่านี้ สามารถก่อเป็นรูปร่างขึ้นมาได้ แล้วมีผู้นำไปวางไว้ที่ใดก็ตาม ที่นั้นไม่สามารถรองรับกิเลสเหล่านั้นได้ เหมือนแม่น้ำสายเล็กๆ ไม่สามารถรองรับน้ำฝน ที่ตกลงมาทั่วท้องจักรวาลได้ เพราะกิเลสเหล่านั้นแทรกซึมอยู่เต็มไปหมด จนไม่มีที่ว่างให้บรรจุ กามทั้งหลายเป็นบ่วงแห่งมาร เป็นเหตุให้เกิดความประมาทจนแทบสิ้นชีวิต”

                เพราะฉะนั้น เราต้องมีสติเตือนตนเองให้ดี อย่าตกอยู่ในอำนาจของกิเลส ให้หมั่นเจริญสมาธิภาวนา ทำใจให้หยุดนิ่งเฉย ใจต้องหยุดอย่างเดียวเท่านั้น จึงจะหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง เหลือไว้แต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ ที่เป็นวิราคธาตุวิราคธรรม หมดความทะยานอยากในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ ใจหยุดเท่านั้นจึงจะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้ หลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านจึงกล่าวว่า “หยุดเป็นตัวสำเร็จ” ถ้าไม่หยุดก็ไม่สำเร็จ  ดังนั้นให้หมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่ง ไม่ว่าเราจะมีภารกิจอันใดก็ตาม อย่าให้อะไรมาเป็นอุปสรรคทำให้เราเกียจคร้านในการทำความเพียร  เราจะต้องตั้งใจมั่นว่าจะปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในให้ได้



จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒ หน้า ๕๔๖-๕๕๔

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
ล่มที่ ๖๐   หน้า ๔๕๓

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562

วิธีแบ่งแยกบุคคล

วิธีแบ่งแยกบุคคล
 
    
                   การศึกษาวิชชาความรู้ในทางธรรม เป็นกรณียกิจที่ควรทำไปควบคู่กับภารกิจในชีวิตประจำวัน เพราะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิต เป็นความรู้ที่ทำให้พ้นทุกข์ เพราะเป็นปัญญาบริสุทธิ์ที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง ไม่ใช่เกิดจากการนึกคิดด้นเดา แต่เป็นความรู้ที่เกิดจากการรู้แจ้งเห็นจริงในทุกสิ่ง  ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง เพราะยิ่งศึกษาก็ยิ่งรู้แจ้ง ยิ่งรู้แจ้งก็ยิ่งอยากทำตนให้บริสุทธิ์ จะได้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะจากพญามาร ซึ่งการศึกษาธรรมะจะให้ซาบซึ้ง และเห็นถูกต้องร่องรอยตรงไปตามความเป็นจริงนั้น ต้องอาศัยใจที่หยุดนิ่งที่เกิดจากการเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา ก็จะทำให้ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งความสุข และความบริสุทธิ์ไปพร้อมๆ กัน

มีวาระพระบาลีใน อังคุตตรนิกาย ขุททกนิบาต ว่า...

                   “น ชจฺจา วสโล โหติ    น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ
                     กมฺมุนา วสโล โหติ    กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ

             บุคคลไม่ได้เป็นคนเลวเพราะชาติ ไม่ได้เป็นผู้ประเสริฐเพราะชาติกำเนิด แต่เป็นคนเลวทรามเพราะกรรม เป็นผู้ประเสริฐก็เพราะกรรมเท่านั้น”

                  กรรมเป็นเครื่องจำแนกสัตวโลกให้แตกต่างกัน การแบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ เป็นเรื่องที่มนุษย์คิด และแบ่งแยกกันขึ้นมาเอง แต่การกระทำความดีหรือความชั่วนั้น เป็นตัวแบ่งแยกอยู่แล้ว บางคนอยู่กับหมู่คณะที่มีแต่คนดี แต่หากไม่รักในการฝึกฝนตนก็อาจเป็นคนพาลได้ ดังนั้น พฤติกรรมหรือการกระทำจึงเป็นตัวแบ่งแยกที่สำคัญ 

                    บางคนเกิดในสังคมที่ด้อยโอกาส ขาดโอกาสที่ดี ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ และการศึกษา ไม่ได้อยู่ในปฏิรูปเทส แต่ถ้ามีใจใฝ่ดี ย่อมสามารถทำตนให้เป็นบัณฑิตได้ การทำความดีหรือความชั่ว นอกจากจะเป็นตัวแบ่งแยกบุคคลแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่มีขีดจำกัดอีกด้วย เช่น เราสามารถยกตนเองให้สูงขึ้น ด้วยการทำแต่กุศลกรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป หรือไปทำบาปอกุศลก็ได้ ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับตัวของเราว่า จะเลือกเดินเส้นทางใด

                    สมัยก่อน ในชมพูทวีปมีการแบ่งกลุ่มคนออกเป็น ๔ ชนชั้น ได้แก่ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร กษัตริย์เป็นกลุ่มที่ใช้ความสามารถของตนในการบริหารบ้านเมือง เป็นชนชั้นที่ได้รับการยอมรับนับถือว่า เป็นชนชั้นสูงในสมัยนั้น ต่อมาคือกลุ่มที่เป็นผู้นำทางด้านศาสนา เป็นที่พึ่งทางใจ เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ เรียกว่าพราหมณ์ กลุ่มที่ ๓ เป็นกลุ่มที่ประกอบอาชีพทำมาค้าขาย หรือขนถ่ายสินค้าจากเมืองหนึ่งไปสู่อีกเมืองหนึ่ง กลุ่มนี้เรียกว่าแพศย์ กลุ่มสุดท้ายเป็นพวกใช้กำลังกายในการทำงาน โดยใช้เรี่ยวแรงของตนแลกกับการเลี้ยงชีพ เพื่อให้ได้ข้าวปลาอาหารมาหล่อเลี้ยงตนเองและครอบครัว เรียกกันว่าศูทร

                     ทั้ง ๔ ชนชั้นหรือ ๔ วรรณะนี้ พราหมณ์ถือว่าตนเองเป็นวรรณะประเสริฐ ที่เชื่อมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ถือว่าพวกตนเท่านั้นที่จะสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้นได้ จนถึงระดับที่บริสุทธิ์หลุดพ้น เข้าสู่ดินแดนของพระเจ้าได้ หากผู้ใดได้ปฏิบัติตามหลักศาสนาของพราหมณ์แล้ว จะได้ไปอยู่กับพระเจ้าของตน ส่วนในทางพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ความสะอาดบริสุทธิ์ความดีงามของคนนั้น ไม่ได้ขึ้นกับชนชั้น แต่ขึ้นกับความประพฤติหรือการกระทำ ซึ่งมีกล่าวไว้ในอัสสลายนสูตร ความว่าด้วยเรื่องการลบล้างวรรณะ ๔ ของพราหมณ์

                    มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลว่า ในอดีตพวกพราหมณ์มีการโต้วาที โดยเอาคนมีฝีปากดี มีปัญญามาก มาโต้แย้งแข่งขันกัน ใครชนะก็ถือว่า ลัทธิของตนเป็นเลิศ แต่เมื่อพระพุทธศาสนาอุบัติขึ้น เหล่าพราหมณ์ทั้งหลายต่างรู้ว่าหลักธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นเลิศ แต่เพื่อจะดำรงลัทธิความเชื่อของตนไว้ ก็จะส่งผู้มีปัญญาไปโต้วาทะกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

                    สมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี สมัยนั้นมีพราหมณ์เดินทางมาจากแคว้นต่างๆ ประมาณ ๕๐๐ คน ได้พักอาศัยในเมืองสาวัตถี คืนนั้นพวกพราหมณ์คิดกันว่า พระสมณโคดมนี้ทรงบัญญัติความบริสุทธิ์เกี่ยวกับวรรณะทั้ง ๔ ว่า เป็นผู้เสมอกันด้วยการกระทำ ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวรรณะ แต่อยู่ที่การกระทำเท่านั้น ใครหนอพอจะสามารถโต้ตอบกับพระสมณโคดมได้

                     สมัยนั้น มาณพชื่ออัสสลายนะอาศัยอยู่ในเมืองสาวัตถี แม้มีอายุเพียง ๑๖ ปีก็ยังโกนศีรษะเหมือนนักบวช ซึ่งทำมาตั้งแต่เด็ก เขามีลักษณะพิเศษ คือ เฉลียวฉลาด มีสติปัญญามาก เป็นผู้เรียนจบไตรเพท ทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุ และคัมภีร์เกฏุภะ อีกทั้งอักษรศาสตร์ ได้แก่คัมภีร์อิติหาสะ เป็นต้น เป็นผู้เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตนะ และตำราทำนายมหาปุริสลักษณะ ซึ่งความรู้เหล่านี้อยู่ในคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ ถือว่าเป็นวิชาการขั้นสูง พวกพราหมณ์หรือผู้มีวรรณะสูงเท่านั้นที่จะได้ร่ำเรียน และหากผู้ใดเรียนจบ ก็จะได้รับการยกย่องนับถือจากมหาชนมากเป็นพิเศษ

                    พวกพราหมณ์ตัดสินใจส่งอัสสลายนมาณพไปโต้วาทะกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมาณพก็ไม่ค่อยจะมั่นใจและไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่เมื่อพวกพราหมณ์ลงมติกันเช่นนั้น ซึ่งจำเป็นต้องไป เขาได้ทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระพุทธองค์ทรงคิดอย่างไรกับคำกล่าวที่ว่า พราหมณ์เป็นวรรณะที่ประเสริฐ วรรณะอื่นเลวหมด พราหมณ์นี้บริสุทธิ์ ผู้ไม่ใช่พราหมณ์ชื่อว่าเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์

                     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ...ถ้ากษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ หรือศูทร ยังมีการฆ่าสัตว์อยู่ มีการลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม กล่าวคำเท็จ และดื่มสุราเมรัย แม้ตายไปย่อมไปเกิดในอบาย เกิดในทุคติ วินิบาต นรก ไม่มีทางบริสุทธิ์ได้แน่นอน ในทางตรงกันข้าม หากวรรณะทั้ง ๔ นี้ ไม่ว่าจะอยู่ในวรรณะใดก็ตาม เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์เป็นต้น หลังจากตายไปแล้วย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์เช่นเดียวกันหมด  ดังนั้น คนเราไม่ใช่ประเสริฐด้วยวรรณะแต่อย่างใด แต่จะประเสริฐหรือตกต่ำด้วยกรรม คือ การกระทำของตนเพียงผู้เดียว

                       ในที่สุดมาณพได้กล่าวทูลยกย่องพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระองค์เป็นผู้ประเสริฐ หลักธรรมของพระองค์นั้นดีแล้ว จึงประกาศตนเป็นอุบาสกตลอดชีวิต ถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งว่า คนเรานั้นจะทำความดี จะเป็นคนดี หรือบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ มิใช่ขึ้นอยู่กับชาติตระกูลหรือว่าชนชั้นวรรณะแต่อย่างใด แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเองเท่านั้น

                      อัสสลายนสูตรที่กล่าวมานี้เป็นเครื่องยืนยันว่า ชาติกำเนิดไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คนที่เกิดในวรรณะสูงๆ มีผู้คนยกย่อง จะมีชีวิตทั้งภพนี้ภพหน้าประเสริฐกว่าชนวรรณะต่ำแต่อย่างใด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการกระทำของชนเหล่านั้นว่า ประพฤติตนเป็นคนดี เพิ่มเติมบุญกุศล หรือพอกพูนบาปอกุศลให้กับตน

                       ดังนั้น เมื่อเราได้โอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ มาพบพระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร จึงควรที่จะใช้วันเวลาที่มีค่านี้ สั่งสมบุญกุศล ทำตนให้มีคุณค่าที่สุด ด้วยการทำความดี เพราะค่าของคนอยู่ที่ผลของการทำความดี

                      ความดีในตัวของเราเท่านั้น จะทำให้เราเป็นคนมีคุณค่า ยิ่งถ้าเราปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงพระธรรมกายได้เมื่อไร ตัวเราจะมีค่ามากที่สุด จะเป็นที่พึ่งได้ทั้งแก่ตนเอง และสรรพสัตว์อีกมากมายนับไม่ถ้วน เพราะการเข้าถึงพระธรรมกายไม่จำกัดด้วยเชื้อชาติ ศาสนา หรือเผ่าพันธุ์ ถ้าบุคคลใดตั้งใจปฏิบัติตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำได้สั่งสอน ย่อมเข้าถึงได้เหมือนกันหมด ความแตกต่างทั้งหลายจะมลายหายสูญไป เหลือไว้แต่ความเหมือนกันในกายธรรม ที่ทุกคนมีความคิด คำพูด และการกระทำเหมือนๆ กัน มีความรักและปรารถนาดีต่อกันอย่างแท้จริง   

                      ดังนั้น ให้พวกเราทุกคนหมั่นปฏิบัติธรรม ทำใจให้บริสุทธิ์หยุดนิ่งกันเป็นประจำ จะได้เข้าถึงความเหมือนกัน คือ เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในกันทุกๆ คน



จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒ หน้า ๒๔๗-๒๕๕



อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
ล่มที่ ๒๑   หน้า ๓๐๔



วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2562

อาจิณณกรรม

อาจิณณกรรม

 

                              ชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏ เป็นชีวิตที่เสี่ยงต่อภัยร้ายที่คอยคุกคามเราอยู่ตลอดเวลา หากผู้ใดรู้จักใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าด้วยการสร้างบุญบารมีทุกรูปแบบ ก็จะมีบุญเป็นกำไรชีวิต เพราะบุญเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าอัญมณีใด ๆ ในโลก

               บุญใสๆ  เท่านั้นที่ติดอยู่ตรงศูนย์กลางกายของทุกๆคน จะคอยส่งผลดีงามให้กับชีวิตของเรา และกีดกันขัดขวางบาปศักดิ์สิทธิ์และสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายให้ห่างจากตัวเรา ยิ่งเรามีความบริสุทธิ์มาก บุญก็ยิ่งจะส่งผลได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อุปสรรคต่างๆ ก็จะมลายหายสูญ เพราะฉะนั้นทุกท่านต้องหมั่นรักษาใจให้ผ่องใสอยู่ในกลางกายให้ได้ตลอดเวลา  

      พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย มหาวรรค ว่า....
                      “ผลานมิว ปกฺกานํ      ปาโต ปตนโต ภยํ
                       เอวํ ชาตาน มจฺจานํ   นิจฺจํ มรณโต ภยํ

     ภัยของสัตว์ผู้เกิดมาแล้ว ย่อมมีเพราะต้องตายแน่นอน เหมือนภัยของผลไม้สุก ย่อมมีเพราะต้องหล่นในยามเช้าฉะนั้น”

                การเกิดมาเป็นมนุษย์ เราทุกคนคงจะพอมองเห็นภัยในปัจจุบันนี้ ที่เกิดมาจากบาปอกุศลที่เราทำลงไป แล้วไม่สามารถจะหลีกหนีพ้นผลของกรรมนั้นได้  ตราบใดที่ยังไม่หมดสิ้นกิเลส อาสวกิเลสบังคับให้เราสร้างกรรม แล้วผลของกรรมคือวิบากที่เราจะต้องได้รับ หากเป็นกรรมดีก็มีวิบากที่ดี หากเป็นกรรมชั่วก็มีวิบากที่ไม่ดี ที่ผ่านมาเราคงพอจะเข้าใจถึงการให้ผลตามลำดับของกรรมในสังสารวัฏ ตั้งแต่ครุกรรมหรือกรรมหนักที่ให้ผลเป็นอันดับแรก     รองลงมาก็เป็น    อาสันนกรรม คือกรรมที่ทำในเวลาที่ใกล้จะตาย

                  แต่ยังมีกรรมอีกชนิดหนึ่ง ที่คอยให้ผลเป็นลำดับถัดมารองจากกรรมทั้งสอง หากว่าเราไม่ได้ทำครุกรรมและอาสันนกรรมแล้ว จะมีกรรมชนิดนี้คอยให้ผล และเป็นกรรมที่มีบทบาทในชีวิตมนุษย์มากทีเดียว กรรมอย่างที่ ๓ นี้เรียกว่า อาจิณณกรรม บางครั้งจะเรียกว่าพหุลกรรม คือกรรมที่ทำสั่งสมไว้บ่อย ๆ เป็นนิตย์

                      กรรมใดที่บุคคลสั่งสมไว้ คือกระทำไว้บ่อย ๆ กรรมนั้นชื่อว่า อาจิณณกรรม อุปมาเหมือนหยาดน้ำทีละหยดที่ค่อยๆตกลงในภาชนะ ย่อมจะเติมภาชนะให้เต็มได้สักวันหนึ่ง อาจิณณกรรมก็เช่นกัน หากสั่งสมเป็นประจำสม่ำเสมอจะฝังรากลึกจนเป็นอุปนิสัย เป็นความเคยชิน และติดแน่นอยู่ตรงกลางกายนั่นแหละ อาจิณณกรรมแบ่งเป็นฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล คนที่มีใจขุ่นมัวเป็นปกติ กระทำอกุศลทั้งทางกาย วาจา ใจ พอกพูนแต่สิ่งที่ไม่ดีไว้ในขันธสันดานจนกลายเป็นอุปนิสัย วันไหนถ้าไม่ได้ทำอกุศลแล้วรู้สึกมันหงุดหงิดหัวใจ มองอะไรขวางหูขวางตาไปหมด อย่างนี้เรียกว่า เป็นอาจิณณกรรมฝ่ายอกุศล

                ส่วนผู้ใดที่มีใจใสบริสุทธิ์เป็นปกติ ทำความดีทั้งกาย วาจา ใจ ตักบาตรให้ทานทุกวันไม่เคยขาด รักษาศีลบริสุทธิ์ทุกวัน เจริญภาวนาสม่ำเสมอ กรรมดีนี้จะพอกพูนอยู่ในใจของเรา เป็นดวงบุญติดแน่นอยู่ในศูนย์กลางกาย และก่อให้เกิดอุปนิสัยที่ดีเป็นบุคลิกประจำตัว อย่างนี้เรียกว่า อาจิณณกรรมฝ่ายกุศล

              แม้การทำบุญในแต่ละครั้งก็มีปีติ หลังจากทำแล้วหวนระลึกถึงในภายหลัง ความปีติยังซาบซ่านไปทั่วทุกขุมขน เมื่อทำบ่อยๆก็ทำให้คุ้นเคยกับความดี มีปีติทุกครั้งที่ทำ อย่างนี้ได้ชื่อว่าอาจิณณกรรมเช่นกัน กุศลและอกุศลจะต่อสู้กันตลอดเวลา ใครมีกำลังมากกว่ากันก็จะให้ผลก่อน เหมือนนักมวยปล้ำสองคนต่อสู้กันบนเวที คนใดมีกำลังมากกว่าก็จะเป็นผู้ชนะ การให้ผลของอาจิณณกรรมทั้งสองฝ่ายก็เช่นกัน ฝ่ายใดมีกำลังมากกว่าก็จะย่ำยีอีกฝ่ายหนึ่งที่มีกำลังน้อยกว่า แล้วฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าก็ให้ผลเกิดเป็นวิบากทันที

                   เหมือนเรื่องเล่าที่เคยเกิดขึ้นกับพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยผู้ครองราชย์อยู่ที่เกาะลังกา พระองค์ต้องทำสงครามเพื่อปราบปรามพวกทมิฬ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระองค์ได้รับความพ่ายแพ้ เหล่าจตุรงคเสนาและทหารหาญล้มตายเป็นจำนวนมาก พระองค์ทรงเห็นเหตุการณ์คับขันเช่นนั้น จึงเสด็จขึ้นประทับหลังม้าตัวหนึ่งเสด็จหนีไปพร้อมกับพระพี่เลี้ยงคนสนิทชื่อว่าติสสอำมาตย์ จนมาถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่งจึงทรงลงพักเหนื่อย

                  เนื่องจากพระวรกายได้รับความบอบช้ำและทรงหิวกระหายเป็นอย่างมาก จึงตรัสถามอำมาตย์ว่าจะทำอย่างไรดี ติสสอำมาตย์เป็นคนรอบคอบจึงทูลตอบว่า “ก่อนจะหนีข้าศึกมาข้าพระองค์ได้นำอาหารใส่ขันทองคำแล้วห่อผ้าไว้ พอที่จะบรรเทาความหิวไปได้” แล้วอำมาตย์ก็แก้ห่อผ้าสาฎกนั้นออก นำเอาอาหารมาถวายพระราชาของตนเพื่อให้พระองค์เสวย

                   แต่พระราชาทรงเป็นผู้มีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย จึงตรัสให้แบ่งโภชนาหารออกเป็น ๓ ส่วน ทำให้ติสสอำมาตย์เกิดความแปลกใจเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจทูลถามขึ้นว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นสมมติเทพ บัดนี้เรามีกันอยู่เพียง ๒ คน เหตุใดพระองค์จึงให้แบ่งอาหารออกเป็น ๓ ส่วน” พระราชาเป็นผู้ให้ทานไม่เคยขาด จึงตรัสตอบว่า “ท่านรู้ไม่ใช่หรือว่า หากเราไม่ได้ถวายอาหารกับพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ย่อมจะไม่บริโภคอะไรเลย เราต้องให้ทานก่อนแล้วจึงบริโภคทีหลัง”

                   อำมาตย์จึงเอ่ยขึ้นว่า “ในป่าอย่างนี้ เราจะหาพระคุณเจ้าได้ที่ไหนกัน” แล้วก็แบ่งอาหารที่มีอยู่นิดหน่อยนั้นออกเป็น ๓ ส่วน ตามพระราชประสงค์ของพระราชา พระราชาก็ตรัสอีกว่า “เมื่อท่านแบ่งเสร็จแล้ว จงอาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าให้เราด้วย” เมื่อตรัสจบก็ทรงหลับพระเนตร มหาอำมาตย์ไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็เลยต้องทำตาม จึงเดินเที่ยวตะโกนนิมนต์พระกลางป่าลึก แต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่จะมีพระผ่านทางมาทางนี้

                   พระโพธิยมาลกติสสมหาเถระผู้ทรงคุณวิเศษในบวรพระพุทธศาสนาได้สดับเสียงนั้นด้วยทิพพโสต จึงตรวจดูด้วยญาณแห่งพระอรหันต์ ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงดำริในใจว่าจะไปโปรดพระราชา เพราะพระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาอย่างยิ่ง เมื่อดำริเช่นนี้ จึงเหาะขึ้นสู่อากาศด้วยฤทธิ์ของพระอรหันต์ มาปรากฏกายต่อพระพักตร์ของพระราชาผู้มีพระหทัยเปี่ยมล้นด้วยความเลื่อมใส

                เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นพระผู้เป็นเนื้อนาบุญมาปรากฏต่อหน้าเช่นนั้น มหาปีติแผ่ซ่านไปไม่รู้จบ พระองค์ทรงน้อมพระวรกายที่แสนจะอ่อนล้า นมัสการพระเถระว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้าจงฉันภัตตาหารที่โยมตั้งใจถวายในยามยากนี้ให้หมดด้วยเถิด อย่าเป็นห่วงโยมเลย เพราะโยมนี้ดีใจหนักหนาที่ได้ถวายภัตตาหารมื้อนี้แด่พระเถระ”

                  มหาอำมาตย์คู่พระทัยเห็นพระราชาตัดใจถวายทานหมดทั้ง ๒ ส่วน ก็เกิดความปีติขึ้นมาเช่นกัน จึงตัดใจถวายส่วนของตนให้กับพระเถระ พระเถระรับบิณฑบาตแล้วกล่าวอนุโมทนากับพระราชาและมหาอำมาตย์ แล้วก็เหาะกลับไปยังมหาวิหาร เมื่อไปถึงก็จัดแจงแบ่งภัตตาหารถวายแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เป็นสังฆทาน เพื่อให้เกิดอานิสงส์ใหญ่แก่พระราชาและมหาอำมาตย์

                 เมื่อคล้อยหลังพระเถระไป ความหิวที่ถูกปีติท่วมทับไว้ก็แสดงอาการ พระราชาจึงดำริในใจว่า จะทำอย่างไรดีถึงจะได้อาหารมาบรรเทาความหิว พระเถระอยู่ในวิหารทราบความคิดของพระราชา จึงเอาอาหารที่เหลือจากพระภิกษุสงฆ์ใส่บาตรจนเต็ม แล้วอธิษฐานจิตโยนบาตรขึ้นไปบนอากาศ บาตรได้ลอยไปตกลงในพระหัตถ์ของพระราชา

                  พระราชาและมหาอำมาตย์บังเกิดมหาปีติอย่างยิ่ง เมื่อเสวยอาหารนั้นจนหมดแล้ว อยากจะตอบแทนพระเถระ จึงนำเอาผ้าสาฎกเนื้อดีใส่ลงไปในบาตร แล้วอธิษฐานจิตของให้บาตรนี้ลอยกลับไปหาพระเถระผู้เป็นเจ้าของบาตร ทรงโยนบาตรขึ้นไปบนอากาศ บาตรนั้นลอยกลับไปหาพระเถระดังเดิม  

                 ภาพแห่งการทำความดีครั้งนั้น ทำให้พระองค์มีความเชื่อมั่นในอานุภาพของบุญเพิ่มมากขึ้น ทรงรักการสร้างบารมียิ่งกว่าเดิม หลังจากรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นแล้ว ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทรงสร้างวัดวาอารามมากมาย ทั้งพระเจดีย์และมหาวิหาร จนกระทั่งพระองค์ล่วงเข้าสู่วัยชราตามธรรมดาของสังขาร แม้บรรทมอยู่บนเตียงคนป่วยแต่กลับเป็นคนป่วยที่ดูสดชื่นผ่องใส

                 ในขณะที่มรณภัยมาเยือน อาจิณณกรรมฝ่ายกุศลก็ดลบันดาลให้พระองค์นึกถึงแต่ความดีที่ทำผ่านมา และดำริอยากจะไปบูชาพระเจดีย์ที่ทรงสร้างไว้ บุญกุศลก็ท่วมท้นขึ้นมาในใจ ตอนใกล้สวรรคต เทวดาหกชั้นฟ้าได้มาทูลเชิญอาราธนาพระองค์ให้ไปอยู่ด้วย พระราชาจึงน้อมนำใจไปอุบัติยังดุสิตสวรรค์ทันที ด้วยหมายใจว่าดุสิตสวรรค์ประเสริฐกว่าทุกชั้นฟ้า เพราะเป็นที่ประทับของพระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย ดังนั้นอาจิณณกรรมฝ่ายกุศลจึงส่งผลให้พระองค์มีพระทัยผ่องใส ไปอุบัติในดุสิตสวรรค์

                  จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า อาจิณณกรรมที่เราทำอย่างสม่ำเสมอจะมีผลต่อการเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติทีเดียว สิ่งที่เราทำไว้จนเป็นความคุ้นเคย เป็นความเคยชิน จะมาปรากฏเป็นกรรมารมณ์ก่อนที่เราจะละสังขารร่างกายนี้ไป เมื่อใจคุ้นกับสิ่งใด สิ่งนั้นจะเข้ามามีบทบาทกับรอยต่อของชีวิตก่อนที่เราจะหลับตาลาโลกนี้ 

                ดังนั้นทุกท่านอย่าดูเบา ให้หมั่นสั่งสมอาจิณณกรรมฝ่ายกุศลไว้ให้ดี ทั้งทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา และสร้างบุญบารมีทุกอย่างให้เต็มที่ โดยไม่มีข้อแม้ข้ออ้างเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น เมื่อทำได้อย่างนี้ หลวงพ่อรับประกันว่า เราจะต้องจากไปอย่างผู้มีชัยชนะ จะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปอย่างแน่นอน
          


จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒ หน้า ๒๗๔-๒๘๓

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
ล่มที่ ๓๔   หน้า ๑๒๔


ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...