วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ขอจงเป็นอยู่เถิด


ขอจงเป็นอยู่เถิด


            การปฏิบัติธรรมเป็นหัวใจในการทำความดี ใครปรารถนาความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม ก็อย่าดูเบาในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่หลวงพ่อพูดย้ำอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องท่านั่ง การหลับตา หรือการทำใจให้สบายๆ ให้ปลอดโปร่ง ปล่อยวางภารกิจการงานต่าง ๆ เป็นต้น โดยเฉพาะเรื่องปลิโพธิความกังวลใจเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ในเรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องครอบครัว เรื่องญาติสนิทมิตรสหาย การศึกษาเล่าเรียน หรือแม้แต่เรื่องการเดินทาง 

            สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นปลิโพธทั้งสิ้น ปลิโพธแปลว่าเครื่องกังวลใจ ใครที่มัววิตกกับเรื่องเหล่านี้ในเวลาปฏิบัติธรรม ใจจะสงบได้ยาก เป็นสมาธิ(Meditation)ได้ยาก ฉะนั้น ให้พวกเราทุกคนตระหนักไว้เสมอว่า เวลานี้เรากำลังปฏิบัติธรรม ทำกรณียกิจอันเป็นสาระสำคัญของชีวิตอยู่ เราต้องฝึกจิตฝึกใจของเราให้ดี อย่าให้เรื่องอื่นเข้ามาปะปน การปฏิบัติธรรมของเราก็จะก้าวหน้า จะสำเร็จสมปรารถนาได้อย่างอัศจรรย์

       มีธรรมเนียมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ปรากฏในบาลีว่า....
           “พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อมีผู้ถวายบังคม จะทรงพระอิริยาบถที่สง่างาม ทรงเปล่งพระสุรเสียง ดุจท้าวมหาพรหมที่ไพเราะเสนาะโสต เป็นที่จับใจ เปี่ยมด้วยโสรัจจะ ชโลมด้วยน้ำอมฤต ตรัสระบุชื่อของผู้นั้นแล้วกล่าวว่า จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด ข้อนี้เป็นธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
               วัฒนธรรมประเพณีของชาติต่างๆ ไม่เหมือนกัน เพราะความแตกต่างในด้านสถานที่ ภูมิอากาศ หรือแม้ความรู้ความเข้าใจของชุมชนที่แตกต่างกัน  เมื่อมีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติศาสนาและเผ่าพันธุ์ เราจะต้องศึกษาให้รู้ถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ใดก็ตาม หากได้ศึกษาวัฒนธรรมประเพณีของสถานที่นั้นๆ แล้ว จะทำให้เราอยู่ในที่นั้นได้อย่างองอาจไม่เก้อเขิน และยังปฏิบัติตนได้เหมาะสม รู้ว่าสิ่งใดควรประพฤติปฏิบัติ สิ่งใดไม่ควรปฏิบัติ 

               หลักในการพิจารณาคือ ถ้าไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม ก็ถือว่าสิ่งนั้นเราประพฤติปฏิบัติได้ ถ้าผิดจากหลักการนี้ก็ให้เว้นเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรามีผู้ใต้บังคับบัญชา เราควรชี้แนะให้เขาเข้าใจ แล้วธรรมเนียมประเพณีอันดีงามนี้จะได้ตกทอดไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานต่อๆ กันไป

               ถ้าเราทำได้เช่นนี้ ได้ชื่อว่าดำเนินรอยตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นบรมครูของเรา ซึ่งพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีให้เราได้ประพฤติปฏิบัติตาม ดังเรื่องที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภถึงการจามของพระองค์  เรื่องมีอยู่ว่า

                วันหนึ่ง เมื่อพระศาสดาประทับนั่งท่ามกลางบริษัทสี่ในราชิการามที่พระเจ้าปเสนทิโกศลสร้างถวายใกล้กับพระเชตวันมหาวิหาร ขณะพระองค์แสดงธรรมอยู่นั้นทรงจามขึ้น ภิกษุทั้งหลายฟังเสียงจามของพระองค์ พากันส่งเสียงขึ้นว่า “ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงพระชนม์อยู่เถิด ขอพระสุคตเจ้าจงมีพระชนมายุยืนยาวเถิด” เพราะเสียงนั้นทำให้การแสดงธรรมหยุดลง

               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสขึ้นว่า “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากล่าวในขณะจามว่า ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด เป็นต้น การกล่าว นั้นจะทำให้คนมีชีวิตอยู่หรือตายไป จะเป็นไปได้ไหม” ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เป็นไปไม่ได้พระเจ้าข้า” พระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอไม่ควรกล่าวในขณะเขาจามว่า ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด หากผู้ใดกล่าว ผู้นั้นต้องอาบัติทุกกฎ”

               หลังจากนั้น หากมหาชนได้ฟังเสียงจามของภิกษุแล้วกล่าวว่า ขอให้ พระคุณเจ้าจงเป็นอยู่เถิด” ภิกษุเหล่านั้นพากันตั้งข้อรังเกียจไม่พูดกับชนเหล่านั้น พวกชาวบ้าน จึงร้องทุกข์กันว่า อย่างไรกันนี่ เมื่อเรากล่าวคำอันเป็นมงคล สมณศากยบุตร ก็ไม่พูดตอบเลย” ต่างพากันไปกราบทูลเรื่องนี้ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกคฤหัสถ์เขาถือมงคลกัน เมื่อเขากล่าวว่า ขอพระคุณเจ้าจงเป็นอยู่เถิด เราอนุญาตให้กล่าวตอบว่า ...ขอให้พวกท่านจงเป็นอยู่เถิด” 

               ภิกษุทั้งหลายพากันทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การกล่าวโต้ตอบนี้เกิดขึ้นเมื่อไรพระเจ้าข้า” พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การโต้ตอบกันนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว” แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าว่า

                ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลพราหมณ์ในแคว้นกาสี บิดาของพระโพธิสัตว์มีอาชีพค้าขายเลี้ยงชีพ เมื่อพระโพธิสัตว์อายุ ๑๖ ปี บิดาให้ท่านแบกเครื่องแก้วเดินทางไปตามเมืองต่างๆ  จนมาถึงกรุง  พาราณสี สองพ่อลูกได้หาที่พัก แต่หาไม่ได้จึงถามว่า คนเดินทางมาถึงผิดเวลาจะพักได้ที่ไหน” 

                ชาวบ้านตอบว่า นอกเมืองมีศาลาอยู่หลังหนึ่ง แต่ศาลานั้นมียักษ์อยู่ ถ้าท่านต้องการที่พักจงพักเถิด” ฟังดังนั้นแล้วพระโพธิสัตว์กล่าวกับบิดาว่า “มาเถิดพ่อ อย่ากลัวเลย ฉันจะทรมานยักษ์นั้นให้หมอบลงแทบเท้าของพ่อเอง” จากนั้นทั้งสองพากันไปพักที่ศาลานั้น บิดาพระโพธิสัตว์นอนบนพื้นกระดาน ส่วนตัวท่านเองนั่งนวดเท้าให้บิดา

                ก่อนที่ยักษ์จะมาสิงอยู่ที่ศาลาหลังนี้ ได้ขอพรจากท้าวเวสสวัณหลังจากที่ได้รับใช้อยู่ถึง ๑๒ ปีว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้กินมนุษย์ที่เข้ามายังศาลานี้ ยกเว้นผู้ที่กล่าวโต้ตอบกันในขณะจามว่า ขอท่านจงเป็นอยู่เถิด นอกนั้นขอให้ข้าพเจ้ากินได้ทั้งหมด” เมื่อยักษ์เห็นสองพ่อลูกเข้ามาพักก็คิดจะให้บิดาพระโพธิสัตว์จาม จึงโปรยฝุ่นลงด้วยอานุภาพของตน 

                 ฝุ่นนั้นได้ปลิวเข้าไปในจมูกของบิดาพระโพธิสัตว์ จึงทำให้จามทั้งที่ยังนอนอยู่ เมื่อพระโพธิสัตว์มิได้กล่าวว่า ขอท่านจงเป็นอยู่เถิด ยักษ์จึงลงจากขื่อหมายจะจับกิน พระโพธิสัตว์เห็นยักษ์ไต่ลงมาจึงคิดว่า เจ้ายักษ์นี้คงทำให้บิดาของเราจาม แล้วจะจับคนที่ไม่กล่าวว่าขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิดกิน” จึงรีบกล่าวว่า “ข้าแต่บิดา ขอท่านจงเป็นอยู่ ๑๒๐ ปี ขอปีศาจจงอย่ากินฉันเลย ท่านจงเป็นอยู่ ๑๒๐ ปีเถิด”

                 ยักษ์ได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์แล้วรำพึงว่า “เราไม่สามารถจะกินผู้นี้ได้ แต่เราจะกินบิดาของเขา” ว่าแล้วก็ไปหาบิดา ฝ่ายบิดาพระโพธิสัตว์เห็นยักษ์ตรงมาคิดว่า เจ้ายักษ์คงจับคนที่ไม่กล่าวตอบว่า ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด ฉะนั้นเราจักกล่าวตอบ คิดดังนี้แล้วรีบกล่าวว่า แม้ลูกจงเป็นอยู่ ๑๒๐ ปีเถิด พวกปีศาจจงกินยาพิษ ลูกจงมีอายุยืนถึง ๑๒๐ ปีเถิด” ยักษ์ได้ฟังดังนั้นจับกินไม่ได้ทั้งสองคน จึงถอยกลับไป

                พระโพธิสัตว์ถามยักษ์ว่า ดูก่อนเจ้ายักษ์ ทำไมเจ้าจึงกินคนที่เข้ามาศาลาหลังนี้เล่า” ยักษ์ตอบว่า "เพราะเราอุปัฏฐากท้าวเวสสวัณอยู่ถึง ๑๒ ปีแล้วได้รับพร” พระโพธิสัตว์ถามต่อไปว่า เจ้ากินได้ทุกคนหรือ” ยักษ์ตอบว่า ยกเว้นคนที่กล่าวโต้ตอบกัน ในขณะจามว่า ขอให้ท่านจงเป็นอยู่เถิด นอกนั้นเรากินหมด” 

                 พระโพธิสัตว์ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า ในภพชาติปางก่อน เจ้าได้เป็นผู้ร้ายกาจหยาบคาย ชอบเบียดเบียนผู้อื่น มาบัดนี้เจ้ายังทำกรรมเช่นนั้นอีก ...เจ้าจะเป็นผู้ชื่อว่ามืดมาแล้วมืดไป เพราะฉะนั้น ตั้งแต่บัดนี้ไป เจ้าจงงดจากปาณาติบาตเสีย” จากนั้นพระโพธิสัตว์ได้กล่าวสอนยักษ์ให้เห็นทุกข์ภัยในนรก อีกทั้งให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย และให้ตั้งอยู่ในศีลห้า เป็นยักษ์ที่ประพฤติธรรม

                 รุ่งขึ้น เมื่อชาวบ้านรู้ว่าพระโพธิสัตว์ได้ทรมานยักษ์จนเลื่อมใสแล้ว จึงพากันไปกราบทูลพระราชาว่า ขอเดชะ มีมาณพคนหนึ่งทรมานยักษ์ ทำให้ยักษ์เป็นเหมือนคนรับใช้แล้วพระเจ้าข้า” พระราชารับสั่งให้พระโพธิสัตว์เข้าเฝ้า และทรงตั้งให้เป็นเสนาบดี ได้พระราชทานยศใหญ่แก่บิดาของท่าน พระโพธิสัตว์ได้กราบทูลพระราชาให้ทรงทำพลีกรรมแก่ยักษ์ด้วย พระราชาได้ตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ทรงกระทำบุญมีทาน เป็นต้น มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

                เมื่อพระบรมศาสดาตรัสพระธรรมเทศนาจบลง ทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้นได้เป็นพระอานนท์... บิดาได้เป็นพระมหากัสสปะ.... ส่วนบุตรนั้นได้เป็นเราตถาคต”

                จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าการจะทำอะไรก็ตาม ย่อมมีที่มาที่ไป อยู่ที่ว่า เรื่องที่เรายึดถือกันมา เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย เป็นเรื่องเสียหายหรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เสียหาย พระองค์ทรงอนุญาตให้อนุโลมตามวัฒนธรรม ตามธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นนั้นๆ บางเรื่องไม่เสียหายสำหรับฆราวาส แต่อาจเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมสำหรับนักบวชก็เป็นได้

                เพราะฉะนั้น เมื่อเราไปทำหน้าที่ผู้นำบุญยอดกัลยาณมิตร ไปเจอธรรมเนียมในที่ต่างๆ ต้องสังเกตพิจารณาให้ดี ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่เสียหาย ไม่ผิดต่อขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่ผิดกฎหมาย หรือไม่ผิดต่อศีลธรรมอันดีงาม ให้เราปฏิบัติตามเขา ต้องทำตัวให้เป็นสัตบุรุษ คือเป็นผู้รู้จักชุมชน ไม่ว่าจะไปที่ไหน เราจะปฏิบัติได้ถูกต้องเหมาะสมไม่เก้อเขิน จะเป็นที่รักและเมตตาในสถานที่นั้นๆ

               แต่ธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีที่สำคัญสำหรับชีวิตเรา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด เราจะต้องประพฤติปฏิบัติให้สม่ำเสมออย่าได้ขาด สิ่งนั้น คือการทำทาน รักษาศีล และการเจริญภาวนา ให้เรารักษาธรรมเนียมนี้ไว้ให้ดี เพื่อให้เป็นมรดกตกทอดแก่อนุชนรุ่นหลังสืบไป



จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓ หน้า ๒๒๐-๒๒๗

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๕๗ หน้า ๒๘

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

อย่าให้เกิดอาการน้อยใจ

อย่าสงเคราะห์ผู้มาใหม่มาก
 จนละเลยผู้อยู่เก่า

 

                 หนทางแห่งการสร้างบารมีเป็นเส้นทางที่ยาวไกล และจะต้องอาศัยความมุ่งมั่นและไม่ประมาท จึงจะสามารถสร้างบารมีได้ตลอดรอดฝั่ง และย่นหนทางในสังสารวัฏให้สั้นเข้ามาได้ หากเป็นผู้ประมาทในชีวิตแล้ว ก็ยิ่งเป็นการยืดเวลาของการเวียนว่ายตายเกิดให้ยาวนานออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า สังสารวัฏของผู้ที่ประมาทนั้นยาวไกลหาเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายไม่ได้ การที่เราจะเป็นผู้ไม่ประมาทอย่างสมบูรณ์ได้นั้น ต้องหมั่นทำภาวนา นำใจของเราให้กลับเข้ามาอยู่ในแหล่งแห่งสติ แหล่งของปัญญาตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ต้องหมั่นทำใจหยุดใจนิ่งอยู่ที่กลางของกลางกายให้ได้ตลอดเวลา พลังแห่งสติและปัญญาของเราจึงจะเต็มเปี่ยมบริบูรณ์อย่างแท้จริง

มีวาระพระบาลีใน ธูมการิชาดก ความว่า...

            เอวํ โย สนฺนิรงฺกตฺวา   อาคนฺตุํํ ํ กุรุเต ปิยํ
             โส เอโก พหุ โสจติ    ธูมการีว พฺราหฺมโณ

            ผู้ใดละทิ้งคนของตน ทำผู้ที่มาใหม่ให้เป็นที่รักอย่างนี้ ผู้นั้นคนเดียวจะเศร้าโศกมากมาย เหมือนพราหมณ์ธูมการีเศร้าโศกอยู่อย่างนั้น”

               ถ้อยคาถาอันเป็นคำสุภาษิตที่หลวงพ่อยกมาข้างต้นนี้ เป็นอุทาหรณ์ที่สำคัญสำหรับทุกท่าน โดยเฉพาะท่านที่จำเป็นต้องร่วมงานกับผู้คนจำนวนมาก การวางตัวของเรากับบุคคลเหล่านั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมปรารถนาหัวหน้าที่เปี่ยมด้วยเมตตา มากด้วยคุณธรรม ซึ่งคุณธรรมพื้นฐานที่สำคัญก็คือ การเป็นผู้ที่มีความกตัญญูกตเวที ให้ความสำคัญกับทุกๆ คน โดยอย่าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเราเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ หรือเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะถ้าน้อยเนื้อต่ำใจ หรือเข้าใจคลาดเคลื่อนแล้ว อาการเช่นนี้ ย่อมจะเป็นผลร้ายกับเราและโครงงานของเราได้

               เรื่องราวที่เกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจ ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน จนเกิดเป็นความเสียหายนี้เคยมีมาแล้วทุกยุคทุกสมัย แม้แต่ในสมัยพุทธกาล ก็เคยเกิดเรื่องทำนองนี้มาแล้วเช่นกัน

                สมัยหนึ่ง พระเจ้าโกศล ผู้เป็นพระราชาแห่งเมืองสาวัตถี หลังจากที่ผ่านพ้นภาวะสงครามมาแล้ว พระองค์ไม่ได้สงเคราะห์ทหารเก่าๆ ที่ติดตามสนองงานพระองค์มาตั้งแต่ครั้งออกศึก ไม่ได้ทรงยกย่องด้วยสักการะทั้งหลาย แต่กลับสงเคราะห์ทหารใหม่ 

              ภายหลังเมื่อพระเจ้าโกศลเสด็จไปปราบปรามโจรที่ปัจจันตชนบท ทหารเก่าที่เคยออกรบต่างพากันคิดว่า เมื่อพระราชาไม่ทรงให้ความสำคัญ พวกเรารบไปก็คงไร้ประโยชน์ ทหารใหม่ที่พระราชาให้ความสำคัญก็คงจะรบอย่างเต็มกำลัง ฝ่ายทหารใหม่ก็คิดว่า เรามาเพื่อเป็นแขกของพระราชาเท่านั้น ทหารเก่าที่เคยรบครั้งก่อนก็คงจะช่วยกันรบอย่างเต็มที่ เมื่อต่างฝ่ายต่างคิดเช่นนี้ ใจก็ไม่เป็นหนึ่ง ทำให้เหล่าโจรสามารถรบชนะได้อย่างสบายๆ

               เมื่อพระเจ้าโกศลปราชัยต่อการปราบปรามครั้งนี้ ทรงตกพระทัย พลางดำริว่า แสนยานุภาพของทหารเรานี้ ยากที่จะหาผู้ใดเปรียบได้ เป็นเพราะอะไรกันหนอถึงได้พ่ายแพ้ ครั้นใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วก็รู้ว่า การที่เราปราชัยอย่างย่อยยับก็เพราะว่า เราวางตัวไม่สม่ำเสมอในทหารหาญ ทำการสงเคราะห์ผู้มาใหม่ ละเลยเพื่อนเก่าผู้ร่วมตายกันมาในสนามรบ พระองค์รีบเสด็จกลับเมือง จากนั้นทรงดำริว่า เราคนเดียวเท่านั้นหรือที่ปราชัยอย่างนี้ ในสมัยก่อนมีผู้นำที่ทำเช่นนี้แล้วพ่ายแพ้หรือไม่ ทรงรำพึงดังนี้แล้วก็ระลึกถึงพระบรมศาสดา ครั้นเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว ทรงรีบเสด็จไปยังพระเชตวันเพื่อทูลถามเรื่องราวในอดีตที่ตนอยากรู้

               ครั้นเสด็จไปถึงพระเชตวัน ได้ถวายบังคมพระศาสดา แล้วทูลเรื่องราวทั้งหมดทันที จากนั้นทรงตรัสถามว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ในอดีตกาล เคยเกิดเรื่องเหมือนที่เกิดขึ้นกับข้าพระองค์หรือไม่” พระบรมศาสดาทรงปรารถนาจะตักเตือนพระราชา ไม่ให้มองข้ามผู้ที่เคยมีอุปการคุณมาก่อน จึงตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร ใช่จะมีแต่พระองค์เท่านั้นที่ปราชัยเพราะการวางตัวเช่นนี้ แม้ในสมัยก่อนก็เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกับพระองค์เช่นกัน” 

            พระราชาได้ฟังดังนั้น ยิ่งทำให้พระองค์ปรารถนาที่จะสดับเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้น จึงทูลอ้อนวอนพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดตรัสเล่าเรื่องราวเหล่านั้นด้วยเถิดพระเจ้าข้า” พระศาสดาผู้เปี่ยมด้วยพระมหากรุณาจึงทรงนำอดีตมาเล่าว่า

              ในอดีตกาล มีพระราชาพระนามว่า ธนัญชัย ยุธิฏฐิลโคตร เสวยราชสมบัติอยู่ที่อินทปัตนครในแคว้นกุรุ ในพระชาตินั้น พระโพธิสัตว์เสด็จอุบัติในตระกูลปุโรหิตของพระเจ้าธนัญชัย ครั้นเติบใหญ่พระโพธิสัตว์ได้รับการศึกษาจากสำนักตักสิลาซึ่งเป็นแหล่งรวมความรู้ของบัณฑิตทั้งหลายในสมัยนั้น เมื่อจบการศึกษาแล้ว พระโพธิสัตว์ก็เดินทางกลับมารับราชการสนองงานพระเจ้าธนัญชัยที่อินทปัตนคร ได้รับตำแหน่งปุโรหิตผู้คอยถวายอรรถธรรมแด่พระราชาสืบต่อจากบิดาของตน      ประชาชนได้ขนานนามพระโพธิสัตว์ว่า วิธูรบัณฑิต

              ในช่วงแรกของการครองราชสมบัติ บ้านเมืองยังไม่ค่อยสงบเรียบร้อย พระเจ้าธนัญชัยยังต้องปราบปรามเหล่าโจรร้ายเพื่อรักษาความสงบ พระองค์มีทหารที่มีฝีมือมากมาย ทำให้ทุก ๆ ครั้งที่ออกปราบปราม ทรงประสบชัยชนะด้วยดีตลอดมา กระทั่งวันหนึ่ง ภายหลังที่กรำศึกมานานจนบ้านเมืองสงบสุข พระเจ้าธนัญชัยทรงมีทหารใหม่เข้ามาเพิ่มมากขึ้น พระองค์เริ่มลืมเลือนทหารเก่า ไม่ทรงคำนึงถึง ปล่อยปละละเลย ไม่ทรงยกย่องให้เกียรติเหมือนดังเดิม

                 พระเจ้าธนัญชัยได้ยกย่อง และสักการะพวกทหารใหม่เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ทหารใหม่เพียงแค่แขกผู้มาเยือน ยังไม่เคยได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขในการปราบปรามเหล่าโจรร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดกบฏขึ้นที่ปัจจันตชนบท พระราชาพร้อมด้วยทหารเก่าและใหม่เดินทางไปปราบปรามกบฏด้วยกัน ครั้นไปถึง ทหารทั้งสองฝ่ายเกิดความแตกแยก ไม่มีใจเป็นหนึ่ง ทหารเก่าก็คิดว่า ในเมื่อเราหมดความหมายต่อพระราชาแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะรบไปทำไมกัน ปล่อยให้ทหารใหม่เขารบไปเถิด ฝ่ายทหารใหม่ก็คิดว่า เราก็เป็นเพียงแค่แขกผู้มาเยือนเพียง อีกไม่นานก็กลับบ้านแล้ว ไม่รู้ว่าจะรบไปทำไม ปล่อยให้เจ้าบ้านเขารบให้เต็มที่เถิด

                  เมื่อต่างฝ่ายต่างคิดเช่นนั้น ทำให้ศึกในครั้งนั้นพระราชาเป็นผู้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์ทรงกลับมาตรึกตรองหาสาเหตุก็รู้ว่า พระองค์เองมีความผิดอย่างมากที่วางตนไม่เหมาะสมกับทหารผู้จงรักภักดี  

                 วันหนึ่งพระองค์จึงถือโอกาส เข้าไปถามวิธูรบัณฑิตว่า ดูก่อนท่านบัณฑิต ในสมัยก่อนเคยมีประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองอย่างนี้หรือไม่” พระโพธิสัตว์สดับคำถามของพระราชาแล้ว ปรารถนาจะกล่าวถ้อยคำเตือนพระราชา จึงนำเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาเล่าว่า ข้าแต่มหาราช เรื่องที่เกิดขึ้นกับพระองค์นี้ ทำให้พระองค์เกิดความเศร้าโศก แต่ความโศกของพระองค์ยังไม่ชื่อว่าโศกเท่าไรนัก 

                ในกาลก่อนนั้น เคยมีพราหมณ์เลี้ยงแพะคนหนึ่ง ชื่อว่าธูมการี ต้อนแพะฝูงใหญ่ออกหากิน และได้สร้างคอกใหญ่ไว้ในป่า พักแพะไว้ในคอกก่อไฟกันยุง เลี้ยงดูแพะและบริโภคนมแพะอยู่ที่ป่าแห่งนั้น วันหนึ่ง มีฝูงชะมดผ่านมาทางนั้น ได้เข้ามาอาศัยในคอก เพราะมีการก่อไฟป้องกันยุงให้ พราหมณ์เห็นชะมดมีสีเหมือนทองคำก็เกิดความสิเน่หารักใคร่ ลืมเลือนแพะทั้งหลายไปโดยปริยาย ไม่ได้สนใจว่าแพะจะกลับมาเข้าคอกหรือไม่ หันมาเลี้ยงดูชะมดแทน ไม่ดูแลแพะอย่างที่เคยทำ

                เมื่อเลี้ยงดูได้ระยะหนึ่ง ชะมดก็หนีเข้าป่าไป แพะทั้งหลายก็หายสาบสูญไปด้วย ทำให้พราหมณ์รู้สึกเสียใจมาก จนล้มป่วยเป็นโรคผอมเหลืองและเสียชีวิตในที่สุด ข้าแต่มหาราช ผู้ที่ละทิ้งลืมเลือนเพื่อนเก่า ทำผู้ที่มาใหม่ให้เป็นที่รักเกินไป ก็จะเสียใจเช่นนี้”

                ครั้นพระโพธิสัตว์ทูลให้สติพระราชาดังนี้แล้ว ตั้งแต่นั้นมา พระราชาก็กลับตัวหันมาทำนุบำรุงทหารผู้จงรักภักดีเช่นเดิมและดำรงตนอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญบุญทุกอย่าง เมื่อละโลกแล้ว ก็ได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์
     
               เราจะเห็นว่า การวางตัวและการปฏิบัติตนกับผู้ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานั้น เป็นสิ่งที่สำคัญและละเอียดอ่อนมาก บุคคลที่ทำงานเป็นหัวหน้าคน มีผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องดูให้ดี อย่าให้มีการได้ใหม่แล้วลืมเก่า ลืมอุปการคุณของผู้ที่จงรักภักดี ต้องเป็นผู้ที่ตระหนักและจดจำท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย แล้วเราจะเป็นที่รักของทุกๆ คน ชีวิตของเราจะได้ประสบแต่ความสุขความสำเร็จไปทุกภพทุกชาติ



จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓ หน้า ๔๖๐-๔๖๖

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
ล่มที่ ๕๙   หน้า ๔๐๒

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ระแวงภัยที่ควรระแวง

ธีรชนผู้เป็นบัณฑิตนักปราชญ์
ย่อมระแวงภัยที่ควรระแวง ระวังภัยที่ยังมาไม่ถึง

           
                หากบุคคลใดไม่รู้ว่า เกิดมาเพื่ออะไร หรือเกิดมาจากไหน มาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต และจะเข้าถึงเป้าหมายนั้นด้วยวิธีการใด บุคคลนั้นถือว่าเป็นผู้ประมาทในชีวิต หากเราปรารถนาที่จะดำรงตนอยู่อย่างปลอดภัยจากภัยทั้งหลายในสังสารวัฏ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการสั่งสมบุญบารมี และยึดเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ หมั่นตรึกระลึกนึกถึงพระรัตนตรัยอยู่ตลอดเวลา และทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับท่านให้ได้ 

            เพื่อจะได้นำความรู้ที่เกิดจากการเข้าถึงพระรัตนตรัย ไปขจัดกิเลสอาสวะที่เอิบอาบ ซึมซาบ ปนเป็น อยู่ในใจให้หมดสิ้นไป นี้คือหัวใจของการดำรงชีวิตอยู่ เป็นวัตถุประสงค์ของการเกิดมา หากทำได้เช่นนี้ เกิดมาในภพชาตินี้ ชีวิตก็คุ้มค่า สมกับที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้งกันทุกคน

มีวาระพระบาลีใน โกฏสิมพลิชาดก ความว่า...

      สงฺเกยฺยานิ สงฺกิตพฺพานิ   รกฺเขยฺยานาคตํ ภยํ
      อนาคตภยา ธีโร           อุโภ โลเก อเวกฺขติ

           "ธีรชนควรระแวงภัยที่ควรระแวง ควรระวังภัยที่ยังมาไม่ถึง ธีรชนย่อมพิจารณาเห็นโลกทั้งสอง ควรระวังภัยในอนาคต”

            บัณฑิตนักปราชญ์ในกาลก่อน แม้จะเกิดเป็นปุถุชนคนธรรมดา ท่านก็ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ด้วยท่านมองเห็นโลกไปตามความเป็นจริง อีกทั้งเป็นผู้เห็นภัยในเรื่องที่ควรระแวดระวัง แม้บางทีดูเหมือนจะเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเป็นคนวิตกจริต คนละประเด็นกัน คนที่วิตกจริตคือคนที่กังวลไปสารพัดเรื่อง โดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญให้ถ่องแท้ก่อน แตกต่างกับคนที่มีความคิด และใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบ ดังเช่นเหล่าบัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลายโดยสิ้นเชิง

            ในสมัยพุทธกาล มีกุลบุตรจำนวนหนึ่ง เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดาแล้ว มองเห็นภัยในสังสารวัฏว่าเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยทุกข์นานัปการ จึงปรารถนาที่จะหยุดการเวียนว่ายตายเกิด ได้พร้อมใจกันออกบวชเป็นพระภิกษุถึง ๕๐๐ รูป  ซึ่งในสมัยก่อนนั้นภิกษุสามเณรที่ตั้งใจออกบวช เพื่อแสวงหาหนทางของพระนิพพาน หนทางแห่งการหลุดพ้นนั้น จะพากันออกบวชกันเป็นทีมใหญ่ทีเดียว เพราะการทำงานเป็นทีมสำคัญมาก  จะเป็นพลังหมู่ที่ทำให้เกิดพลังแห่งการเห็นแจ้งรู้แจ้ง และนำความสุขความสำเร็จให้บังเกิดขึ้นได้

             หลังจากที่กุลบุตรเหล่านั้นบรรพชาอุปสมบทแล้ว ได้ทูลถามวิธีการปฏิบัติธรรม และรับโอวาทจากพระบรมศาสดา ซึ่งพระองค์ทรงแนะนำการปฏิบัติ และให้ทุกๆ รูปตั้งใจบำเพ็ญเพียรกันอย่างเต็มที่ ครั้นได้รับโอวาทเป็นกำลังใจแล้ว พระภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปได้พากันไปปฏิบัติธรรมร่วมกัน ณ โกฏิสัณฐารกะ ซึ่งเป็นโรงธรรมที่บำเพ็ญเพียรขนาดใหญ่ นั่งธรรมะรวมกันได้ถึง ๕๐๐ รูป จึงเป็นสถานที่สัปปายะ เหมาะสมต่อการบำเพ็ญเพียรมาก

            เมื่อภิกษุเหล่านั้นปฏิบัติธรรมกันไปได้ระยะหนึ่ง ต่างยังทำใจให้หยุดนิ่งไม่ได้เพราะถูกกามวิตกครอบงำ พระบรมศาสดาทรงรู้ด้วยญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์ และปรารถนาให้ภิกษุเหล่านั้นข้ามพ้นอุปสรรคคือกามวิตก จึงดำริว่า สาวกของเรากำลังเผชิญกับอุปสรรคที่คอยขัดขวางหนทางมรรคผลนิพพาน เราควรตักเตือนพวกเธอให้ได้สติ พระองค์จึงทรงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ขึ้นที่ภายในโกฏิสัณฐารกะ และตรัสว่า....

             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า สิ่งที่ควรระแวง เธอทั้งหลายก็ควรระแวง เธอต้องรู้เท่าทันกิเลสที่บังเกิดขึ้น อย่ามัวปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอาสวะทั้งหลาย เพราะเมื่อกิเลสทั้งหลายเกิดขึ้น และเจริญมากขึ้นแล้ว มีแต่จะทำลายเธอฝ่ายเดียว เหมือนต้นไทรที่เกิดขึ้นแล้วย่อมทำลายต้นไม้ทั้งหลาย ควรที่เธอจะเห็นภัยภายในที่ก่อกำเนิดขึ้น เหมือนเทวดาแต่ปางก่อนที่เป็นบัณฑิต มองเห็นภัยในเรื่องเล็กน้อยอย่างน่าอัศจรรย์” 

              เมื่อภิกษุสงฆ์ฟังพุทธดำรัสแล้ว ยังไม่เข้าใจแจ่มชัด จึงพากันทูลถามพระศาสดาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เรื่องราวของบัณฑิตในกาลก่อนนั้น พวกข้าพระองค์ไม่อาจรู้ได้ ขอพระองค์โปรดเล่าเรื่องราวนั้นให้พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด” พระบรมศาสดาจึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่าว่า...

            ชาติหนึ่ง พระโพธิสัตว์เสด็จอุบัติเป็นรุกขเทวดาโกฏิสิมพลี ซึ่งเป็นต้นไม้อันเป็นถิ่นที่อยู่ของพญาครุฑ เรามักคุ้นกับคำว่า วิมานฉิมพลี วิมานหมายถึง บ้านหรือที่อยู่อาศัย รุกขเทวดาพระโพธิสัตว์ ได้อาศัยอยู่ที่ต้นโกฏิสิมพลีโดยมีวิมานซ้อนอยู่ที่ต้นไม้นั้น

             วันหนึ่ง พญาครุฑได้เนรมิตกายให้ใหญ่ และยาวประมาณ ๑๕๐ โยชน์ ใช้ลมปีกกระพือแหวกน้ำทะเลออกเป็นสองส่วน แล้วเฉี่ยวเอานาคราชตัวหนึ่งที่มีร่างยาวประมาณ ๑,๐๐๐ วา โดยจับที่หาง แล้วให้ห้อยหัวลง เพื่อขยอกอาหารออกทางปากให้หมดตัวเพื่อนาคจะได้ตัวเบาขึ้น วิธีการจับนาคนี้ ครุฑจะจับที่หางนาคเช่นอย่างนี้ทุกครั้ง และวิธีที่นาคจะหนีรอดจากการจับก็คือ ถ้านาคตนไหนรู้ว่ากำลังถูกพญาครุฑตามจับ จะรีบกลืนก้อนหินหนัก ๆ ไว้ในท้อง เพื่อพญาครุฑจะได้ยกไม่ขึ้น นี่เป็นวิธีที่จะช่วยตนเองให้พ้นภัย แต่หากนาคตนนั้นกลืนก้อนหินไม่ทัน ก็จะถูกพญาครุฑเฉี่ยวไป ครั้นจับนาคได้แล้ว ครุฑก็มุ่งหน้ากลับถิ่นที่อยู่ของตนด้วยกำลังอันมหาศาล

            ครั้งนั้น นาคที่ถูกพญาครุฑจับได้คิดว่า เราจะต้องสลัดให้หลุดจากการจับให้ได้ จึงรอโอกาส จนกระทั่งครุฑบินผ่านต้นนิโครธต้นใหญ่ต้นหนึ่ง นาคจึงใช้ขนดสอดพันเข้ากันต้นไม้ใหญ่ทันที แต่ด้วยความเร็วแรงของการบิน วิธีการนั้นไม่อาจหยุดพญาครุฑไว้ได้ ต้นนิโครธถอนขึ้นเพราะความเร็วในการบินของพญาครุฑ พญานาคก็ไม่ยอมปล่อยต้นไม้ใหญ่ พญาครุฑจึงนำทั้งนาคทั้งต้นไม้ไปถึงที่อยู่ของตน จากนั้นก็ฉีกท้องของพญานาค กินมันข้น แล้วทิ้งซากลงทะเลไป

             ขณะเมื่อพญาครุฑกำลังกินพญานาคอยู่นั้น มีนกตัวหนึ่งมาเกาะที่ต้นนิโครธ และหลังจากพญาครุฑทิ้งต้นนิโครธไปแล้ว มันก็บินมาเกาะระหว่างกิ่งของต้นโกฏิสิมพลี รุกขเทวดาเห็นนกน้อยนั้นก็สะดุ้งกลัวจนตัวสั่นด้วยคิดว่า ต่อไปนกตัวนี้จะอุจจาระรดลำต้นเรา จากนั้นพุ่มไทรหรือพุ่มไม้ป่าจะขึ้นท่วมวิมานเรา เห็นทีวิมานของเราจะพินาศเพราะเหตุนี้เป็นแน่ รุกขเทวดาตัวสั่นสะท้าน พลอยทำให้ต้นโกฏิสิมพลีสั่นจนถึงโคนไปด้วย

             พญาครุฑเห็นรุกขเทวดาสั่นสะท้านเช่นนั้น จึงถามว่า ท่านรุกขเทวา  แม้เราจะนำนาคตัวขนาดใหญ่ รวมทั้งน้ำหนักตัวของเราเอง ก็ไม่เห็นแสดงอาการสั่นสะท้านแต่อย่างใดเลย แต่เมื่อท่านมองเห็นนกตัวเล็กๆ เท่านั้น ทำไมจึงแสดงอาการสั่นสะท้านเช่นนั้นเล่า” 

            รุกขเทวดาโพธิสัตว์ตอบว่า ท่านพญาครุฑ ตัวท่านมีเนื้อเป็นภักษา แต่สกุณาตัวน้อยนี้มีผลไม้เป็นอาหาร หากนกน้อยนี้จิกกินลูกไทร ลูกมะเดื่อ ลูกนิโครธ แล้วมาถ่ายรดต้นไม้วิมานของเรา เมล็ดพันธุ์ดังกล่าวที่นกมาถ่ายรดไว้ย่อมเจริญเติบโตขึ้นและปกคลุมวิมานของเรา เรามองเห็นภัยอย่างนี้ จึงสั่นสะท้าน ท่านพญาครุฑ ไม่ใช่เพราะเรากลัวเจ้านกตัวน้อยนั้นแต่อย่างใด”

               พญาครุฑได้ฟังถ้อยคำอันน่าอัศจรรย์ใจ ในความเป็นผู้ที่มองเห็นภัยที่ยังมาไม่ถึงเช่นนี้ รู้สึกปีติในถ้อยคำของพระโพธิสัตว์ จึงได้กล่าวยกย่องพระโพธิสัตว์ว่า ธีรชนผู้เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ ย่อมระแวงภัยที่ควรระแวง ระวังภัยที่ยังมาไม่ถึง ย่อมสามารถมองเห็นภัยในโลกทั้งสอง คือโลกนี้ และโลกหน้าได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง” พญาครุฑรีบไล่นกน้อยตัวนั้นให้หนีไป ด้วยปรารถนาจะให้รุกขเทวดาโพธิสัตว์สบายใจ

                 พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสรุปว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเป็นสาวกของเรา ก็ควรที่จะระแวงสิ่งที่ควรระแวง ระวังสิ่งที่ควรระวัง ป้องกันสิ่งที่ควรป้องกัน อย่ามองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ และปล่อยผ่านไปอย่างเฉยเมย ให้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญให้ดี ให้สุขุมรอบคอบในทุกเรื่อง”  

           ครั้นจบพระธรรมเทศนา ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูป ดำรงอยู่ในอรหัตผล จากนั้นพระพุทธองค์ทรงประชุมชาดกว่า พญาครุฑในครั้งนั้นคือพระสารีบุตร ส่วนรุกขเทวดาผู้ระวังในสิ่งที่ควรระวังก็คือ เราตถาคตนั่นเอง”

              เราจะเห็นว่า พระบรมศาสดาทรงเป็นผู้มีพระปัญญาอันบริสุทธิ์ ไม่มองข้ามภัยแม้เพียงเล็กน้อย ยิ่งถ้าเป็นอาสวกิเลสที่ขัดขวางต่อการบรรลุธรรม  ยิ่งเป็นสิ่งที่ทรงตระหนัก และระมัดระวังเป็นพิเศษ อีกทั้งยังทรงตักเตือนพระสาวกให้รู้จัก ชำระกาย วาจา ใจให้สะอาดบริสุทธิ์ โดยให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมให้มาก 

            นับเป็นบุญลาภอันประเสริฐของพวกเรา ที่ได้มารู้จักพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ ขอให้ทุกท่านสำรวมระวัง ระแวงสิ่งที่ควรระแวง ระวังสิ่งที่ควรระวัง โดยเฉพาะอาสวกิเลสทั้งหลายจงอย่าได้ดูเบาทีเดียว ให้มีสติ และรู้เท่าทันกิเลส ให้พวกเราทุกคนดูพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง แล้วก้าวตามรอยบาทพระศาสดากันทุกๆ คน



จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓ หน้า ๔๕๐-๔๕๗


อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
ล่มที่ ๕๙   หน้า ๓๙๕


วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เหตุอย่างเดียวกัน แต่ได้ผลต่างกัน


การจาม..เหมือนกัน...แต่ผลที่ได้ต่างกัน


               ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ เพราะใจเป็นจุดเริ่มต้นของความคิด และความคิดจะก่อให้เกิดการกระทำ ใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญสุด ทีจะบันดาลให้ทุกอย่างเกิดขึ้น ใจของคนที่ผ่องใสนั้น ไม่ว่าจะคิด พูด หรือ ทำสิ่งใดก็ตาม ย่อมมีพลัง และความเพียรไม่มีที่สิ้นสุด ตรงกันข้ามกับสภาพจิตใจที่ขุ่นมัวไม่ผ่องใส ย่อมทำลายความสำเร็จทั้งหมดให้มลายหายสูญไป เพราะหากใจไม่ผ่องใสแล้ว จะคิด พูด หรือทำสิ่งใดก็ยากที่จะสำเร็จ

แม้เรื่องที่ง่ายแสนง่ายก็ไม่มีทางทำได้ หรือไม่มีโอกาสทำให้สำเร็จ แม้บุคคลนั้นจะมีฐานะดี ความรู้สูงตำแหน่งหน้าที่สูง หรือมีความสามารถมากเพียงไร แต่ถ้าขาดความเชื่อมั่น ขาดพลังใจอันสูงส่ง ขาดความเพียรพยายามแล้ว ศักยภาพในตัวแม้มีมากมายเพียงไร ย่อมไม่สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่

มีธรรมภาษิตที่ปรากฏใน 
อสิลักขณชาดก ความว่า...
     เหตุอย่างเดียวกัน เป็นผลดีแก่คนหนึ่ง แต่เป็นผลร้ายแก่อีกคนหนึ่งได้  เพราะฉะนั้นเหตุอย่างเดียวกัน มิใช่ว่าจะเป็นผลดีไปทั้งหมด และมิใช่ว่าจะเป็นผลร้ายเสมอไป”

บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว เป็นเช่นนั้นจริงๆ คนที่พูดว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี หรือทำชั่วได้ดีมีถมไปนั้น เป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน เพราะไม่ช้าผลแห่งการกระทำก็ย่อมปรากฏแก่ผู้กระทำ เพียงแต่ผลจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง ปลูกถั่วย่อมได้ถั่ว  จะเป็นงาไม่ได้   ทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้นแน่นอน เพราะฉะนั้น อย่าได้พลาดพลั้งไปทำกรรมชั่ว อันจะนำความเดือดร้อนมาให้ในภายหลัง

อันที่จริงเมื่อเราทำดีย่อมได้ผลดีทันที เป็นความดีที่เกิดขึ้นในใจโดยไม่ต้องรอเวลาเลย โดยเฉพาะการทำความดีที่มีเป้าหมายสูงสุดนั้น คือเพื่อให้ใจของเราปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง  การที่บุคคลหวังจะได้ผลออกมาเป็นรูปธรรมนั้นต้องอาศัยเวลา เพราะกรรมไม่ว่าจะเป็นบุญหรือบาปแต่ละอย่างนั้น ย่อมให้ผลไม่เหมือนกัน เพราะแม้การทำในสิ่งเดียวกัน แต่ต่างเวลา ต่างบุคคล ต่างสถานที่ ก็ทำให้ผลของกรรมนั้นแตกต่างกันไป ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของการกระทำ ในสิ่งที่เป็นของสมมติว่าเป็นความดีในโลกแล้ว ยิ่งให้ผลต่างกันมาก ดังเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตกาล เรื่องมีอยู่ว่า

ครั้นนั้น มีพราหมณ์ท่านหนึ่งเป็นผู้ตรวจลักษณะดาบของพระเจ้าโกศล เมื่อใดที่ช่างเหล็กนำดาบมาถวายพระราชา เขาจะสูดดมดาบ แล้วชี้ถึงลักษณะดีหรือเลวของดาบนั้นๆ   ถ้าเขาได้ทรัพย์สินจากมือของช่างดาบพวกใด เขาจะกราบทูลพระราชาว่า ดาบของช่างนั้นสมบูรณ์ด้วยลักษณะ ประกอบด้วยมงคล แต่หากเขาไม่ได้ผลประโยชน์ เขาจะติเตียนดาบของช่างพวกนั้นว่า อัปลักษณ์

วันหนึ่งมีช่างดาบคนหนึ่ง เมื่อทำดาบแล้ว ได้ใส่พริกป่นอย่างละเอียดในฝักแล้วนำดาบมาถวายพระราชา พระราชารับสั่งให้พราหมณ์พิจารณาดาบนั้น เมื่อพราหมณ์ชักดาบออกมาดม พริกป่นเข้าจมูก ทำให้เขาจามทันที  จมูกจึงถูกคมดาบเฉือนขาดทำให้เป็นที่รู้กันทั่วในหมู่สงฆ์

ต่อมาภิกษุทั้งหลายพากันยกเรื่องนี้ขึ้นสนทนาในโรงธรรมสภา และได้กราบทูลถามพระบรมศาสดา  พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่พราหมณ์นั้นจมูกขาดวิ่น เพราะดมดาบ แม้ในกาลก่อนก็เคยขาดวิ่นมาแล้วเช่นกัน” จากนั้นทรงนำเรื่องในอดีตมาเล่าว่า....

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระองค์ทรงมีพราหมณ์เป็นผู้ตรวจลักษณะดาบ ทำนองเดียวกันกับเรื่องในปัจจุบันทุกอย่าง แปลกตรงที่ว่า พระราชาได้รับสั่งให้หมอรักษาพราหมณ์จนจมูกหายเป็นปกติ โดยทำจมูกเทียมใส่แทน

พระเจ้าพาราณสีไม่มีพระโอรส ทรงมีเพียงพระธิดาพระองค์เดียว และทรงเลี้ยงหลานอีกพระองค์หนึ่ง เมื่อพระราชธิดาและพระราชภาคิไนยเจริญเติบโตขึ้น ต่างมีพระทัยปฏิพัทธ์ต่อกัน พระราชาจึงตรัสเรียกอำมาตย์พลางรับสั่งว่า “เราจะยกราชสมบัติให้หลานของเรา และจะยกธิดาให้เขาอภิเษกสมรสกัน”

ต่อมาพระองค์ทรงดำริใหม่ว่า หลานของเราก็เป็นญาติของเรา เราจะสู่ขอราชธิดาอื่นมาให้เขา แล้วเราจะยกธิดาของเราให้พระราชาองค์อื่น ด้วยอุบายนี้ หลานของเราจะเป็นเจ้าของราชสมบัติทั้งสองพระนคร พระองค์ดำริดังนั้นแล้ว ทรงปรึกษากับอำมาตย์ทั้งหลายและรับสั่งว่า ควรแยกคนทั้งสองนั้นเสีย โดยให้พระราชภาคิไนยประทับที่ตำหนักหนึ่ง ส่วนพระราชธิดาประทับที่อีกตำหนักหนึ่ง

เมื่อทั้งสองพระองค์มีพระชนม์ ๑๖ พรรษาทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์ต่อกันยิ่งขึ้นไปอีก  พระราชกุมารทรงดำริว่า เราจะทำอย่างไรดี จึงจะพาธิดาของเสด็จลุงออกจากพระราชวังได้  เมื่อคิดอุบายได้แล้ว  จึงรับสั่งเรียกหญิงแม่มดมา  แล้วประทานสิ่งของมีค่าพันกหาปณะแก่นาง  เมื่อนางกราบทูลถามว่า “ทรงให้หม่อมฉันทำอะไร” จึงรับสั่งว่า “ท่านจงอ้างเหตุอะไรก็ได้ ที่ทำให้เสด็จลุงของฉันอนุญาตให้พระธิดาออกจากพระราชวังได้”

หญิงแม่มดกราบทูลว่า “หม่อมฉันจะเข้าเฝ้าพระราชา แล้วจักทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ กาลกิณีกำลังกุมพระธิดาอยู่ หม่อมฉันขอพาพระธิดาขึ้นราชรถไปทำพิธีล้างมลทิน แล้วให้พวกทหารมีอาวุธครบมือติดตามไปด้วย เพื่อเข้าสู่ป่าช้า หม่อมฉันจะให้คนที่ตายแล้วนอนบนเตียง ตัวหม่อมฉันจะอยู่บริเวณนั้นซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธี แล้วให้พระราชธิดาประทับนั่งเหนือเตียงชั้นบนขึ้นไปอีก ให้ทรงสรงสนานด้วยน้ำหอมประมาณ ๑๕๐ หม้อ เพื่อกำจัดกาลกิณีออกไป

             ครั้นหม่อมฉันกราบทูลเช่นนี้แล้ว ในวันที่หม่อมฉันจะไปป่าช้า ให้พระองค์ถือพริกป่นไปด้วย และรีบไปป่าช้าก่อนผู้ใด ให้พระองค์เสด็จไปที่แท่นพิธีนั้น แล้วทำเป็นตายนอนอยู่บนเตียงที่เขาคลุมนั้น เมื่อหม่อมฉันมาถึงบริเวณนั้น ก็จะวางเตียงซ้อนทับพระองค์ไว้ เสร็จแล้วก็เชิญพระราชธิดาให้ประทับนั่งบนเตียงชั้นบนนั้น ขณะนั้นให้พระองค์เอาพริกป่นใส่พระนาสิก ทำให้จามสองสามครั้ง ทันทีที่พระองค์จาม หม่อมฉันจะทิ้งพระราชธิดาไว้ แล้วหนีไป เมื่อถึงตอนนั้น พระองค์จงพาพระธิดาหนีไปเถิด” พระราชกุมารตอบตกลงตามแผนการของแม่มดทุกประการ

 เมื่อแม่มดเข้าไปกราบทูลพระราชา  พระราชาทรงอนุญาต และแม่มดก็ไปกราบทูลแผนการทั้งหมดนั้นให้พระราชธิดารับรู้ด้วย พระราชธิดาก็รับคำ ในวันที่จะไปทำพิธีในป่าช้า แม่มดได้ให้สัญญาณพระภาคิไนย แล้วมุ่งสู่ป่าช้าพร้อมด้วยทหารจำนวนมาก แม่มดได้พูดขู่ให้พวกทหารทั้งหมดที่ไปด้วยกันเกิดความหวาดกลัวว่า “เมื่อเราวางพระธิดาบนเตียง คนตายที่อยู่ใต้เตียง จะจามขึ้นมา และจะลุกจากเตียง หากเขาเห็นผู้ใดก่อน ก็จะจับผู้นั้นทันที พวกท่านจงระวังตัวให้ดีอย่าประมาท”

              เมื่อพระภาคิไนยไปถึงป่าช้าก่อน ทรงบรรทมตามแผนการนั้น ต่อมา เมื่อแม่มดมาถึงก็อุ้มพระธิดาขึ้นสู่แท่นพิธี วางพระธิดาลงบนเตียง ขณะเดียวกันนั่นเอง พระราชกุมารก็เอาพริกป่นใส่จมูกแล้วก็จามทันที แม่มดแกล้งร้องเสียงดังลั่น  วิ่งหนีไปก่อนคนอื่น  พวกทหารทุกคนต่างพากันทิ้งอาวุธหนีตามไปด้วย

              จากนั้นพระราชกุมารได้พาพระราชธิดาไปสู่นิเวศน์ของพระองค์ เมื่อพระราชารู้เรื่องราวทั้งหมด ทรงดำริว่า อันที่จริงเราก็เลี้ยงนางไว้เพื่อยกให้หลานอยู่แล้ว เหมือนทิ้งเนยใสลงในข้าวปายาส พระองค์จึงมอบพระธิดาให้หลานในเวลาต่อมา และยังมอบราชสมบัติให้หลานเป็นพระราชาองค์ต่อไปอีกด้วย

วันหนึ่ง เมื่อพราหมณ์นักดูดาบนั้นมาเข้าเฝ้าพระราชา เขายืนตรงแสงพระอาทิตย์ส่อง จมูกเทียมจึงละลายตกลงบนพื้น เขาได้แต่ยืนก้มหน้าด้วยความละอาย พระราชาเห็นดังนั้นก็ทรงพระสรวล แล้วตรัสว่า “ท่านอาจารย์ ท่านอย่าคิดมากไปเลย ธรรมดาการจาม เป็นผลดีแก่คนหนึ่งแต่กลับเป็นผลร้ายแก่อีกคนหนึ่ง ท่านจามจมูกขาด ส่วนฉันจามได้ธิดาของเสด็จลุง แล้วยังได้ราชสมบัติ เหตุอย่างเดียวกันนั่นแหละ เป็นผลดีแก่คนหนึ่ง แต่กลับเป็นผลร้ายแก่อีกคนหนึ่งได้ เพราะฉะนั้นเหตุอย่างเดียวกัน ใช่ว่าจะเป็นผลดีไปทั้งหมด แต่ก็มิใช่ว่าจะเป็นผลร้ายไปทั้งหมด”

พระศาสดาได้ตรัสความความดีความชั่วที่โลกสมมุติกันแล้ว ว่าเป็นการไม่แน่นอนด้วยเรื่องนี้ แล้วทรงประชุมชาดกว่า “พราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบในครั้งนั้น ได้มาเป็นพราหมณ์ผู้ตรวจลักษณะดาบในครั้งนี้ ส่วนพระราชาผู้เป็นภาคิไนยในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราตถาคตนั่นเอง”

เราจะเห็นว่า เรื่องราวต่างๆ ที่โลกสมมุติกันขึ้นนั้น เป็นของไม่แน่นอน บางคนทำเรื่องหนึ่ง  กลับได้อีกเรื่องหนึ่งเป็นผลตอบแทน ที่ไม่แน่นอนนั้นเป็นเพราะเหตุการณ์ สถานที่ และบุคคลแตกต่างกัน แต่ผลจะเป็นไปอย่างไรก็ตาม ย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของตน ถ้าทำดีย่อมได้ผลดี ทำชั่วย่อมได้ผลชั่วแน่นอน การทำความดีนั้นต้องเริ่มที่ใจของเราก่อน

แม้ผลของความดีจะยังไม่ปรากฏแก่ตัวเราเอง แต่เทวดาและผู้มีญาณย่อมรู้ถึงการกระทำของเรา และที่สำคัญความดีที่เราทำไปจะไม่มีวันสูญหายไปไหน จะติดอยู่ที่ศูนย์กลางกายของเราตลอดเวลา  ดังนั้นอย่าไปกังวลว่า ทำไมยังไม่เห็นผลของความดี หากเราทำถูกหลักวิชาแล้ว ย่อมได้รับผลดีแน่นอน ให้ทุกคนตั้งใจทำความดีกันต่อไป



จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๓ หน้า ๔๐๑-๔๑๐


อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
ล่มที่ ๕๖   หน้า ๔๙๑

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

วันพระของชาวสวรรค์

ชาวสวรรค์สั่งสมบุญด้วยวิธีการใดบ้าง...???



              ในสังคมปัจจุบัน มนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนตกอยู่ในโลกธรรม ๘ ประการ คือมีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสุขมีทุกข์ มีสรรเสริญมีนินทา นี้เป็นธรรมดาที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลก ผู้ที่ยังติดข้องอยู่ในโลก ต้องตกอยู่ในสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น ส่วนพระบรมศาสดาได้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิต บรรลุกายธรรมอรหัตแล้ว จึงไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลาย ใจท่านเป็นหนึ่ง มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ใจหยุดในหยุดอยู่ในกลางของกลางตลอดเวลา

              พอเข้าถึงธรรมที่ละเอียดตรงนั้น ก็มีพระมหากรุณาธิคุณ ประกาศอมตธรรมไปยังสรรพสัตว์ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย ให้ได้ดื่มรสแห่งอมตธรรม ได้รับรู้รับทราบว่า รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวงเป็นอย่างไร พระอริยสาวกที่เป็นอนุพุทธะรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีเป็นจำนวนมาก ที่ได้เข้าไปถึงจุดแห่งความสุขที่แท้จริง ดังนั้นหากเรามีธรรมะอยู่ในใจ แม้เวลามีทุกข์บังเกิดขึ้น ทุกข์นั้นก็จะหมดไป จะไม่หวั่นไหวในทุกข์ทั้งหลาย แต่จะมีความสุขที่สมบูรณ์มาแทนที่

          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบทว่า...

        มาวมญฺเญถ ปุญฺญสฺส     น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
           
อุทพินฺทุนิปาเตน           อุทกุมฺโภปิ ปูรติ
          
ปูรติ ธีโร ปุญฺญสฺส         โถกํ โถกํปิ อาจินํ

         ไม่ควรดูหมิ่นต่อบุญว่า มีประมาณน้อย จะไม่มาถึงเรา แม้หม้อน้ำย่อมเต็มได้ด้วยหยาดน้ำตกทีละหยดๆ ฉันใด ผู้มีปัญญาสั่งสมบุญ แม้ทีละน้อยๆ ย่อมเต็มได้ด้วยบุญ ฉันนั้น”

             การเดินทางไกลในสังสารวัฏ จำเป็นต้องมีเสบียงบุญติดตัว ถ้าเสบียงบุญมาก การดำเนินชีวิตก็จะสะดวกสบาย ไม่ต้องวิตกกังวลในการแสวงหาปัจจัย ๔ มาเลี้ยงชีพ บุญกุศลที่เราได้ทำไว้ดีแล้ว จะเป็นเสบียงใหญ่ให้เราสร้างบารมีอย่างมีความสุข

                   ดังนั้นบุญจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราอย่างยิ่ง จำเป็นที่จะต้องสั่งสมให้มาก บุญจะเป็นเบื้องหลังของความสุขและความสำเร็จทุกอย่าง เพราะชีวิตหลังความตายนั้นยาวนาน เมื่อเรายังมีลมหายใจอยู่จึงต้องสร้างบารมีให้เต็มที่ ไม่ให้ขาดเลยแม้แต่วินาทีเดียว ทั้งการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทำไปพร้อมๆ กัน เพื่อบุญบารมีของเราจะได้เพิ่มพูนขึ้นทุกๆ วัน

                บุญเป็นคำๆ เดียวสั้นๆ แต่ทรงคุณค่าและมีความหมายต่อตัวเรามาก  เวลาจะทำบุญอะไร อย่าไปคิดว่าเป็นบุญเล็กๆ น้อยๆ ทำไปคงไม่เกิดผลอะไรมาก การกระทำใดๆ ในโลกนี้ที่ทำไปแล้ว จะไม่ส่งผลเลยไม่มี เราทำบุญวันละนิด จิตก็แจ่มใสขึ้นทุกวัน เพราะบุญในตัวของเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนหยาดน้ำค่อยๆ หยดลงในหม้อน้ำทุกๆ วัน ในที่สุดก็เต็มเปี่ยมได้ เพราะฉะนั้นให้ทำกันไปเถอะ โภคทรัพย์สมบัติจะได้บังเกิดขึ้น เพื่อเอาไว้ใช้สร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป เราจะได้เป็นที่มานอนแห่งสิริมงคลทั้งหลาย รวมทั้งการได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ต้องอาศัยอานุภาพแห่งบุญเช่นกัน

                ชาวสวรรค์เขารักในการสั่งสมบุญมาก เพียงแต่โอกาสที่จะมาทุ่มเทสร้างความดีในโลกมนุษย์เหมือนเรา มันยากมาก ส่วนใหญ่เขาจะได้บุญจากการไปนมัสการพระจุฬามณีบ้าง บุญจากการฟังธรรมบ้าง และบุญที่เกิดจากอนุโมทนาในบุญที่พวกเราทำกันอยู่ในขณะนี้บ้าง

                ในเทวโลกซึ่งเป็นที่อยู่ของชาวสวรรค์ เทวดาจะโฆษณาการฟังธรรมครั้งใหญ่ๆ เดือนละ ๘ วัน คือทุกๆ ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ  ๑๔ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ ทั้ง ๘ วัน จะมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนผู้ทรงธรรม ผู้เคยได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ หรือจากพระองค์ปัจจุบัน มาแสดงธรรมให้ทวยเทพได้ฟัง

                  บางครั้งก็เป็นสนังกุมารมหาพรหม ท้าวสักกจอมเทพ ภิกษุธรรมกถึก หรือไม่อย่างนั้นก็เทพบุตรธรรมกถึกองค์ใดองค์หนึ่ง ท่านจะทำหน้าที่เป็นผู้กล่าวธรรมกถาในสุธรรมมาเทวสภา เหล่าทวยเทพทั้งหลายก็จะหยุดการละเล่น หยุดการเพลิดเพลินในกามคุณอันเป็นทิพย์ชั่วคราว เพื่อมาฟังธรรม

                 ในวัน ๘ ค่ำ พวกเหล่าอำมาตย์ของมหาราชทั้ง ๔ พระองค์ ซึ่งเป็นท้าวโลกบาลในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ และท้าวเวสสวัณ จะออกท่องเที่ยวไปตรวจดูหมู่มนุษย์ว่า ใครได้สั่งสมบุญกุศลเอาไว้บ้าง ถ้าเป็นวัน ๑๔ ค่ำ จะเป็นโอรสของมหาราชทั้งสี่เป็นผู้ทำหน้าที่ หากเป็นวัน ๑๕ ค่ำ มหาราชทั้ง ๔ พระองค์จะเสด็จออกไปเอง บนสวรรค์เขาก็มีการปกครอง มีการแบ่งหน้าที่กันเหมือนโลกมนุษย์ของเรา  

                   ท้าวมหาราชทั้งสี่ จะท่องเที่ยวไปตามหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือตามเมืองต่างๆ หากพบเห็นหมู่มนุษย์ที่ทำความดีอะไรเอาไว้ พระองค์ก็จะทรงบันทึกไว้บนแผ่นทองว่าหญิงชายชื่อนี้ ชื่อนี้ ทำบุญชนิดนี้เอาไว้ ได้บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการครบถ้วน บำเพ็ญกุศลกรรมบถ ๑๐ สาธุชนท่านนั้น ถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ที่หมู่บ้านโน้น มีสาธุชนตั้งใจรักษาศีล ๕ เข้าอยู่จำอุโบสถศีล รักษาศีล ๘ ทุกเดือน ผู้มีบุญท่านนี้บำเพ็ญบุญกุศล ด้วยการบำรุงมารดา บูชาพระเจดีย์ ทำทาน รักษาศีล และนั่งสมาธิเจริญภาวนามิได้ขาดเลย ท่านจะจดเอาไว้ ใครชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน ทำบุญอะไร ท่านรู้เห็นการกระทำของเราหมด ไม่ว่าจะทำความดีหรือความชั่ว หลวงพ่อถึงบอกว่า พวกเรานี้อยู่ในสายตาของชาวสวรรค์ตลอด

                 เมื่อได้ชื่อและนามสกุลของผู้มีบุญในเมืองมนุษย์มาแล้ว ท่านจะนำมามอบให้ปัญจสิขเทพบุตร จากนั้นปัญจสิขะก็จะนำไปมอบให้มาตลีเทพบุตร แล้วส่งต่อไปถวายแด่ท้าวสักกเทวราช ท่านจะส่งต่อๆ กันไปอย่างนี้ เมื่อคนทำบุญมีไม่มาก สมุดบัญชีก็น้อย พวกเทวดาได้เห็นบัญชีก็จะเสียใจว่า “เพื่อนเอ๋ย มหาชนประมาทจริงหนอ อบายภูมิทั้ง ๔ คงจักเต็มไปด้วยมนุษย์ทำบาปอกุศล เทวโลกทั้ง ๖ ชั้นคงจักว่างเปล่า”

                  แต่ถ้ามีผู้ทำความดีมาก บัญชีบุญก็จะหนาขึ้น เมื่อพวกเทวดาได้มาเห็นเข้า ก็พากันดีอกดีใจว่า “โอ เพื่อนเอ๋ย มหาชนมิได้ประมาทในการสั่งสมบุญ อบายภูมิทั้ง ๔ คงจักว่างเปล่า ส่วนเทวโลกทั้ง  ๖ คงจะล้นหลามไปด้วยเหล่าเทพบุตรเทพธิดา พวกเราจะได้ห้อมล้อมผู้มีบุญใหญ่ ที่ได้ทำบุญไว้ในพระพุทธศาสนา บนสวรรค์จะสว่างไสวไปด้วยรัศมีของผู้มีบุญเหล่านี้” แล้วเขาก็จะคอยท่า รอให้เราไปเป็นสหายแห่งเทพด้วยใจจดใจจ่อ

                  ท้าวสักกเทวราชนี้ ท่านได้เป็นเทวดาชั้นอริยบุคคล เพราะท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พระองค์จะถือบัญชีบุญเอาไว้ แล้วเริ่มแสดงธรรมให้เหล่าทวยเทพที่มาประชุมกันได้รับฟัง พระสุรเสียงของท้าวสักกะจะก้องกังวาน หากสนทนาธรรมตามปกติ สามารถได้ยินไกลไปถึง ๑๒ โยชน์ แต่ถ้าตั้งใจแสดงธรรม พระสุรเสียงจะดังกลบเทพนครทั้งหมดหมื่นโยชน์ เพราะฉะนั้นแม้เทวดาที่อยู่ไกลๆ ก็สามารถได้ยินเสียงของการแสดงธรรมจากท้าวสักกะอย่างสบายๆ เมื่อพระองค์แสดงธรรมจบ จะมีการประกาศรายนามท่านผู้มีบุญ ให้เหล่าเทพบุตรเทพธิดาได้อนุโมทนา

                  เพราะฉะนั้น  ถ้าเราอยากให้เหล่าทวยเทพอนุโมทนาสาธุการ ก็ให้สั่งสมบุญกันให้เต็มที่ อย่าให้เขาผิดหวัง โดยเฉพาะพวกเรานักสร้างบารมี ลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีเป็นหลักอยู่แล้ว และยังมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ คือเป้าหมายอยากเห็นโลกและจักรวาลได้เข้าถึงสันติสุขอันไพบูลย์ และจะช่วยกันรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปสู่ฝั่งนิพพาน จึงต้องสั่งสมบุญกันมากๆ ชนิดบุญครอบฟ้าสมบัติครอบจักรวาล ทำให้เทวดาได้โจษขานอนุโมทนา บันลือลั่นไปทั่วทุกสวรรค์ชั้นฟ้า ด้วยการบำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการของเราให้เต็มเปี่ยม เกิดมาภพชาตินี้เราจะได้มีบุญติดตัวไปมากๆ แล้วก็อย่าลืมนั่งธรรมะกันทุกวัน จะได้เข้าถึงพระธรรมกายซึ่งเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของพวกเราทุกคน
                   



จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับสารธรรม ๒ หน้า ๕๑๓-๕๒๐

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
ล่มที่ ๑๔   หน้า ๔๑


ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...