วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2562



ทุกข์โทษ จากการเข้าถึงสกุลอื่น

            พระติสสะเถระมีความสนิทสนมกับตระกูลนายช่างแก้ว  ไปฉันภัตตาหารอยู่สม่ำเสมอ  เป็นเวลา  ๑๒ ปี.   ทั้งนายช่างแก้วและภรรยา อยู่ในฐานะมารดาและบิดา ปฏิบัติพระเถระนี้มาตลอด

                อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นายช่างแก้วการกำลังหั่นเนื้อสด ๆ เพื่อให้ภรรยาทำอาหาร  พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงรับสั่งให้ทหารนำแก้วมณีดวงหนึ่งไป นายช่างแก้ว ขัดและเจียรไน  นายช่างแก้วรับแก้วมณีนั้นด้วยมือทั้งเปื้อนเลือด วางไว้บนเขียงแล้ว แล้วเข้าไปข้างในบ้าน  เพื่อล้างมือ.



             ในเรือนนั้น มีนกกะเรียนตัวหนึ่ง ได้กลิ่นคาวเลือดจึงกินแก้วมณีนั้น  ต่อหน้าพระเถระ นายช่างแก้วออกมาไม่เห็นแก้วมณี จึงถามภริยา ธิดาและบุตรว่า  “พวกเจ้าเอาแก้วมณีไปหรือ?”  ทุกคนตอนเสียงเดียวกันว่า  “มิได้เอาไป”   นายช่างแก้วจึงคิดว่า หรือ พระเถระจักเอาไป”  จึงปรึกษากับภริยา     


                ภริยาบอกว่า ฉันไม่เคยเห็นโทษอะไรๆ ของพระเถระเลยตลอดกาลประมาณเท่านี้,   คงไม่ใช่ท่านแน่นอน

               นายช่างแก้วถามพระเถระว่า ....“ท่านครับ ท่านเอาแก้วมณีไปหรือครับ?”

               พระเถระกล่าวว่า.... เราไม่ได้เอาไป อุบาสก.

               นายช่างแก้วกล่าวว่า.... ในที่นี้ไม่มีคนอื่น, ท่านต้องเอาไปเป็นแน่, ขอท่านจงให้แก้วมณีแก่ผมเถิด. แล้วหันไปพูดกับภริยาว่า “พระเถระเอาแก้วมณีไปแน่, เราจักบีบคั้นถามท่าน.”

               ภริยาตอบกล่าวว่า.... “อย่าทำอย่างนั้นเลย  อย่าทำให้พวกเราฉิบหายเลย, พวกเราเข้าถึงความเป็นทาสเสียยังประเสริฐกว่า, ที่จะกล่าวหาพระเถระอย่างนั้น 

               นายช่างแก้วกล่าวว่า.... “พวกเราทั้งหมด เข้าถึงความเป็นทาส ยังไม่เท่าค่าแก้วมณี” ดังนี้แล้ว   จึงถือเอาเชือก พันศีรษะพระเถระขันด้วยท่อนไม้.  โลหิตออกจากศีรษะหูและจมูกของพระเถระ.ตาทั้ง ๒ ได้ถลนออกมา.  พระเถระเจ็บปวด มาก ล้มลงกับพื้น. นกกะเรียนมาด้วยกลิ่นเลือด ดื่มกินเลือดนั้น .

                นายช่างแก้วกำลังโมโห จึงเตะมันด้วยเท้า  แล้วเขี่ยไป  นกกะเรียนนั้นล้มกลิ้งตายในทันที 

                 พระเถระเห็นนกนั้น จึงกล่าวว่า.... “อุบาสก ท่านจงผ่อนเชือกพันศีรษะของเราให้หย่อนก่อน  แล้ว จงพิจารณาดูนกกะเรียนนี้ว่า ‘มันตายแล้วหรือยัง?”  

                นายช่างแก้วกล่าวว่า .... “แม้ท่านก็จักตายเช่นนกนั้น.”
พระเถระตอบว่า... “อุบาสก นกได้กลืนแก้วมณีไป ,  หากนกนี้ยังไม่ตาย, ข้าพเจ้าแม้จะตาย ก็จักไม่บอกเรื่องแก้วมณีแก่ท่าน.”

               นายช่างแก้วรีบผ่าท้องนกนั้นทันที  พบแก้วมณีแล้ว  มีใจสลด หมอบลงแทบเท้าของพระเถระ กล่าวว่า .... “ขอพระคุณเจ้าจงอดโทษแก่ผมด้วยเถิด, ผมไม่รู้   จึงทำไปแล้วอย่างนั้น.”

                 พระเถระกล่าวว่า..... อุบาสก โทษของท่านไม่มี, ของเราก็ไม่มี, มีแต่โทษของวัฏฏะเท่านั้น. เราอดโทษแก่ท่าน.

                 นายช่างแก้วกล่าวว่า.... หากท่านอดโทษแก่ผมไซร้, ท่านจงมานั่งรับภิกษาในเรือนของผมตามเดิมเหมือนก่อน

                 พระเถระกล่าวว่า... “อุบาสก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจักไม่เข้าไปภายในชายคาเรือนของผู้อื่น  เพราะว่านี้เป็นโทษแห่งการเข้าไปภายในเรือนโดยตรง,  ตั้งแต่นี้ไป เมื่อเท้าทั้งสองยังเดินไปได้ เราจักยืนที่ประตูเรือนเท่านั้น รับภิกษา” ดังนี้แล้ว สมาทานธุดงค์กล่าวคาถานี้ว่า.......

 “ภัตในทุก  ๆ สกุล  ๆ ละนิดหน่อย อันเขาหุงไว้เพื่อมุนี
เราจักเที่ยวไปด้วยปลีแข้ง, กำลังแข้งของเรายังมีอยู่.”
พระเถระ ครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว ก็ปฏิบัติอย่างนั้น  ไม่นานก็เข้านิพพานด้วยด้วยพิษบาดแผลจากการถูกทรมานนั้น
 



“”””””””””””””””””””””
ต่อมา พระภิกษุทั้งหลายได้ทูลถามถึงที่เกิดของบุคคลต่างๆในเรื่อง พระศาสดาตรัสว่า ...
“...นกกะเรียนกลับมาเกิดเป็นบุตรชายของนายช่าง
 ...นายช่างไปเกิดในนรก 
...ภรรยานายช่างตายแล้วไปเกิดในเทวโลก 
เพราะมีจิตใจอ่อนโยนในพระเถระ 
...ส่วนพระเถระ เป็นพระอรหันต์ ก็เข้านิพพานในกาลไม่นาน

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า

คพฺภเมเก อุปฺปชฺชนฺติ
นิรยํ ปาปกมฺมิโน
สคฺคํ สุคติโน ยนฺติ
ปรินิพฺพนฺติ อนาสวาฯ

ชนทั้งหลายบางพวก ย่อมเข้าถึงครรภ์(เกิดเป็นมนุษย์)
ผู้มีกรรมลามก ย่อมเข้าถึงนรก
ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติ ย่อมไปสวรรค์
ผู้ไม่มีอาสวะ ย่อมปรินิพพาน.


เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง 

ชนเป็นอันมาก บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

                ........................................................................
  
              การเข้าไปบ้านของคนอื่น มีโทษอย่างนี้  เราไม่รู้ว่า เราสร้างกรรมอะไรกันมาบ้าง เพราะฉะนั้น เราจึงต้องมีความสำรวมและระมัดระวังและจงอย่าประมาทในเรื่องเล็กน้อย อย่างนี้  ขอให้ทุกท่านมีความสุข 

ศาสดาเอกของโลก (๑)

ศาสดาเอกของโลก   (๑)                  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วจากกิเลสอาสวะ กิจที่จะทำยิ่...