ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว
สังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปมากมาย ทีเดียว เดิมปู่ย่าตายาย มี ความเคารพพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อย่างมาก ปัจจุบันนี้ คนไม่ค่อยให้ความเคารพ เช่น กระทำกับพระสงฆ์ พระผู้ใหญ่ อย่างไม่เหมาะ ตามข่าวในหนังสือพิมพ์ ช่วงนี้ (25-5-61) วันนี้นำเรื่องที่บุคคลกระทำกับภิกษุ ไม่เหมาะ ไม่ควร มาเป็น case study ดังนี้ มีนายพรานสุนัขคนหนึ่ง ชื่อโกกะ กำลังเดินทางเข้าไปในป่าเพื่อหาเนื้อสัตว์ป่า พร้อมสุนัขของตนหลายตัว ระหว่างทางพบภิกษุรูปหนึ่ง กำลังเดินบิณฑบาต ด้วยความเป็นคนพาล ทำให้รู้สึกโกรธ คิดว่า “เราพบคนกาลกินี วันนี้จักไม่ได้อะไรแน่เลย ” แล้วเดินนเข้าไปในป่า ฝ่ายพระเถระก็บิณฑบาตในหมู่บ้าน จนทำภัตกิจแล้ว จึงกลับเข้าสู่วิหาร
ฝ่ายนายพรานเที่ยวไปในป่าไม่ได้อะไรจริง ๆ อย่างที่คิดไว้ ก็เดินทางกลับ ระหว่างทางพบกับพระเถระอีก นายพรานคิดว่า “เราเจอพระเถระรูปนี้ เข้าป่าไม่ได้อะไรเลย บัดนี้เราเจออีก เราจะให้สุนัขกัดพระรูปนี้ ” จึงให้สัญญาณปล่อยสุนัขไป
พระเถระอ้อนวอนว่า “อุบาสก อย่าทำอย่างนั้นเลย ” นายพรานบอกว่า “วันนี้ข้าพเจ้าไม่ได้อะไร เพราะพบกับท่านในตอนเช้าก่อนไป ตอนกลับมาก็มาพบกับท่านอีก ” ข้าพเจ้าจะให้สุนัขกัดท่าน จึงปล่อยสุนัขไป พระเถระรีบขึ้นต้นไม้ต้นหนึ่งโดยเร็ว นั่งในที่สูง สุนัขหลายตัวล้อมต้นไม้ไว้
นายพรานโกกะ บอกว่า “ท่านขึ้นต้นไม้ก็ไม่พ้น ” จึงเอาปลายลูกศรแทงพื้นเท้าของพระเถระ พระเถระอ้อนวอนว่า “ท่านอย่าเช่นนั้น” นายพรานโกกะไม่สนใจ ยังแทงกระหน่ำต่อไปอีก พระเถระถึงความทุกข์ทรมาน ไม่สามารถควบคุมสติได้ ทำให้จีวรที่ห่มหลุดลงมาคลุมนายพรานโกกะ
ฝ่ายสุนัขเห็นดังนั้น กรูกันเข้าไปกัด มันคิดว่าพระเถระตกลงมาแล้ว ชั่วพริบตานายพรานเหลือแต่กองกระดูก ฝ่ายสุนัขเมื่ออิ่มแล้ว ก็ออกมายืนข้างนอก พระเถระ จึงเอากิ่งไม้แห้งขว้างสุนัข สุนัขเห็นพระเถระ จึงรู้ว่า ได้กินเจ้านายเสียแล้ว จึงวิ่งเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
ฝ่ายพระเถระเกิดความสงสัยว่าศีลของตนด่างพร้อยหรือไม่ เมื่อลงจากต้นไม้ ก็รีบไปสู่สำนักของพระบรมศาสดา กราบทูลเรื่องราวนั้นตั้งแต่ต้น แล้วทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสกนั้นอาศัยจีวรของข้าพเจ้า ฉิบหายแล้ว ศีลของข้าพระองค์ด่างพร้อยหรือไม่ สมณภาพของข้าพระองค์ ยังอยู่หรือไม่ พระเจ้าค่ะ”
พระบรมศาสดาสดับถ้อยคำของพระเถระนั้นแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุ..ศีลของเธอไม่ด่างพร้อย สมณของเธอยังอยู่ เขาประทุษร้ายต่อเธอผู้ไม่ประทุษร้าย จึงถึงความพินาศ ” แม้ ในอดีต เขาก็ประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้ายเหมือนกัน จึงทรงเล่าอดีตมาเล่าดังนี้
ในอดีตกาล หมอผู้หนึ่งเที่ยวไปในหมู่บ้าน เพื่อต้องการประกอบเวชกรรม เมื่อหิวอาหาร ก็ออกไปพบเด็กเป็นอันมาก กำลังเล่นกันอยู่ จึงคิดว่า “เราจักให้งูกัดเด็กเหล่านี้แล้วรักษา” จึงนำงูที่อยู่ในโพรงไม้แห่งหนึ่ง บอกเด็กว่า “เด็ก ๆ ทั้งหลาย นั่นลูกนกสาลิกา พวกเจ้าจงจับมัน ”
ทันใดนั้น เด็กน้อยคนหนึ่ง จับงูที่คออย่างมั่น ดึงออกมา รู้ว่าเป็นงู จึงร้องขึ้น สลัดออกจากมือ งูไปบนกระหม่อมของหมอที่ยืนอยู่ไม่ไกล งูรัดก้านคอของหมอ กัดอย่างถนัด ตายในทันที นายพรานโกกะนี้ แม้ในกาลก่อนก็ประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้ายถึงความพินาศแล้วอย่างนี้เหมือนกัน
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำอดีตนิทานนี้มาแล้ว เมื่อจะทรงสืบต่ออนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
โย อปฺปทุฏฺฐสฺส นรสฺส ทุสฺสติ สุทฺธสฺส โปสสฺส อนงฺคณสฺส
เมว พาลํ ปจฺเจติ ปาปํ สุขุโม รโช ปฏิวาตํว ขิตฺโต.
ผู้ใดประทุษร้ายต่อนรชนผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสดุจเนิน, บาปย่อมกลับถึงผู้นั้น ซึ่งเป็นคนพาลนั่นเอง เหมือนธุลี อันละเอียดที่เขาซัดทวนลมไปฉะนั้น.
เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระเถระได้บรรลุพระอรหันต์
จะเห็นได้ว่า กรรมของคนที่ประทุษร้าย ผู้ที่ไม่ประทุษร้าย เป็นกรรมหนัก ให้ทุกข์คนอื่นอย่างไร ทุกข์นั้นจะกลับมาถึงตัวเองอย่างนั้น เสมอ ไม่นานเกินรอ ... เหมือนธุลีที่ตนโปรยเหนือลมฉันใด ลมย่อมพัดมาใส่ตนเองฉันนั้น